หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 055
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 055
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของการหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันซักพักซักระยะหนึ่งเสียก่อน
ตามความเป็นจริง เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็รู้จักสังเกตรู้จักวิเคราะห์การเกิดการดับของจิต รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ รู้จักแยกสังเกตอาการของความคิดกับจิต เขาจะเคลื่อนเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร จุดนี้แหละสำคัญกว่าเพื่อน เพราะถ้าเราสังเกตทันเมื่อไหร่ จิตของเราก็จะคลายออกจากความคิด เขาก็จะแยกรูปแยกนาม ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติอยู่ที่ตรงไหน ก็เพื่อที่จะชำระสะสางกิเลส ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ ทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
สมมติเราทำให้เรียบร้อยแล้วหรือยัง ภาระหน้าที่ต่างๆ โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว โลกเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น จิตของเราถ้ายังไม่คลายความหลง เขาก็ต้องเกิดด้วยทั้งหลงด้วย บางทีก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองหลง เพราะว่าอะไร เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อย ถ้ากำลังสติของเรามีมากเมื่อไหร่ สังเกตคลายได้เมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าเราหลง
เราอาจจะทำถูกอยู่ในระดับของสมมติของโลกียะ อยู่ในกองกุศล แต่ในหลักธรรมจริงๆ แล้วทั้งกุศลทั้งอกุศลต้องคลายต้องวางให้หมด สร้างแต่กุศล แต่ไม่ให้ยึด สร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ เราต้องรู้ความหมายในการฝึกหัดปฏิบัติ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา แม้ตั้งแต่อาการของความคิดเล็กๆ น้อยๆ ความอยาก อยากมีอยากเป็นอยากไป ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา อยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม
ความกังวลเป็นอย่างไร ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล บางคนก็วิบากกรรมสมมติมีน้อย คือไม่ได้เป็นภาระที่หนัก บางคนวิบากกรรมสมมติก็หนัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราหมั่นคลี่คลาย หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นแก้ไขปรับปรุง มันก็จะคลายทั้งภายนอกส่งผลถึงภายใน
เราจะเอาตั้งแต่ข้างในอย่างเดียวมันก็ไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าสมมติไม่ราบรื่น บางคนบางท่านก็มีความพร้อมทางสมมติ ก็ไปเร็วได้ไว ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องครอบครัวเรื่องภาระหน้าที่การงาน เพราะว่ามีการบริหารที่ดี ทำหน้าที่ดีๆ มันก็ส่งผลถึงจิต
การฝึกหัดปฏิบัติจิต การทำความเข้าใจ ลักษณะของจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร อันนี้เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติเข้าไปรู้ให้เห็นฐานของจิตจริงๆ ส่วนมากเราจะรู้เมื่อเขาเกิดแล้ว รู้เมื่อเขารวมกันกับขันธ์ห้าไปแล้ว
อาการของขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ตัววิญญาณตัวสุดท้ายมันเข้าไปรวมกับความคิดกับอารมณ์ได้อย่างไร ส่วนกายเนื้อ หรือว่าอัตตาร่างกายของเราก็เป็นก้อนเนื้อ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าไอ้ส่วนอีกสี่ส่วน เราต้องพยายามวิเคราะห์จำแนกแจกแจงออกให้ชัดเจน
บางทีวิญญาณของเราก็เกิดความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก อยากไม่รู้มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว อยากมีอยากเป็น อยากไป อยากเกิด อยากร่ำอยากรวย สารพัดความอยากที่มันเกิดขึ้นแต่ละวันๆ แม้แต่อยากจะรู้ธรรม เราก็ต้องพยายามหมั่นละหมั่นดับเสีย ดับแล้วความสงบก็จะเกิดขึ้นเอง ละกิเลสได้แล้วความว่างก็จะเกิดขึ้นเอง
