หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 10

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 10
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 10
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเรา ก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของเรา อย่าไปมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาเรื่องใหญ่ๆ จะไปแก้ไขเรื่องใหญ่ๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราพยายามหัดวิเคราะห์จิต วิเคราะห์กายของเรา เวลารับประทานขบฉัน ก็รู้จักพิจารณากายหิว หรือว่าจิตเกิดความยาก ตากระทบรูป กายหิวกายต้องการ กิเลสมันต้องการสิ่งโน้นสิ่งนี้ บอกว่ากายของเราถูกกับธาตุขันธ์ของเรา บอกว่าอย่างนั้น จะเอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม ต้องเอาเยอะๆ

ถ้าตามความเป็นจริงแล้วเวลาฉันจริงๆ แล้วฉันได้นิดเดียว ถ้าเราไม่ฝึกมันก็มากขึ้นๆ คนเราทั่วไปก็จะไปเอาแต่เวลาไปเดินไปนั่ง ไม่ใช่ต้องให้ได้ทุกอิริยาบถ ยิ่งเวลาความอยากนี่แหละสำคัญ ไม่ว่าอยากในอาหาร อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในอาหารนี้เพราะว่ากายของเราต้องการอาหารอยู่ตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาก็หาอาหารมาให้กาย

เราก็ต้องพยายามอย่าให้จิตของเราเกิดความอยาก ความอยากแม้สักนิดเดียวไม่ต้องไปเอา ตัวใหญ่ๆ เราพยายามปรับ พยายามยับยั้ง แล้วก็วิเคราะห์พิจารณา อันนี้เป็นการควบคุมจิต บางทีจิตก็เฉยๆ อยู่ก็ให้รับรู้ เราก็ทำตามหน้าที่ เอาอาหารมาให้กายของเรา กว่าจะได้อาหารมาแต่ชิ้นแต่ละอันนี่ก็ยากลำบาก ยิ่งฆารวาสกว่าจะได้แสวงหา การเป็นนักบวช เราต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ลึก กะประมาณ มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง จะได้เกิดความเคยชิน ไม่ใช่ว่าจะเอาอย่างเดียว

ถ้าเราฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา จะมีมากเราก็ไม่ให้จิตของเราเกิดความยาก จะไม่มีก็ไม่ให้จิตของเราเกิดความอยาก จะเอาพอประมาณในการขบฉันของเรา เอาให้อิ่มกะให้อิ่มพอดี ไม่ใช่ว่าให้เหลือ พยายามกะให้อิ่ม เรากะไม่ได้วันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็เริ่มใหม่ เริ่มทำบ่อยๆ ทำอยู่บ่อยๆ ทุกครั้ง ถ้าเราวิเคราะห์อยู่อย่างนี้ อยู่คนเดียวเราก็จะเห็นจิตของเรา เห็นความคิด เห็นอารมณ์ของเรา ยืนเดินนั่งนอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ

อากาศวันนี้ก็ไม่หนาวเท่าเมื่อวานนี้เท่าไหร่ เริ่มคลายขึ้นมาบ้าง เราหนาวจัดงานอบรมธรรม อบรมปฏิบัติธรรม ตื่นเช้าตั้งแต่ตี 3 ใครไม่มาก็โดนลงโทษให้มานั่งสวดอิติปิโส 108 หรือไปล้างห้องส้วมล้างห้องน้ำ สมัยก่อนตามที่ไปอบรมที่โน่นที่นี่ เห็นลงโทษกันอย่างนั้น ส่วนมากก็มีหลวงปู่หลวงตาแหล่ะโดนลงโทษ โดนลงโทษเรื่องอาหาร บางทีหลวงปู่หลวงตานี่ก็เอาถุงปุ๋ยไปด้วยเวลาจัดงานอบรมปริวาส เอาไปใส่มาม่าใส่ขนมนมเนย เอาไปฝากลูกฝากหลาน เอาไปกองเอาไว้ในซุ้มในกลด มดขึ้นเต็มเวลาเขาเข้าไปตรวจ เขาก็จับมาลงโทษให้มานั่งสวดอิติปิโส 108 บางทีก็ให้ไปล้างส้วมเป็นการลงโทษ เขาให้ไปละ ไม่ใช่ให้ไปเอา

