หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 023
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 023
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน แล้วก็พยายามฝึกให้มีความรู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญใจก็ปรารถนาที่อยากจะดับทุกข์อยากจะหลุดพ้น ใจก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ แต่การปรารถนาของใจนั้นใจยังเกิดอยู่
เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปรู้ใจของเรา เข้าไปดูแลใจหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเรายังเกิดอยู่เราก็รู้จักควบคุม ใจของเราเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ความคิดที่แทรกเข้ามาซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาก่อตัวอย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเร็วไว เราก็จะรู้เท่าทันตรงนั้น แต่เวลานี้กำลังสติความรู้ตัวของเรามีน้อย ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปัญญาเก่าปัญญาโลกีย์เข้าไปคิด เข้าไปพิจารณาหาเหตุหาผล ซึ่งเขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองอยู่
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ ทั้งที่หายใจกันมาตลอดตั้งแต่เกิด เราพยายามสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบาย กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ถ้าเราฝึกบ่อยๆ ไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ไม่เข้าใจเท่าไหร่ ก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ จนกว่ากำลังสติความรู้ตัวของเราจะต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องแล้วเราก็จะไปรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต ความปกติของจิต รู้การเกิดการดับ เห็นอาการของความคิด ตามทำความเข้าใจ
เข้าใจในเรื่องภาษาธรรมภาษาโลก คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ซึ่งรูปรสกลิ่นเสียง ต่างๆ ก็จะเข้ามาทางทวารทั้งหกของเรา ตัววิญญาณหรือว่าดวงใจของเราเกิดกิเลส เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น เห็นลักษณะอาการ รู้ลักษณะอาการของเขา ก็รู้จักดับรู้จักแก้ไข รู้จักทำความเข้าใจ อย่าพากันไปปล่อยวันเวลาทิ้ง
ทุกคนก็มีบุญ มีบุญมีวาสนาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ยังลำบากอยู่ เพราะว่าคนเราสร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างบุญสร้างทานมาดีก็ไม่ได้อดอยากลำบากทางสมมติ มาเพิ่มเสริมเติมเติมต่อขณะเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มาเพิ่มเติมทางด้านสติปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสไม่มีเวลา เรามีโอกาสมีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้เราฝักใฝ่ขอให้เราสนใจ
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราหมั่นสำรวจใจของเรา ขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร กายของเราเป็นอย่างไร จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่บริวารสู่สังคม ด้วยใจที่มีตั้งแต่เปี่ยมด้วยความเมตตา ใจที่ไม่ทุกข์ ก็ต้องพยายามอย่าไปพลาดโอกาส
จะไปแสวงหาธรรมนอกกายหาไม่เจอ แต่การทำบุญทำทานเราทำได้ทุกที่ แต่การทำใจให้บริสุทธิ์ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสอนใจของเรา เราอาจจะรู้ใจของเรา แต่การดับ การควบคุม การสังเกต การแยกแยะ การตามทำความเข้าใจให้ใจรับรู้ เห็นตามความเป็นจริง กำลังสติปัญญาของเราต้องหาเหตุหาผลจนเห็นเหตุเห็นผล การเกิดการดับของวิญญาณของเราซึ่งเป็นนามธรรม อะไรคือรูปอะไรคือนาม เราก็ต้องหัดวิเคราะห์
บุคคลที่มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องไปฟังมากเลย การเจริญสติ ลักษณะของการเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของจิตที่ปกติ ลักษณะของจิตที่ไม่มีกิเลส ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ จิตกับอาการของจิตถ้าเราสังเกตทันเขาจะคลายออกจากกันอย่างนี้
เราตามดูตามรู้ตามเห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ค่อยละทีละเล็กละทีละน้อย รู้จักทรงความว่างไว้เป็นอารมณ์ จิตของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณของเราเป็นอย่างไร มันก็จะเห็นชัดเจน ทุกส่วนๆ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เราพยายามทำความเข้าใจ หาเหตุหาผลด้วยสติด้วยปัญญา
ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสังเกตารวิเคราะห์ การทำความเข้าใจต้องต่อเนื่องอย่าไปเกียจคร้าน แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เรามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความเสียสละอย่างยิ่งยวดหรือไม่ เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่าจิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามรีบแก้ไขตัวเราเสีย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ
อะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เราก็ต้องพยายามช่วยกันทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา จะไปศึกษาที่ไหนก็ดีหมดเป็นการสร้างบารมี ศึกษาเน้นลงอยู่ที่กายที่ใจของเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง ลักษณะอาการของใจที่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ปกติเป็นอย่างไร เราก็จะได้เข้าถึง ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ใหม่ๆ ก็อาจจะมีการพลั้งเผลอก็ธรรมดา
