หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 118
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 118
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 118
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 กันยายน 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ เราละไม่ได้ เราก็ให้รู้จักการเจริญสติ การสร้างความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก
เรื่องการหายใจเข้า หายใจออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจปรารถนาอยากจะได้บุญ ใจปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ความเกิดของใจนั่นแหละเขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจ ให้รู้ความเป็นจริงในกายของเราในชีวิตของเรา ว่ากายของเรานี่มีอะไรบ้าง ซึ่งมีส่วนรูปส่วนนาม
ส่วนนามธรรมหรือว่าวิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร เขาเกิดอย่างไร ทำไมเขาถึงหลง ทำไมเขาถึงเป็นทาสของกิเลส เพราะว่าเขาหลงมานาน เขาหลงมา เขาหลงเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มีขันธ์ห้ามาห่อหุ้มปิดกั้นเอาไว้ แล้วก็โลกธรรม กิเลสต่างๆ ก็ปิดกั้นเอาไว้
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องเข้าไปควบคุมใจ เราหมั่นอบรมใจ หมั่นวิเคราะห์ใจของเราให้อยู่ในอำนาจของสติปัญญาของเรา จนกว่าใจของเราจะแยกออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ ใจของเราก็จะว่าง โล่ง โปร่ง เราก็จะเห็นใจของเราชัดเจน ตามทำสติ ความความรู้ตัวของเราก็จะตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ทุกเรื่องในชีวิตของเรา
ในหลักธรรม ท่านให้ละทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ละความอยาก ละความหวัง แต่การทำความเข้าใจ ความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ต้องมีเต็มเปี่ยม เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องขณะที่เรายังมีกำลังมีกายเนื้ออยู่ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกอิริยาบถ ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ เราจะเข้าใจในชีวิตของเรา
‘ปฏิบัติธรรม’ ความหมายของคำว่าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอะไร ก็ปฏิบัติเพื่อความถูกต้อง ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ถ้าสังเกตรู้เท่าทันใจ เขาจะตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องถึงจะกลายเป็นมหาสติ ถึงจะกลายเป็นมหาปัญญา จนอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ทำหน้าที่ด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็รู้จักมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร
กายเนื้อของเราเป็นอย่างไร วิญญาณซึ่งมาอาศัยกายเนื้อเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง มีไม่มากหรอก มีไม่มาก ถ้าคนเราสนใจ ละกิเลสออกให้มันหมดเท่านั้นเอง ละกิเลสออกให้มันหมด แล้วก็ดับความเกิดให้มันได้ คลายความหลง รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ของเราให้มันหมดจดทุกอย่าง
แต่การพูดนี่ง่ายอยู่ แต่การทำความเข้าใจนี่มันยาก เราต้องทำความเข้าใจจากน้อยๆ ไปหามากๆ ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ สติของเราก็ตั้งมั่นปั๊บ รู้ใจ รู้ความปกติของใจ สติปัญญาเป็นตัวพากายไปใจรับรู้ คนทั่วไปใจเกิด ใจเป็นสิ่งบงการเป็นตัวบงการก่อน ก็เลยปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้หมดเสีย ก็ต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยเรา แต่อย่าไปทิ้งบุญ พยายามสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างตบะ สร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความเกียจคร้าน เราพยายามละความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียร เราก็พยายามเพิ่มความเพียรให้มากๆ ขึ้น หมดความสงสัย หมดความลังเล อยู่คนเดียวเราก็มีความสุข อยู่หลายคนเราก็มีความสุข กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราต้องพยายามทำ การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มีกันมาเต็มเปี่ยมกันหมดแล้วแหละ การได้ปฏิบัติ ฝึกหัดปฏิบัติก็มีกันต่อเนื่องกัน แต่มันยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ อีกสักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ต้องไปถามใคร เจริญสติเขาไปหมั่นถามใจของเรา แล้วก็ตรวจสอบใจของเรา แก้ไขใจของเรา
สตินี่แหละเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักแก้ไขเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอบอารมณ์เรา สติก็จะเป็นคนคอยตรวจสอบ จนอยู่ด้วยมหาสติ อยู่ด้วยมหาปัญญา ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง ทำกายให้สบาย มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อเอานะ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือน แค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 กันยายน 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ เราละไม่ได้ เราก็ให้รู้จักการเจริญสติ การสร้างความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก
เรื่องการหายใจเข้า หายใจออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจปรารถนาอยากจะได้บุญ ใจปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ความเกิดของใจนั่นแหละเขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจ ให้รู้ความเป็นจริงในกายของเราในชีวิตของเรา ว่ากายของเรานี่มีอะไรบ้าง ซึ่งมีส่วนรูปส่วนนาม
ส่วนนามธรรมหรือว่าวิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร เขาเกิดอย่างไร ทำไมเขาถึงหลง ทำไมเขาถึงเป็นทาสของกิเลส เพราะว่าเขาหลงมานาน เขาหลงมา เขาหลงเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มีขันธ์ห้ามาห่อหุ้มปิดกั้นเอาไว้ แล้วก็โลกธรรม กิเลสต่างๆ ก็ปิดกั้นเอาไว้
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องเข้าไปควบคุมใจ เราหมั่นอบรมใจ หมั่นวิเคราะห์ใจของเราให้อยู่ในอำนาจของสติปัญญาของเรา จนกว่าใจของเราจะแยกออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ ใจของเราก็จะว่าง โล่ง โปร่ง เราก็จะเห็นใจของเราชัดเจน ตามทำสติ ความความรู้ตัวของเราก็จะตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ทุกเรื่องในชีวิตของเรา
ในหลักธรรม ท่านให้ละทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ละความอยาก ละความหวัง แต่การทำความเข้าใจ ความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ต้องมีเต็มเปี่ยม เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องขณะที่เรายังมีกำลังมีกายเนื้ออยู่ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกอิริยาบถ ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ เราจะเข้าใจในชีวิตของเรา
‘ปฏิบัติธรรม’ ความหมายของคำว่าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอะไร ก็ปฏิบัติเพื่อความถูกต้อง ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ถ้าสังเกตรู้เท่าทันใจ เขาจะตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องถึงจะกลายเป็นมหาสติ ถึงจะกลายเป็นมหาปัญญา จนอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ทำหน้าที่ด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็รู้จักมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร
กายเนื้อของเราเป็นอย่างไร วิญญาณซึ่งมาอาศัยกายเนื้อเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง มีไม่มากหรอก มีไม่มาก ถ้าคนเราสนใจ ละกิเลสออกให้มันหมดเท่านั้นเอง ละกิเลสออกให้มันหมด แล้วก็ดับความเกิดให้มันได้ คลายความหลง รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ของเราให้มันหมดจดทุกอย่าง
แต่การพูดนี่ง่ายอยู่ แต่การทำความเข้าใจนี่มันยาก เราต้องทำความเข้าใจจากน้อยๆ ไปหามากๆ ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ สติของเราก็ตั้งมั่นปั๊บ รู้ใจ รู้ความปกติของใจ สติปัญญาเป็นตัวพากายไปใจรับรู้ คนทั่วไปใจเกิด ใจเป็นสิ่งบงการเป็นตัวบงการก่อน ก็เลยปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้หมดเสีย ก็ต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยเรา แต่อย่าไปทิ้งบุญ พยายามสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างตบะ สร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความเกียจคร้าน เราพยายามละความเกียจคร้าน เรามีความขยันหมั่นเพียร เราก็พยายามเพิ่มความเพียรให้มากๆ ขึ้น หมดความสงสัย หมดความลังเล อยู่คนเดียวเราก็มีความสุข อยู่หลายคนเราก็มีความสุข กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราต้องพยายามทำ การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มีกันมาเต็มเปี่ยมกันหมดแล้วแหละ การได้ปฏิบัติ ฝึกหัดปฏิบัติก็มีกันต่อเนื่องกัน แต่มันยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ อีกสักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ต้องไปถามใคร เจริญสติเขาไปหมั่นถามใจของเรา แล้วก็ตรวจสอบใจของเรา แก้ไขใจของเรา
สตินี่แหละเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักแก้ไขเริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอบอารมณ์เรา สติก็จะเป็นคนคอยตรวจสอบ จนอยู่ด้วยมหาสติ อยู่ด้วยมหาปัญญา ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง ทำกายให้สบาย มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อเอานะ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือน แค่เล่าให้ฟัง