หมั่นเอาสติไปวิเคราะห์ไปทำหน้าที่แทน กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราต้องศึกษากันจากน้อยๆ ไปหามากๆ แต่ละวันๆ เราเดินจงกรมนั่งสมาธิเพื่อฝึกสติ ขณะที่เราสร้างสติรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ขณะจิตก่อตัว เราก็น้อมเข้าไปดูรู้จิตควบคุมจิต อาการของความคิดที่มันผุดขึ้นมา เราก็น้อมเข้าไปดู
สติปัญญาของเราจะทำอะไรอยู่ เราก็ต้องวางทุกสิ่งทุกอย่าง น้อมเข้าไปดูอาการของความคิดของอารมณ์ ว่าเขาไปรวมกันได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าฝึกสักแต่ว่าฝึก แต่ไม่รู้ความหมายว่าฝึกแล้วเอาไปใช้เพื่ออะไร เพื่อที่จะเอาไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ไม่ว่ากิเลสหยาบกิเลสละเอียด
ทุกคนก็มีบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยู่ในกองบุญ แต่การสำรวจที่ต่อเนื่องไม่ค่อยจะต่อเนื่องกระท่อนกระแท่น เราต้องคลายออกให้หมด แม้ตั้งแต่อัตตาของการปฎิบัติ เราก็ต้องไม่ให้มี เราทำเพื่อที่จะรู้ความเป็นจริง รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ทุกเรื่อง จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาแล้ว ปัญญาเก่าของเรามีเต็มร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งร้อยนั่นแหละ ให้เหลือที่ศูนย์คือความว่าง
คนเรานี่ฉลาดมามาก คลายความฉลาดเก่าๆ ออกไปเสีย ยอมโง่ซักพัก คลายของเก่าออก จิตก็กลับคืนสู่สภาพเดิมคือความว่างความบริสุทธิ์ ช่วงนี้แหละจิตจะว้าเหว่ ถ้าจิตว้าเหว่เราก็ต้องพยายามเอาสติของเราที่ฝึกขึ้นมานี่แหละไปหมั่นพร่ำสอนเขา หมั่นพร่ำสอนหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นให้กำลังใจกับจิต
จิตจะก่อตัวส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักดับ หมั่นสร้างกำลังจิตไม่ให้เกิดไม่ให้หวั่นไหว ไม่ให้ปรุงแต่งไม่ให้ส่งไปภายนอก จิตส่งไปข้างนอก ส่งไปภายนอกยังไม่พอยังหลงอีก หลงอาการของความคิด หลงอาการของขันธ์ห้าอีก หลงขันธ์ห้าก็ยังไม่พอ หลงทำให้เกิดอัตตาตัวตน เกิดอัตตาตัวตนยังไม่พอ ไปหลงในสมมติอีก
สมมติอันนั้นก็ของเรา อันนี้ก็ของเรา ครอบครัวเรา ลูกเมียเรา ข้าวของของเรา ยศศักดิ์ของเรา บ้าอีกบ้าอำนาจสารพัดอย่าง ไม่รู้จักวิเคราะห์ไม่รู้จักพิจารณา หลงกันอยู่อย่างนั้นแหละ ก็เลยทำให้วนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ตัดวัฏสงสารออกไม่ได้ คือตัดวงกลมไม่ได้ ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งจิต หมุนอยู่อย่างนั้น
กายเนื้อของเราก็เกิดมาแล้วอยู่ในภพของมนุษย์ ก็มีการเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่คือเจริญวัยขึ้น ถึงวาระเวลาก็จะเริ่มเสื่อมลง เริ่มเสื่อมลง กลับคืนสู่สภาพเดิม คือดินน้ำลมไฟ มันเสื่อมตั้งแต่วันที่เกิด เสื่อมขึ้นเสื่อมลง แล้วก็แตกสลาย อนัตตาทางด้านสมมติก็ปรากฏ แต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในทางนามธรรม เราขาดการแยกแยะ เราก็เลยไม่รู้ก็เลยหลง ความคิดเข้ามาปรุงจิตแต่งหมุนเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น จิตก็ปรุงแต่งไปด้วยกัน หมุนอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราดับความเกิดไม่ได้ มันก็เกิดอยู่อย่างนั้น คลายความหลงไม่ได้ มันก็หลงอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็ต้องมาพยายามคลายความหลงออกให้มันได้ หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด หยุดพูดหยุดคิด สังเกตดูอาการของความคิด มันเกิดอยู่แล้ว
เราต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์ให้ทัน สติตัวใหม่ที่เราสร้างนี่แหละ มันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกระท่อนกระแท่น แม้ตั้งแต่เราแยกรูปแยกนามได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจชำระสะสางอีก มันก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก ถ้าเราแยกแยะสังเกตเห็น เขาจะแยกออกจากกันเอง เค้าแยกได้เมื่อไหร่ เราก็ตามดู ยิ่งสนุกใหญ่เลยช่วงนั้น
กิเลสตัวไหนเข้ามาเราก็รู้ จิตจะเกิดกิเลสเราก็ดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรมต่างๆเป็นอย่างไร มลทินต่างๆ เป็นอย่างไร มองน้อมเข้าไปดูที่ฐานของจิต ส่วนมากไปมองคนนั้นมองคนนี้ ไปเพ่งโทษคนนั้นโทษคนนี้ กิเลสของตัวเราทั้งนั้นที่ไปเพ่งโทษคนอื่น เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา วิเคราะห์ตัวเราปรับปรุงตัวเรา เอาความเป็นกลางความว่างเป็นที่ตั้ง ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น
รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็รีบดับเสีย ดับแล้วก็วิเคราะห์ใหม่ ไม่ต้องไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ไอ้ความอยากตัวเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละเราไม่รู้จักดับ มันก็ลุกลามไปเป็นความอยากตัวใหญ่ ถ้าเราดับตั้งแต่ต้นเหตุเสีย มันก็ไม่มีมันก็ไม่เกิด เราดับความเกิดของจิตเสีย จิตของเราก็ไม่เกิด ไม่ไปก่อภพก่อชาติที่ไหนอีก
คลายความหลงแล้วก็มาละกิเลส แล้วก็มาดับความเกิดเสีย เราก็จะได้มองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง แต่ส่วนมากเราจะมองเห็นตั้งแต่ทางของโลกๆ ไม่ใช่มองเข้าไปลึกๆ ในการเดินทางของจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ก็ต้องพยายามกัน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล
วิบากกรรม กรรมคือการกระทำ เราจะยึดหรือไม่ยึด เราจะหลงหรือไม่หลง เราต้องคลายความหลงออกให้ได้เสียก่อนเราถึงจะรู้ ถ้าเรายังคลายความหลงไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็จะว่าตัวเองไม่หลง ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ เราก็จะร้องอ๋อ เราหลงแค่ความคิดแค่นี้เอง หลงแค่ความคิดยังไม่พอนะ เราก็ยังไปหลงเอาหมด ไปยึดเอาหมด
เราทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อยเสีย แล้วก็ละแล้วก็ดับ เปลี่ยนจากความยึดมั่นถือมั่นมาเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบที่เราเข้าไปทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เกิดบุญเกิดกุศล เราก็พลอยได้รับอานิสงส์สมมุติตรงนั้นด้วย
ความเป็นอยู่สมมติเราก็สะดวกสบาย อยู่ที่ไหนถ้าเรามีความเกียจคร้านก็ใช้การไม่ได้ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทน แล้วก็เจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ถ้าเราเกียจคร้านแล้วก็ใช้การไม่ได้ อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นนอน อย่าเห็นแก่พูด ท่านถึงบอกว่าให้พูดน้อย หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาตัวเราให้มากๆ แก้ไขตัวเราให้มากๆ พูดน้อยนอนน้อยกินน้อย ปฏิบัติให้มากๆ
ถ้าเราเข้าใจแล้ว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย ปฏิบัติเพื่อที่จะปล่อยเพื่อที่จะวาง วางออกให้หมดคลายออกให้มันหมด ฝึกหัดปฏิบัติเพื่อชำระสะสางกิเลส คลายออกหมดแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะเอา นอกนั้นก็มีตั้งแต่บริหารให้ถูกต้องเสีย
ทำหน้าที่ กายเขาก็ทำหน้าที่ของเขา วิญญาณหรือว่าจิตเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ โลกภายนอกโลกธรรมเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลเพื่อที่จะยังสมมติให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ให้อยู่สุขสบายกัน ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านไม่ฝึกหัดปฏิบัติไม่ขัดเกลาก็ช่วยเหลือไม่ได้ ต้องพากันไปทำไปฝึก แม้ตั้งแต่ความอยากที่จะรู้ธรรม อยากที่จะได้ธรรม เราก็ต้องละความอยากนั้นเสียถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต ดับความเกิด การฝึกหัดปฏิบัติก็เพื่อที่จะคลายความหลง ละกิเลส แล้วก็ดับความเกิด
ไม่ต้องการที่จะเกิด เราก็ต้องดับความเกิด ถ้าจิตยังเกิดอยู่ตราบใดตราบนั้นก็ต้องเกิดอยู่ตลอด คนทั่วไปไม่เข้าใจก็เลยมีตั้งแต่ไปคิดค้นไปแสวงหา ซึ่งเกิดจากอำนาจของความอยากที่เกิดจากตัวจิต ยิ่งหาเท่าไหร่ยิ่งห่างไกล เราต้องสร้างความรู้สึกตัวใหม่เข้าไปดับเข้าไปคลาย เข้าไปทำความเข้าใจ หนุนกำลังสติเข้าไปใช้ให้เป็นปัญญา
จิตของเราเป็นผู้รู้เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ ก็ต้องคลายความหลงเสียก่อน จิตนี้ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเขาจริงๆ เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเอง ทั้งวิ่งทั้งเกิดทั้งแสวงหาสารพัดอย่าง ทั้งขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งหาเหตุหาผล กิเลสเขาก็มีเหตุมีผลอย่างแยบคายเหมือนกัน กำลังสติปัญญาของเราก็ต้องพยายามห้ำหั่นอย่างแยบคายเหมือนกัน ถึงจะแก้ไขกันได้
ถ้าจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วเขาก็จะปล่อยวางของเขาเอง ไม่อยากจะปล่อยวางไม่อยากจะวาง เขาก็ต้องวางของเขา เพราะว่าการเกิดเป็นทุกข์ เป็นทาสของกิเลสเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เอา ถ้าเขาไม่หลงแล้ว ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้ว อะไรมาชักมาลากมาฉุดมาดึงเขาก็ไม่ไป ก็ต้องพยายามกันนะ จากน้อยๆ ไปหามากๆ
อย่าไปท้อถอยกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่เริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ก็จะถึงความสงบความสุขกัน ดีไม่ดีไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอาตามกำลังของแต่ละบุคคล
ตามความเป็นจริง เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็รู้จักสังเกตรู้จักวิเคราะห์การเกิดการดับของจิต รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ รู้จักแยกสังเกตอาการของความคิดกับจิต เขาจะเคลื่อนเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร จุดนี้แหละสำคัญกว่าเพื่อน เพราะถ้าเราสังเกตทันเมื่อไหร่ จิตของเราก็จะคลายออกจากความคิด เขาก็จะแยกรูปแยกนาม ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติอยู่ที่ตรงไหน ก็เพื่อที่จะชำระสะสางกิเลส ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ ทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
สมมติเราทำให้เรียบร้อยแล้วหรือยัง ภาระหน้าที่ต่างๆ โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว โลกเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น จิตของเราถ้ายังไม่คลายความหลง เขาก็ต้องเกิดด้วยทั้งหลงด้วย บางทีก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองหลง เพราะว่าอะไร เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อย ถ้ากำลังสติของเรามีมากเมื่อไหร่ สังเกตคลายได้เมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าเราหลง
เราอาจจะทำถูกอยู่ในระดับของสมมติของโลกียะ อยู่ในกองกุศล แต่ในหลักธรรมจริงๆ แล้วทั้งกุศลทั้งอกุศลต้องคลายต้องวางให้หมด สร้างแต่กุศล แต่ไม่ให้ยึด สร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ เราต้องรู้ความหมายในการฝึกหัดปฏิบัติ หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา แม้ตั้งแต่อาการของความคิดเล็กๆ น้อยๆ ความอยาก อยากมีอยากเป็นอยากไป ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา อยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม
ความกังวลเป็นอย่างไร ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล บางคนก็วิบากกรรมสมมติมีน้อย คือไม่ได้เป็นภาระที่หนัก บางคนวิบากกรรมสมมติก็หนัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราหมั่นคลี่คลาย หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นแก้ไขปรับปรุง มันก็จะคลายทั้งภายนอกส่งผลถึงภายใน
เราจะเอาตั้งแต่ข้างในอย่างเดียวมันก็ไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าสมมติไม่ราบรื่น บางคนบางท่านก็มีความพร้อมทางสมมติ ก็ไปเร็วได้ไว ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องครอบครัวเรื่องภาระหน้าที่การงาน เพราะว่ามีการบริหารที่ดี ทำหน้าที่ดีๆ มันก็ส่งผลถึงจิต
การฝึกหัดปฏิบัติจิต การทำความเข้าใจ ลักษณะของจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร อันนี้เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติเข้าไปรู้ให้เห็นฐานของจิตจริงๆ ส่วนมากเราจะรู้เมื่อเขาเกิดแล้ว รู้เมื่อเขารวมกันกับขันธ์ห้าไปแล้ว
อาการของขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ตัววิญญาณตัวสุดท้ายมันเข้าไปรวมกับความคิดกับอารมณ์ได้อย่างไร ส่วนกายเนื้อ หรือว่าอัตตาร่างกายของเราก็เป็นก้อนเนื้อ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าไอ้ส่วนอีกสี่ส่วน เราต้องพยายามวิเคราะห์จำแนกแจกแจงออกให้ชัดเจน
บางทีวิญญาณของเราก็เกิดความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก อยากไม่รู้มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว อยากมีอยากเป็น อยากไป อยากเกิด อยากร่ำอยากรวย สารพัดความอยากที่มันเกิดขึ้นแต่ละวันๆ แม้แต่อยากจะรู้ธรรม เราก็ต้องพยายามหมั่นละหมั่นดับเสีย ดับแล้วความสงบก็จะเกิดขึ้นเอง ละกิเลสได้แล้วความว่างก็จะเกิดขึ้นเอง
หมั่นเอาสติไปวิเคราะห์ไปทำหน้าที่แทน กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราต้องศึกษากันจากน้อยๆ ไปหามากๆ แต่ละวันๆ เราเดินจงกรมนั่งสมาธิเพื่อฝึกสติ ขณะที่เราสร้างสติรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ขณะจิตก่อตัว เราก็น้อมเข้าไปดูรู้จิตควบคุมจิต อาการของความคิดที่มันผุดขึ้นมา เราก็น้อมเข้าไปดู
สติปัญญาของเราจะทำอะไรอยู่ เราก็ต้องวางทุกสิ่งทุกอย่าง น้อมเข้าไปดูอาการของความคิดของอารมณ์ ว่าเขาไปรวมกันได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าฝึกสักแต่ว่าฝึก แต่ไม่รู้ความหมายว่าฝึกแล้วเอาไปใช้เพื่ออะไร เพื่อที่จะเอาไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ไม่ว่ากิเลสหยาบกิเลสละเอียด
ทุกคนก็มีบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยู่ในกองบุญ แต่การสำรวจที่ต่อเนื่องไม่ค่อยจะต่อเนื่องกระท่อนกระแท่น เราต้องคลายออกให้หมด แม้ตั้งแต่อัตตาของการปฎิบัติ เราก็ต้องไม่ให้มี เราทำเพื่อที่จะรู้ความเป็นจริง รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ทุกเรื่อง จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาแล้ว ปัญญาเก่าของเรามีเต็มร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งร้อยนั่นแหละ ให้เหลือที่ศูนย์คือความว่าง
คนเรานี่ฉลาดมามาก คลายความฉลาดเก่าๆ ออกไปเสีย ยอมโง่ซักพัก คลายของเก่าออก จิตก็กลับคืนสู่สภาพเดิมคือความว่างความบริสุทธิ์ ช่วงนี้แหละจิตจะว้าเหว่ ถ้าจิตว้าเหว่เราก็ต้องพยายามเอาสติของเราที่ฝึกขึ้นมานี่แหละไปหมั่นพร่ำสอนเขา หมั่นพร่ำสอนหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นให้กำลังใจกับจิต
จิตจะก่อตัวส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักดับ หมั่นสร้างกำลังจิตไม่ให้เกิดไม่ให้หวั่นไหว ไม่ให้ปรุงแต่งไม่ให้ส่งไปภายนอก จิตส่งไปข้างนอก ส่งไปภายนอกยังไม่พอยังหลงอีก หลงอาการของความคิด หลงอาการของขันธ์ห้าอีก หลงขันธ์ห้าก็ยังไม่พอ หลงทำให้เกิดอัตตาตัวตน เกิดอัตตาตัวตนยังไม่พอ ไปหลงในสมมติอีก
สมมติอันนั้นก็ของเรา อันนี้ก็ของเรา ครอบครัวเรา ลูกเมียเรา ข้าวของของเรา ยศศักดิ์ของเรา บ้าอีกบ้าอำนาจสารพัดอย่าง ไม่รู้จักวิเคราะห์ไม่รู้จักพิจารณา หลงกันอยู่อย่างนั้นแหละ ก็เลยทำให้วนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ตัดวัฏสงสารออกไม่ได้ คือตัดวงกลมไม่ได้ ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งจิต หมุนอยู่อย่างนั้น
กายเนื้อของเราก็เกิดมาแล้วอยู่ในภพของมนุษย์ ก็มีการเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่คือเจริญวัยขึ้น ถึงวาระเวลาก็จะเริ่มเสื่อมลง เริ่มเสื่อมลง กลับคืนสู่สภาพเดิม คือดินน้ำลมไฟ มันเสื่อมตั้งแต่วันที่เกิด เสื่อมขึ้นเสื่อมลง แล้วก็แตกสลาย อนัตตาทางด้านสมมติก็ปรากฏ แต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในทางนามธรรม เราขาดการแยกแยะ เราก็เลยไม่รู้ก็เลยหลง ความคิดเข้ามาปรุงจิตแต่งหมุนเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น จิตก็ปรุงแต่งไปด้วยกัน หมุนอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราดับความเกิดไม่ได้ มันก็เกิดอยู่อย่างนั้น คลายความหลงไม่ได้ มันก็หลงอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็ต้องมาพยายามคลายความหลงออกให้มันได้ หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด หยุดพูดหยุดคิด สังเกตดูอาการของความคิด มันเกิดอยู่แล้ว
เราต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์ให้ทัน สติตัวใหม่ที่เราสร้างนี่แหละ มันไม่ค่อยจะต่อเนื่องกระท่อนกระแท่น แม้ตั้งแต่เราแยกรูปแยกนามได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจชำระสะสางอีก มันก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก ถ้าเราแยกแยะสังเกตเห็น เขาจะแยกออกจากกันเอง เค้าแยกได้เมื่อไหร่ เราก็ตามดู ยิ่งสนุกใหญ่เลยช่วงนั้น
กิเลสตัวไหนเข้ามาเราก็รู้ จิตจะเกิดกิเลสเราก็ดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรมต่างๆเป็นอย่างไร มลทินต่างๆ เป็นอย่างไร มองน้อมเข้าไปดูที่ฐานของจิต ส่วนมากไปมองคนนั้นมองคนนี้ ไปเพ่งโทษคนนั้นโทษคนนี้ กิเลสของตัวเราทั้งนั้นที่ไปเพ่งโทษคนอื่น เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา วิเคราะห์ตัวเราปรับปรุงตัวเรา เอาความเป็นกลางความว่างเป็นที่ตั้ง ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น
รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็รีบดับเสีย ดับแล้วก็วิเคราะห์ใหม่ ไม่ต้องไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ไอ้ความอยากตัวเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละเราไม่รู้จักดับ มันก็ลุกลามไปเป็นความอยากตัวใหญ่ ถ้าเราดับตั้งแต่ต้นเหตุเสีย มันก็ไม่มีมันก็ไม่เกิด เราดับความเกิดของจิตเสีย จิตของเราก็ไม่เกิด ไม่ไปก่อภพก่อชาติที่ไหนอีก
คลายความหลงแล้วก็มาละกิเลส แล้วก็มาดับความเกิดเสีย เราก็จะได้มองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง แต่ส่วนมากเราจะมองเห็นตั้งแต่ทางของโลกๆ ไม่ใช่มองเข้าไปลึกๆ ในการเดินทางของจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ก็ต้องพยายามกัน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล
วิบากกรรม กรรมคือการกระทำ เราจะยึดหรือไม่ยึด เราจะหลงหรือไม่หลง เราต้องคลายความหลงออกให้ได้เสียก่อนเราถึงจะรู้ ถ้าเรายังคลายความหลงไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็จะว่าตัวเองไม่หลง ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ เราก็จะร้องอ๋อ เราหลงแค่ความคิดแค่นี้เอง หลงแค่ความคิดยังไม่พอนะ เราก็ยังไปหลงเอาหมด ไปยึดเอาหมด
เราทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อยเสีย แล้วก็ละแล้วก็ดับ เปลี่ยนจากความยึดมั่นถือมั่นมาเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบที่เราเข้าไปทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เกิดบุญเกิดกุศล เราก็พลอยได้รับอานิสงส์สมมุติตรงนั้นด้วย
ความเป็นอยู่สมมติเราก็สะดวกสบาย อยู่ที่ไหนถ้าเรามีความเกียจคร้านก็ใช้การไม่ได้ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทน แล้วก็เจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ถ้าเราเกียจคร้านแล้วก็ใช้การไม่ได้ อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นนอน อย่าเห็นแก่พูด ท่านถึงบอกว่าให้พูดน้อย หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาตัวเราให้มากๆ แก้ไขตัวเราให้มากๆ พูดน้อยนอนน้อยกินน้อย ปฏิบัติให้มากๆ
ถ้าเราเข้าใจแล้ว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย ปฏิบัติเพื่อที่จะปล่อยเพื่อที่จะวาง วางออกให้หมดคลายออกให้มันหมด ฝึกหัดปฏิบัติเพื่อชำระสะสางกิเลส คลายออกหมดแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะเอา นอกนั้นก็มีตั้งแต่บริหารให้ถูกต้องเสีย
ทำหน้าที่ กายเขาก็ทำหน้าที่ของเขา วิญญาณหรือว่าจิตเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ โลกภายนอกโลกธรรมเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลเพื่อที่จะยังสมมติให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ให้อยู่สุขสบายกัน ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านไม่ฝึกหัดปฏิบัติไม่ขัดเกลาก็ช่วยเหลือไม่ได้ ต้องพากันไปทำไปฝึก แม้ตั้งแต่ความอยากที่จะรู้ธรรม อยากที่จะได้ธรรม เราก็ต้องละความอยากนั้นเสียถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต ดับความเกิด การฝึกหัดปฏิบัติก็เพื่อที่จะคลายความหลง ละกิเลส แล้วก็ดับความเกิด
ไม่ต้องการที่จะเกิด เราก็ต้องดับความเกิด ถ้าจิตยังเกิดอยู่ตราบใดตราบนั้นก็ต้องเกิดอยู่ตลอด คนทั่วไปไม่เข้าใจก็เลยมีตั้งแต่ไปคิดค้นไปแสวงหา ซึ่งเกิดจากอำนาจของความอยากที่เกิดจากตัวจิต ยิ่งหาเท่าไหร่ยิ่งห่างไกล เราต้องสร้างความรู้สึกตัวใหม่เข้าไปดับเข้าไปคลาย เข้าไปทำความเข้าใจ หนุนกำลังสติเข้าไปใช้ให้เป็นปัญญา
จิตของเราเป็นผู้รู้เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ ก็ต้องคลายความหลงเสียก่อน จิตนี้ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเขาจริงๆ เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเอง ทั้งวิ่งทั้งเกิดทั้งแสวงหาสารพัดอย่าง ทั้งขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งหาเหตุหาผล กิเลสเขาก็มีเหตุมีผลอย่างแยบคายเหมือนกัน กำลังสติปัญญาของเราก็ต้องพยายามห้ำหั่นอย่างแยบคายเหมือนกัน ถึงจะแก้ไขกันได้
ถ้าจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วเขาก็จะปล่อยวางของเขาเอง ไม่อยากจะปล่อยวางไม่อยากจะวาง เขาก็ต้องวางของเขา เพราะว่าการเกิดเป็นทุกข์ เป็นทาสของกิเลสเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เอา ถ้าเขาไม่หลงแล้ว ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้ว อะไรมาชักมาลากมาฉุดมาดึงเขาก็ไม่ไป ก็ต้องพยายามกันนะ จากน้อยๆ ไปหามากๆ
อย่าไปท้อถอยกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่เริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ก็จะถึงความสงบความสุขกัน ดีไม่ดีไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอาตามกำลังของแต่ละบุคคล