ไม่ต้องไปกังวลว่ากลัวจะไม่ได้คิดกลัวจะไม่ได้ทำ กลัวจะไปเสียทีกิเลส กิเลสคนโน้นคนนี้ ไม่ต้องไปเสียเปรียบ เราไปห้ามคนอื่นเขาพูดไม่ได้หรอก ห้ามคนอื่นเขาคิดไม่ได้หรอก เรามาห้ามกายห้ามใจของเรา ทำหน้าที่ของเราให้มันถูกต้อง เราก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทำให้ดี ให้รีบๆทำขณะยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็หมดโอกาส อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ ทำความเข้าใจกันเอา หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปรู้ใจของเรา เข้าไปดูแลใจหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเรายังเกิดอยู่เราก็รู้จักควบคุม ใจของเราเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ความคิดที่แทรกเข้ามาซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาก่อตัวอย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเร็วไว เราก็จะรู้เท่าทันตรงนั้น แต่เวลานี้กำลังสติความรู้ตัวของเรามีน้อย ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปัญญาเก่าปัญญาโลกีย์เข้าไปคิด เข้าไปพิจารณาหาเหตุหาผล ซึ่งเขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองอยู่
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ ทั้งที่หายใจกันมาตลอดตั้งแต่เกิด เราพยายามสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบาย กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ถ้าเราฝึกบ่อยๆ ไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ไม่เข้าใจเท่าไหร่ ก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ จนกว่ากำลังสติความรู้ตัวของเราจะต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องแล้วเราก็จะไปรู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต ความปกติของจิต รู้การเกิดการดับ เห็นอาการของความคิด ตามทำความเข้าใจ
เข้าใจในเรื่องภาษาธรรมภาษาโลก คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ เป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ซึ่งรูปรสกลิ่นเสียง ต่างๆ ก็จะเข้ามาทางทวารทั้งหกของเรา ตัววิญญาณหรือว่าดวงใจของเราเกิดกิเลส เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น เห็นลักษณะอาการ รู้ลักษณะอาการของเขา ก็รู้จักดับรู้จักแก้ไข รู้จักทำความเข้าใจ อย่าพากันไปปล่อยวันเวลาทิ้ง
ทุกคนก็มีบุญ มีบุญมีวาสนาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ยังลำบากอยู่ เพราะว่าคนเราสร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างบุญสร้างทานมาดีก็ไม่ได้อดอยากลำบากทางสมมติ มาเพิ่มเสริมเติมเติมต่อขณะเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มาเพิ่มเติมทางด้านสติปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสไม่มีเวลา เรามีโอกาสมีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้เราฝักใฝ่ขอให้เราสนใจ
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราหมั่นสำรวจใจของเรา ขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร กายของเราเป็นอย่างไร จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่บริวารสู่สังคม ด้วยใจที่มีตั้งแต่เปี่ยมด้วยความเมตตา ใจที่ไม่ทุกข์ ก็ต้องพยายามอย่าไปพลาดโอกาส
จะไปแสวงหาธรรมนอกกายหาไม่เจอ แต่การทำบุญทำทานเราทำได้ทุกที่ แต่การทำใจให้บริสุทธิ์ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสอนใจของเรา เราอาจจะรู้ใจของเรา แต่การดับ การควบคุม การสังเกต การแยกแยะ การตามทำความเข้าใจให้ใจรับรู้ เห็นตามความเป็นจริง กำลังสติปัญญาของเราต้องหาเหตุหาผลจนเห็นเหตุเห็นผล การเกิดการดับของวิญญาณของเราซึ่งเป็นนามธรรม อะไรคือรูปอะไรคือนาม เราก็ต้องหัดวิเคราะห์
บุคคลที่มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องไปฟังมากเลย การเจริญสติ ลักษณะของการเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของจิตที่ปกติ ลักษณะของจิตที่ไม่มีกิเลส ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ จิตกับอาการของจิตถ้าเราสังเกตทันเขาจะคลายออกจากกันอย่างนี้
เราตามดูตามรู้ตามเห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ค่อยละทีละเล็กละทีละน้อย รู้จักทรงความว่างไว้เป็นอารมณ์ จิตของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากวิญญาณของเราเป็นอย่างไร มันก็จะเห็นชัดเจน ทุกส่วนๆ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เราพยายามทำความเข้าใจ หาเหตุหาผลด้วยสติด้วยปัญญา
ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสังเกตารวิเคราะห์ การทำความเข้าใจต้องต่อเนื่องอย่าไปเกียจคร้าน แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เรามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความเสียสละอย่างยิ่งยวดหรือไม่ เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่าจิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามรีบแก้ไขตัวเราเสีย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ
อะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เราก็ต้องพยายามช่วยกันทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา จะไปศึกษาที่ไหนก็ดีหมดเป็นการสร้างบารมี ศึกษาเน้นลงอยู่ที่กายที่ใจของเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง ลักษณะอาการของใจที่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ปกติเป็นอย่างไร เราก็จะได้เข้าถึง ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ใหม่ๆ ก็อาจจะมีการพลั้งเผลอก็ธรรมดา
ไม่ต้องไปกังวลว่ากลัวจะไม่ได้คิดกลัวจะไม่ได้ทำ กลัวจะไปเสียทีกิเลส กิเลสคนโน้นคนนี้ ไม่ต้องไปเสียเปรียบ เราไปห้ามคนอื่นเขาพูดไม่ได้หรอก ห้ามคนอื่นเขาคิดไม่ได้หรอก เรามาห้ามกายห้ามใจของเรา ทำหน้าที่ของเราให้มันถูกต้อง เราก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทำให้ดี ให้รีบๆทำขณะยังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็หมดโอกาส อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ ทำความเข้าใจกันเอา หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง