หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 065
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 065
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ทำใจของเราให้สงบได้ชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องสักนิดหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ
ถ้าเราขยันหมั่นเพียร เราก็พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ หัดสำรวจชีวิตของเรา กายของเราใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง การดำเนินชีวิต ทำอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข ทำอย่างไรจิตใจของเราถึงจะไม่ทุกข์กายของเราจะไม่ได้ลำบาก เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
โอกาสเปิดให้ทุกคน เพราะว่าทุกคนก็มีกายเนื้อมีขันธ์ห้าเหมือนกันหมดทุกคน มีวิญญาณเข้ามา อาศัยเข้ามาครอบครอง เข้ามาสร้างเลยแหละวิญญาณเข้ามาสร้างภพสร้างชาติ ภพของมนุษย์ซึ่งมีกายเนื้อซึ่งเป็นส่วนรูปธรรมเข้ามาห่อหุ้มอยู่ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจตรงนี้ เราต้องเจริญสติลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราต้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกหรือว่าความรู้สึกของการเคลื่อนไหวของกาย
รู้ที่ต่อเนื่องกับความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เราอย่าปล่อยเวลาทิ้ง ตื่นเช้าขึ้นมากายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อุปนิสัยทางด้านจิตวิญญาณของเราเป็นอย่างไร เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ตัวเราเป็นคนมีระเบียบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละหรือไม่ วิญญาณของเราเกิดความทะเยอทะยานอยากได้อย่างไร เรารู้จักดับรู้จักระงับรู้จักยับยั้งจนกว่ากำลังสติของเราจะสังเกตเห็น ตัววิญญาณของเรารวมกับอาการของความคิดซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ขณะเราสังเกตเห็นเขาก็จะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยเห็นด้วยแยกได้ด้วย
เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ตามดูการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ เห็นขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่เขาเกิดขึ้น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในขันธ์ห้าของเรา ถ้าเราเห็นตรงนี้รู้ตรงนี้ทำความเข้าใจได้ตรงนี้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในความหมายของคำว่า ‘อัตตากับอนัตตา’ เข้าใจความหมายของคำว่า ‘สมมติกับวิมุตติ’ ทีนี้กำลังสติปัญญาของเราจะมีความเพียรที่จะตามดูตามรู้ตามเห็นตามทำความเข้าใจว่าอะไรผิดอะไรถูก เขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร ไม่ใช่ว่ารู้แล้วปล่อยเลยตามเลย ยิ่งรู้แล้วยิ่งเห็นแล้วยิ่งทำความเข้าใจ
ขอให้ตัวใจคลายออกให้ได้เสียก่อน ถ้าใจยังไม่คลายก็ยังหลงอยู่ ก็ยังหลงอยู่แต่อาจจะหลงอยู่ในกองบุญกองกุศล มีศรัทธาเต็มเปี่ยมการสร้างอานิสงส์เต็มเปี่ยมแต่ยังหลงอยู่ในกองบุญอยู่ ยังหลงอยู่ในการสร้างคุณงามความดี ยังหลงเกิดแต่ก็ยังเป็นฝ่ายดีอยู่ ยังดีกว่าเป็นฝ่ายอกุศลที่จะนำไปสู่ความทุกข์ความเศร้าหมอง ในหลักธรรมท่านให้ทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง ทำความเข้าใจให้หมดทุกอย่างในกายของเรา ในขันธ์ห้าของเรา วิญญาณของเราเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราไปเหมารวมกันไปหมด กายก็ของเราวิญญาณก็ของเราเป็นตัวเป็นตนในทางสมมติ เป็นใจของเรา
แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ให้จำแนกแจกแจงออกเป็นกองเป็นขันธ์ ท่านถึงว่าเป็นขันธ์เป็นกองเป็นชิ้นเป็นอัน ทีนี้ตัววิญญาณก็มาเกิด เกิดกิเลสหยาบเกิดกิเลสละเอียดอีก เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจนกว่าไม่เหลือ ในความไม่เหลือนั่นมันเหลือสิ่งที่ไม่เหลืออยู่คือตัวความว่าง เรามาดับความเกิดขึ้นเสีย แล้วก็วางความเกิดอีก วางวิญญาณอีก
ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องพวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เลย ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ ความเสียสละ ความมีเมตตา ความมีพรหมวิหารความเมตตาก็มีกันอยู่ แต่ความรู้ตัวภายในนาทีหนึ่ง 2 นาที 3 นาที 5 นาที 10 นาที ความความรู้ตัวของเราต่อเนื่องแล้วหรือยังเอาไปใช้ได้หรือยัง เอาไปสังเกตวิเคราะห์กันแล้วหรือยัง ตรงนี้แหละเราขาดมากทีเดียว
ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะรู้ปุ๊บจะเห็นปั๊บ เราต้องค่อยสังเกตค่อยวิเคราะห์ ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็อย่าไปทิ้ง จงใหม่ๆ ก็ทั้งอึดอัดสารพัดอย่าง เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน ขันธมารเป็นอย่างไร อะไรคือมาร คำว่ามารเป็นอย่างไร กิเลสมารขันธมาร ที่พระพุทธองค์ท่านเรียกว่ามาร เราต้องพยายามรู้ให้ถึงต้นตอสาเหตุของเขา เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะมองเห็นทาง
เราก็รู้จักดำเนินจากน้อยๆ ไปหามากๆ กายของเราอยู่ร่วมกับหมู่กับคณะอยู่ร่วมกับสังคม เราก็ต้องพยายามสร้างความเมตตา สร้างพรหมวิหาร มีความรับผิดชอบไม่เห็นแก่ตัว เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ รู้จักบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ถูกจุด ถ้าเรารู้จักจุดปล่อยจุดวาง ไม่อยากจะวางก็ต้องได้วาง เพราะว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง ตามดูตามรู้ตามเห็น
แต่คนทั่วไปก็ได้อยู่แค่การทำบุญกับการให้ทาน การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์นี้มีน้อย แล้วก็รู้จักการละออกให้มันหมดจดก็มีน้อย ไม่ค่อยจะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไปปฏิบัติไปฝึกหัดที่ไหนก็อยู่ที่กายของเราที่แหละ ถ้าเราเข้าใจแล้วอยู่ที่ไหนก็เป็นวัด อยู่บ้านอยู่ไร่อยู่นา อยู่ที่ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ได้เข้าวัดถ้าเรารู้จักใจของเรา ใจของเราคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ แล้วก็ทำความเข้าใจแล้วก็ละ
การพูดง่ายนะ การฝึกหัดปฏิบัติการขัดเกลานี่เราต้องมีความเพียรกันอย่างยิ่งยวด มีความเสียสละกันอย่างเต็มเปี่ยม ขัดเกลาเอาออกจากใจของเราให้หมดจดจนไม่เหลืออะไรนั่นแหละ จนเหลือในสิ่งที่ไม่เหลือ เราก็บริหารทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติเคารพสมมติไม่ยึดติดสมมติเพราะว่าสัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงสัจจะความจริงตรงนั้นได้หรือไม่ เพียงแค่แยกแยะได้คลายได้ก็เป็นแค่เริ่มต้นนิดๆ หน่อยๆ ถ้าไม่เอาจริงๆ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ใจของเราอยู่ในกองบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์สร้างคุณงามความดี โอกาสเปิดสถานที่เปิดให้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราก็รีบทำ อย่าไปลุมานะลุทิฏฐิด้วยอำนาจของกิเลส เราต้องพยายามเดินตามทางที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าเราเข้าถึงแล้ว หมดความสงสัยแล้วหมดความลังเลแล้ว มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ถ้าเราขยันหมั่นเพียร เราก็พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ หัดสำรวจชีวิตของเรา กายของเราใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง การดำเนินชีวิต ทำอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข ทำอย่างไรจิตใจของเราถึงจะไม่ทุกข์กายของเราจะไม่ได้ลำบาก เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
โอกาสเปิดให้ทุกคน เพราะว่าทุกคนก็มีกายเนื้อมีขันธ์ห้าเหมือนกันหมดทุกคน มีวิญญาณเข้ามา อาศัยเข้ามาครอบครอง เข้ามาสร้างเลยแหละวิญญาณเข้ามาสร้างภพสร้างชาติ ภพของมนุษย์ซึ่งมีกายเนื้อซึ่งเป็นส่วนรูปธรรมเข้ามาห่อหุ้มอยู่ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจตรงนี้ เราต้องเจริญสติลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราต้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกหรือว่าความรู้สึกของการเคลื่อนไหวของกาย
รู้ที่ต่อเนื่องกับความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เราอย่าปล่อยเวลาทิ้ง ตื่นเช้าขึ้นมากายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร อุปนิสัยทางด้านจิตวิญญาณของเราเป็นอย่างไร เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ตัวเราเป็นคนมีระเบียบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละหรือไม่ วิญญาณของเราเกิดความทะเยอทะยานอยากได้อย่างไร เรารู้จักดับรู้จักระงับรู้จักยับยั้งจนกว่ากำลังสติของเราจะสังเกตเห็น ตัววิญญาณของเรารวมกับอาการของความคิดซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ขณะเราสังเกตเห็นเขาก็จะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ด้วยเห็นด้วยแยกได้ด้วย
เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ตามดูการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ เห็นขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่เขาเกิดขึ้น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในขันธ์ห้าของเรา ถ้าเราเห็นตรงนี้รู้ตรงนี้ทำความเข้าใจได้ตรงนี้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในความหมายของคำว่า ‘อัตตากับอนัตตา’ เข้าใจความหมายของคำว่า ‘สมมติกับวิมุตติ’ ทีนี้กำลังสติปัญญาของเราจะมีความเพียรที่จะตามดูตามรู้ตามเห็นตามทำความเข้าใจว่าอะไรผิดอะไรถูก เขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร ไม่ใช่ว่ารู้แล้วปล่อยเลยตามเลย ยิ่งรู้แล้วยิ่งเห็นแล้วยิ่งทำความเข้าใจ
ขอให้ตัวใจคลายออกให้ได้เสียก่อน ถ้าใจยังไม่คลายก็ยังหลงอยู่ ก็ยังหลงอยู่แต่อาจจะหลงอยู่ในกองบุญกองกุศล มีศรัทธาเต็มเปี่ยมการสร้างอานิสงส์เต็มเปี่ยมแต่ยังหลงอยู่ในกองบุญอยู่ ยังหลงอยู่ในการสร้างคุณงามความดี ยังหลงเกิดแต่ก็ยังเป็นฝ่ายดีอยู่ ยังดีกว่าเป็นฝ่ายอกุศลที่จะนำไปสู่ความทุกข์ความเศร้าหมอง ในหลักธรรมท่านให้ทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง ทำความเข้าใจให้หมดทุกอย่างในกายของเรา ในขันธ์ห้าของเรา วิญญาณของเราเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราไปเหมารวมกันไปหมด กายก็ของเราวิญญาณก็ของเราเป็นตัวเป็นตนในทางสมมติ เป็นใจของเรา
แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ให้จำแนกแจกแจงออกเป็นกองเป็นขันธ์ ท่านถึงว่าเป็นขันธ์เป็นกองเป็นชิ้นเป็นอัน ทีนี้ตัววิญญาณก็มาเกิด เกิดกิเลสหยาบเกิดกิเลสละเอียดอีก เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจนกว่าไม่เหลือ ในความไม่เหลือนั่นมันเหลือสิ่งที่ไม่เหลืออยู่คือตัวความว่าง เรามาดับความเกิดขึ้นเสีย แล้วก็วางความเกิดอีก วางวิญญาณอีก
ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องพวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เลย ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ ความเสียสละ ความมีเมตตา ความมีพรหมวิหารความเมตตาก็มีกันอยู่ แต่ความรู้ตัวภายในนาทีหนึ่ง 2 นาที 3 นาที 5 นาที 10 นาที ความความรู้ตัวของเราต่อเนื่องแล้วหรือยังเอาไปใช้ได้หรือยัง เอาไปสังเกตวิเคราะห์กันแล้วหรือยัง ตรงนี้แหละเราขาดมากทีเดียว
ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะรู้ปุ๊บจะเห็นปั๊บ เราต้องค่อยสังเกตค่อยวิเคราะห์ ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็อย่าไปทิ้ง จงใหม่ๆ ก็ทั้งอึดอัดสารพัดอย่าง เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน ขันธมารเป็นอย่างไร อะไรคือมาร คำว่ามารเป็นอย่างไร กิเลสมารขันธมาร ที่พระพุทธองค์ท่านเรียกว่ามาร เราต้องพยายามรู้ให้ถึงต้นตอสาเหตุของเขา เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะมองเห็นทาง
เราก็รู้จักดำเนินจากน้อยๆ ไปหามากๆ กายของเราอยู่ร่วมกับหมู่กับคณะอยู่ร่วมกับสังคม เราก็ต้องพยายามสร้างความเมตตา สร้างพรหมวิหาร มีความรับผิดชอบไม่เห็นแก่ตัว เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ รู้จักบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ถูกจุด ถ้าเรารู้จักจุดปล่อยจุดวาง ไม่อยากจะวางก็ต้องได้วาง เพราะว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง ตามดูตามรู้ตามเห็น
แต่คนทั่วไปก็ได้อยู่แค่การทำบุญกับการให้ทาน การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์นี้มีน้อย แล้วก็รู้จักการละออกให้มันหมดจดก็มีน้อย ไม่ค่อยจะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไปปฏิบัติไปฝึกหัดที่ไหนก็อยู่ที่กายของเราที่แหละ ถ้าเราเข้าใจแล้วอยู่ที่ไหนก็เป็นวัด อยู่บ้านอยู่ไร่อยู่นา อยู่ที่ทำการทำงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ได้เข้าวัดถ้าเรารู้จักใจของเรา ใจของเราคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ แล้วก็ทำความเข้าใจแล้วก็ละ
การพูดง่ายนะ การฝึกหัดปฏิบัติการขัดเกลานี่เราต้องมีความเพียรกันอย่างยิ่งยวด มีความเสียสละกันอย่างเต็มเปี่ยม ขัดเกลาเอาออกจากใจของเราให้หมดจดจนไม่เหลืออะไรนั่นแหละ จนเหลือในสิ่งที่ไม่เหลือ เราก็บริหารทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติเคารพสมมติไม่ยึดติดสมมติเพราะว่าสัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงสัจจะความจริงตรงนั้นได้หรือไม่ เพียงแค่แยกแยะได้คลายได้ก็เป็นแค่เริ่มต้นนิดๆ หน่อยๆ ถ้าไม่เอาจริงๆ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ใจของเราอยู่ในกองบุญ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์สร้างคุณงามความดี โอกาสเปิดสถานที่เปิดให้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราก็รีบทำ อย่าไปลุมานะลุทิฏฐิด้วยอำนาจของกิเลส เราต้องพยายามเดินตามทางที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าเราเข้าถึงแล้ว หมดความสงสัยแล้วหมดความลังเลแล้ว มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