มีงานที่ไหน ได้ยินข่าวที่ไหนก็ไป ได้ยินข่าวที่ไปจัดงานที่ไหน หลวงปู่หลวงตาก็ชวนกันไปแล้วเตรียมตัวไป อันนั้นเขาเรียกว่าบวชมาสะสมกิเลส หลวงปู่หลวงตาที่นี่คงไม่มีสักองค์หรอกนะ เพราะว่าฝึกมาดี มีแต่คนเอาออก เอาให้ มีแต่เสียสละ ฟันไม่มี ความอยากเนื้อแห้งๆ เขาปิ้งมาเคี้ยวไม่ได้ก็เก็บไปไว้ เก็บไปไว้ที่กุฏินั่นแหละ มดก็ขึ้นเต็ม เคยเห็นภาพที่เขาถ่ายมา

อยู่ที่นครพนม อยู่ที่พระธาตุพนมมีบันไดสูงๆ ขึ้นไป ก็มีพระองค์หนึ่งตั้งแต่ดึกไปรอรับบิณฑบาตจากโยมอยู่ตรงทางขึ้นให้ญาติโยมบริจาค แล้วก็พระอีกองค์หนึ่งเวลาญาติโยมขึ้น ก็ไปเอาบาตรไปยกขึ้นท่วมหัวเลย ไปให้คนเขาโยนเศษสตางค์ใส่บาตร ดูแล้วก็น่าสงสาร ทำให้เสียมากทีเดียว อย่างกับขอทานเขาประจานมากทีเดียว หนังสือพิมพ์ช่วงนั้น ไปอ่านเจอ น่าละอาย แทนที่จะบวชมาแล้วมาขัดเกลา มาละกิเลสตัวเราออกให้หมดจด กลับไปแสวงหา แสวงหาด้วยความทะเยอทะยานอยาก

ได้ยินข่าวที่ไหนก็ชวนกันไป เพื่อที่จะได้หาเงินหาทองหาเอกลาภ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดีไม่อดไม่อยากหรอก อย่าไปกังวลของพวกนี้ทรัพย์นอกกาย ถ้าจะเอาจริงๆ แล้วมีเพียงแค่ไปบิณฑบาตขบฉันพอได้อิ่ม แต่ละวันนี้ก็มีความสุข มีแค่อัฐบริขารแปดบริบูรณ์ นอกนั้นก็เป็นแค่เพียงส่วนที่เกื้อหนุนให้การประพฤติปฏิบัติให้ไปได้เร็วได้ไว

แต่เราก็ต้องอาศัยสมมติอยู่ ถ้าต่างคนก็ต่างมีแต่แสวงหาดิ้นรน มันก็จะมีแต่ความทุกข์มาใส่ตัวเราตลอดเวลา เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดพิจารณา หาเหตุหาผลอยู่ตลอด หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงผู้รับหน้าที่ให้หมู่ให้คณะอยู่ดีมีความสุขเท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่ทำ ถ้าไม่รับหน้าที่ตรงนี้ หมู่คณะก็ลำบาก ก็ต้องจำเป็นต้องได้รับหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่สถานที่แห่งนี้ ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็การประพฤติปฏิบัติจิตก็ไปได้เร็วได้ไว ไม่ให้ลำบาก

ที่พักที่อาศัย ที่อยู่ที่นอน ที่นั่ง ที่เยี่ยวที่ขับถ่ายต้องทำ เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยสมมติพวกนี้อยู่ ถ้าไม่มีที่พักที่อาศัย ฝนฟ้าตกลงมาก็ลำบาก ไม่มีห้องส้วมห้องน้ำก็ลำบาก ไม่มีที่ขบฉันก็ลำบาก นี่เขาเรียกว่า สถานที่ไม่อำนวย ไม่สับปายะ ถ้าสับปายะกายก็ไม่ลำบาก ความเป็นอยู่ก็ไม่ลำบาก การประพฤติปฏิบัติจิตก็จะไปได้เร็วได้ไวตราบใดที่ฝักใฝ่ ถ้าไม่สนใจถึงจะอยู่ที่อย่างไรก็เหมือนเดิม ถ้าคนสนใจก็ย่อมจะไปได้เร็วได้ไว เพราะว่าตัดความกังวลสิ่งต่างๆ ออกไป

ตื่นขึ้นมาการเจริญสติ การสร้างสติ การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับ การละ การสังเกต การวิเคราะห์ การแยกการคลาย การแยกรูปแยกนาม ปัญญาเก่าที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่แล้ว เราต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปทำความเข้าใจให้เห็นใจ เห็นเสียก่อน เห็นลักษณะอาการเสียก่อน ตามทำความเข้าใจว่าจิตกับขันธ์ห้า หรือว่าจิตกับอารมณ์ต่างๆ เขาก็ไปรวมกันได้อย่างไร เข้าไปเสวยกันได้อย่างไร เราจะสังเกตจนกว่าเขาแยกเขาคลาย ถ้าแยกได้นั่นนะโมหะถึงจะคลาย จึงตามทำความเข้าใจก็จะเข้าสู่วิปัสสนา แล้วก็ทำการละกิเลสอย่างหยาบไปหาละเอียด ละทิฏฐิ ละมานะ ละสังโยชน์ต่างๆ ละสีลปตปรามาสและความงมงาย มองเห็นทางหนทางที่จะเดิน

เจริญพรหมวิหารให้เยอะๆ ให้มากๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘การสร้างบารมี’ พวกเราพากันสร้างบารมีกันแล้วหรือยัง ออกจากบ้าน ออกมาบวชอยู่นี่ก็เป็นการสร้างบารมี ถ้าไม่มีความเสียสละก็วางภาระหน้าที่การงานออกจากบ้านไม่ได้ เราก็วางได้เปลาะหนึ่ง นี่เรียกว่ามาชำระสะสางกิเลสการบวชเป็นพระ การบวชเป็นชี ถ้าคนไม่เข้าใจจะสะสมกิเลสมากกว่าเป็นฆราวาส ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่ามีโอกาสมากกว่าเป็นฆราวาส โอกาสแล้วก็การแสวงหาอยู่บนศรัทธาของฆารวาสญาติโยมอยู่บนๆ ของฆราวาสญาติโยม ในหลักธรรมแล้ว แม้แต่การน้อมเอกลาภก็อย่าให้มี ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแต่จะมี แล้วแต่จะเกิด ด้วยแรงบุญแรงกุศล ส่วนมากก็จะแสวงหา

หลวงปู่หลวงตา บวชมาได้นิดๆ หน่อยๆ ก็แสวงหาดิ้นรน หาลาภหายศ สารพัดอย่างแข่งกัน บางทีเอาเงินซื้อเอาก็มีเยอะ ถึงกับจะฆ่ากันตายเลยก็มี ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งพวกนี้มันร้อน ยังไม่เข้าใจ แทนที่จะประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้อยู่เหนือสมมติต่างๆ ให้หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นทาสของกิเลส กลับไปสร้างสะสมกิเลสพอกพูนมากขึ้นกว่าเป็นโยมเสียอีก อันนี้ก็เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาแล้วก็มีโอกาสได้บวช

การบวชเข้ามาแล้วตัวเราต้องแสวงว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน เราบวชมาเพื่ออะไร การเจริญสติเพื่ออะไร การดับ การละ การทำความเข้าใจ เราละกิเลสได้มากได้น้อย กิเลสหยาบ กิเลสชนิดไหนที่เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราต้องกำจัดออกจากใจของเราถึงจะถูกต้อง เรารู้ เราเห็น เราทำความเข้าใจได้ก็จะมีแต่ความสงบ ความสุข การแสวงหาที่โน่นที่นี่ อันนั้นก็เพียงแค่แสวงหาแนวทาง หาวิธี

ตามความเป็นจริงแล้วคนมีสติมีปัญญา รู้จักสร้างสติเข้าไปพิจารณาตัวเองตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ไหนเลย สตินี้แหละเป็นอาจารย์ ขอให้เราสร้างขึ้นมาเถอะ เป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิตของเรา ศรัทธาของเรานั่นแหละเป็นตัวนำทาง สติปัญญาคอยตรวจสอบจิตของเรา พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ ลักษณะของทุกข์เป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร คำว่า ‘อัตตากับอนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร ขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง กับทำอย่างไรเราถึงจะรู้ เราก็ต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปรู้ให้เท่าทัน ส่วนมากก็ไปนึกเอา ไปคิดเอา การได้ยินได้ฟังได้อ่านธรรมะนั้นมีกันเต็มล้น เป็นน้ำชาล้นถ้วย แทนที่เราจะรู้จากน้อยๆ ไปหามากๆ จนเต็มรอบ เชื่อมั่นในตัวเอง ละทิฏฐิ ละมานะ ละความเชื่อมั่นความคิดเห็นเก่าๆ ออกไปเสีย

คำว่า ‘ปัจจุบัน’ เป็นอย่างไร ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร เราก็ต้องทำความเข้าใจ ตามีหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูมีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เพราะเขาทำหน้าที่ของเขา เป็นทางผ่าน ตัววิญญาณตัวสุดท้ายอยู่ในขันธ์ห้า เกิดความยินดียินร้าย เป็นทาสของกิเลสได้อย่างไร ทำไมถึงเข้าไปหลงกันนัก

ช่วงใหม่ๆ แล้วก็ต้องฝึก ต้องฝืน ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นการทวนกระแสกิเลส เพราะว่าจิตของคนเราชอบไหลไปสู่ที่ต่ำ ชอบไหลไปตามอารมณ์ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็เป็นอกุศล บางทีก็เป็นกลาง แต่เราไม่รู้จักรักษาเขาให้ได้ตลอดเวลา การรักษาหรือมีอยู่นิดหน่อย แต่การสร้างขึ้นมานี้ไม่ค่อยจะมี ความรู้ตัว การสร้างสติความรู้ตัวก็ไม่ค่อยต่อเนื่อง การดับละกิเลสก็ได้บ้างเป็นชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามช่วยกัน

ช่วยตัวเอง แก้ไขตัวเอง มีความรับผิดชอบให้สูง ถ้าบวชเข้ามาถ้าเกียจคร้านก็สร้างสะสมเกียจคร้านไปเรื่อยๆ ก็หมักหมมความเกียจคร้านขึ้นไป ไปอยู่ที่ไหนก็กายก็หนัก จิตก็หนัก เป็นภาระให้ตัวเอง เป็นภาระให้คนอื่น เราก็ต้องพยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้ตัวเอง มีความรับผิดชอบในตัวเองก็จะล้นออกไปสู่ภายนอกได้จริง

นี่แหล่ะเราก็จะได้ฟังธรรม เราก็จะได้อยู่กับพระพุทธเจ้าตลอดเวลา กายของเราก็เป็นก้อนธรรมก้อนบุญ ถ้าเราไม่เข้าใจ กายของเราก็เป็นก้อนกรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน หมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางก้อนสมมติ เราต้องศึกษาให้ละเอียด ได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์มีเยอะ มีเยอะแยะในการพูดธรรม แสดงธรรม บางองค์บางท่านก็พูดเรื่องธรรมได้กระจ่าง แต่การกระทำของการประพฤติปฏิบัติของพวกเรายังไม่ถึงเท่านั้นเอง เพราะว่าจะไปเอาแต่ผล ไม่เอาต้นให้ต่อเนื่อง แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิตของเรา ความทะเยอทะยานอยาก อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยาก ความปกติ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา ปีใหม่เข้ามาเราให้พรตัวเราเองแล้วหรือยัง สำรวจแก้ไขปรับปรุงตัวเราแล้วหรือยัง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย สูดลมหายใจเข้าไปในยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่างนี้ทุกวันทุกเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

หลวงพ่อก็ย้ำอย่างนี้แหละมากัน 20 กว่าปี เรื่องการหายใจเข้าออก เรื่องความสร้างความรู้สึกตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้เกิดความเคยชิน ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็ย่อมจะรู้เรื่องการเกิดการดับของขันธ์ห้า การเกิดการดับของจิต ทำความเข้าใจกับรูปกับนาม แล้วก็รู้จักละกิเลส ขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเราเอง

เจริญพรหมวิหารให้มากๆ สร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ความเสียสละต้องยิ่งยวด ความเสียสละ ความอดทน สัจจะ วิริยะความเพียรต่างๆ บารมีอย่างยิ่ง เราก็ต้องพยายามทำ อยู่คนเดียวก็ทำ อยู่หลายคนเราก็ทำ อยู่คนเดียวเราก็แก้ไขตัวเรา ขณะนี้เป็นอย่างไร จิตของเราฟุ้งซ่านเราดับได้ไหม จิตของเราเกิดความลังเลสงสัยต่างๆ ได้หรือไม่ จิตของเราเกิดความอาฆาตพยาบาท เรารู้จักดับ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม

ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ มันจะพลั้งเผลออย่างไร จะหลุดในลักษณะอย่างไรเราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออกนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย หรือว่าเราจะยกกายของเราขึ้นมาวิเคราะห์พิจารณา ขนเล็บฟันหนังต่างๆ หรือกระดูกต่างๆ เราก็ยกขึ้นมาในแต่ละชิ้นแต่ละอัน ก็เรียกว่ากายในกายของเรา หรือว่าเราจะยกจิตขึ้นมาพิจารณา

ขณะนี้จิตของเราปกติ จิตของเราว่างหรือไม่ ขณะเราพิจารณานั้นจิตก็ว่างรับรู้อยู่ จะพิจารณาอะไร จิตก็ว่างรับรู้อยู่ แต่เวลานี้จิตของเรายังไม่ว่างสิ จิตของเรายังหลงอยู่ ถึงเขาจะสงบอยู่ แต่เขาก็ยังไม่ได้หงายขึ้นมา เขายังคว่ำอยู่ เพราะว่าขาดการแยกจิตออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามยังไม่ได้ จิตยังไม่หงายขึ้นมา เราก็ต้องหมั่นสังเกตไปเรื่อยๆ รู้ไม่ทันก็เริ่มใหม่ ไม่จำเป็นต้องไปคอยระวัง เราทำไปเรื่อยๆ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ เข้ามาเมื่อไหร่เราก็ดู ความรู้ตัวไม่มี เราสร้างขึ้นมาให้มี

ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราเห็นจิตคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่ แล้วก็กำลังสติความรู้ตัวนี้จะพุ่งแรง ตามค้นคว้า ตามดู ตามรู้ ตามเห็นจะสนุกว่าขันธ์ห้า หรือว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกจิตของเรา จิตจะปรุงแต่งกิเลสแต่อย่างไร จิตจะส่งไปภายนอกได้อย่างไร แล้วก็สนุกในการละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ตามดูขันธ์ห้าให้เรียบร้อยจนขี้เกียจตามนั่นแหล่ะ จนจิตเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ เพราะว่าตามดูทีไรก็ลงความว่าง ลงไตรลักษณ์หมด ให้เห็นจริงๆ เสียก่อนไม่ใช่ไปนึกเอา

ให้เห็นเสียก่อน ตามดูเสียก่อนแล้วค่อยพิจารณา เมื่อเรารู้กระจ่างแจ้งอย่างนั้น จิตก็จะยอมรับความจริง เพราะเรารู้จุดปล่อย รู้จุดวาง แล้วก็มาละกิเลสที่จิต มาดับความเกิดที่จิต ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิดหรอก ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้รู้ความเป็นจริง ชนะตัวเราแล้วเราชนะหมดทุกคน ทุกอย่าง มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง จิตของเราเป็นธรรมแล้วก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ไม่จำเป็นต้องไปคอยละกิเลสตัวใหญ่ๆ เอาตัวเล็กๆ มันเกิดๆ อย่างไร ความคิดเกิดอย่างไร ถ้าเรารู้ตัวเล็กแล้วตัวใหญ่มันก็จะรู้โดยอัตโนมัติ แม้แต่ตัวเล็กก็ไม่ให้มันผ่านพ้นไป ตัวใหญ่มันจะรอดเล็ดรอดเข้ามาได้อย่างไร ก็ต้องพยายามดูกัน

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ ตื่นขึ้นมาแล้วเอาใหม่ อยู่ปัจจุบันใหม่ เคี่ยวกายของตัวเองเพื่อที่จะให้เข้าใจ ใหม่ๆ ก็ไม่เข้าใจ ก็อาจจะไปติดขัดตรงนั้นบ้าง ติดขัดตรงนี้บ้าง เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาช่องทาง หาวิธี แถมจิตของเรานี้ไปเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งนาน คอยหาโอกาสที่จะวิ่งเข้าไปรวมกับเขา แถมสติก็ยังยุยงไปด้วยกันหมดเลย ส่งออกไปข้างนอกหลงไปด้วยกันหมดเลย เราต้องหัดจำแนกแจกแจงเอา เราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่รู้ใครจะแก้ไขให้เราได้ ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเรา อยู่คนเดียวเราก็ถึงธรรมได้

จิตของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม ตัวธรรม แต่จิตไม่เกิด จิตไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็จะเกิดความโล่ง ความโปร่ง ความว่าง บางทีเกิดปิติเกิดสุข อันนี้เป็นเพียงแค่ได้เล่าให้กันฟังเท่านั้นแหละ ถ้าเรารู้เราเห็น แล้วมันก็ตามทำความเข้าใจ ช่วงใหม่ๆ ความคิดของเราจะดีเลิศประเสริฐถึงขนาดไหน เป็นปัญญาทางโลก เป็นร้อยก็ต้องคลายออกให้มันหมด ให้เหลืออยู่ที่ศูนย์คือความว่าง ความบริสุทธิ์เท่านั้น กว่าจะคลายออกไปได้ มันก็ต้องมีความเพียรอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ จะคลาย

กำลังสติต้องหาเหตุหาผล แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิต จิตของเรามันก็ไม่ยอมรับง่ายๆ ก็ต้องใช้วิธีกระหนาบ ใช้อุบาย แล้วแต่ละวิธีของแต่ละบุคคล กระหนาบแล้วก็กระหนาบอีก ตีแล้วตีอีก เหมือนกับพระพุทธองค์ท่านบอกว่าเหมือนกับช่างหม้อ ตีหม้อกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ถ้าเราไม่เคี่ยวเข็ญตัวเองถึงขนาดนั้น มันก็ยากที่จะเข้าถึง ถ้าเราเข้าถึงแล้วก็รู้สึกว่าจะง่าย เพราะมองเห็นทาง เหมือนกับเส้นผมบังภูเขา

สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน ถ้าเราเห็นรู้นิดๆ หน่อยๆ ถ้าเราปล่อยปละละเลย มันก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราก็ต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการละ จนเชื่อมั่น มีเครื่องอยู่ภายในของเรา มีเครื่องตัดสินคือความว่าง ความบริสุทธิ์ ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น นั่นแหละเราก็จะอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ใครเห็นจิตคนนั้นก็เห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ก็เห็นอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องไปแสวงหาพระพุทธเจ้าที่ไหน พุทธะก็คือผู้ รู้อะไร รู้จิต รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรมแปด รอบรู้ในสมมติ ไม่ต้องไปรู้มากมายอะไร เรารู้จิตของเราไม่ให้ทุกข์ก็ใช้การได้ จนล้นออกไปเป็นที่พึ่งให้ตัวเอง เป็นที่พึ่งให้คนอื่น เราก็ต้องพยายามกันนะ

ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็แน่น ทำกายให้โล่ง สมองให้โปร่ง จิตให้ว่าง มีความรู้สึกให้เด่นชัดอยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำต่อเอานะ นี่เพียงแค่ย้ำแต่เตือน เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง