หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 04
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 04
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พระบวชใหม่ของเราดูดีๆนะ ก่อนที่จะขบฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง วันแรก วันที่สอง วันที่สาม ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่แล้วก็ทำความเข้าใจ กายของเราเคยรับประทานอาหารมื้อสองมื้อสามมื้อ บางทีก็สี่มื้อห้ามื้อ เราลดลงเหลืออยู่มื้อสองมื้อ ความหิวของกายก็จะปรากฏชัด ความอยากของจิตก็จะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว เราพยายามควบคุม ถ้าการควบคุมไม่มี ใจของเราก็จะเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งเกิดด้วย ทั้งอยากด้วย ทั้งคิดด้วย สารพัดอย่าง
พยายามฝึกฝนตนเอง ถ้าเราดับความอยาก ควบคุมความอยากได้ เราจะเอาจะมีจะทานอะไร ก็เป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญา กะประมาณในการขบฉันของเรา กะว่าไม่อิ่ม มันจะอิ่มพอดี ถ้าว่าอิ่มส่วนมากจะเหลือนะ อันโน้นก็อยาก อันนี้ก็อยาก กิเลสมันบอกเอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกเอาเยอะๆ เอาเยอะๆ ว่าอย่างนั้น เวลารับประทานจริงๆ แล้ว ทานได้นิดเดียว
เราก็ต้องพยายามฝึกฝนดับความอยากของเรา ไม่ใช่ว่าอยากในอาหารอย่างเดียว อยากมี อยากเป็น อยากดี อยากดัง อยากเด่น อยากสารพัดอย่าง อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ให้พยายามทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมุติเข้าครอบงำ ก็พยายามเอา
อยู่หลายองค์หลายท่าน อยู่ร่วมกัน การศึกษาธรรมก็ศึกษากาย ศึกษาจิตของเรานั่นแหละ ไม่ได้ไปศึกษาที่ไหนหรอก ศึกษานอกกายนั้นก็เป็นแค่เพียงหาแนวทางเท่านั้นเอง เรารู้จักแนวทางเรารู้จักวิธี รู้จักต้นเหตุของการละ การดับแล้ว ก็พยายามรีบทำเอา กําลังสติปัญญาเอาไปใช้กับสมมติ อะไรควรให้หยุด อะไรควรให้นิ่ง ก็พยายามทำขณะที่เรายังมีกําลังอยู่ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนยืน เดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ เราต้องหมั่นสํารวจตรวจตราดู รู้กายรู้จิตของเราตลอดเวลา
พยายามทำกันเอา หลวงพ่อได้เพียงแค่พูดให้ฟังเท่านั้นแหละ พวกท่านไม่เคยทำ พวกท่านก็ไม่เข้าใจ สภาพร่างกายของหลวงพ่อก็อ่อนล้าแล้วนะ สภาพหัวใจ การทำงานของหัวใจ การทำงานของไต ของหัวใจ เขาก็อ่อนล้า สภาพร่างกายก็หมดกําลัง ประคับประคองเขาอยู่ไปวันๆ จนกว่าจะถึงวาระของเขาเท่านั้นเอง
ถ้าเราฝึกฝนตนเองให้เกิดความเคยชิน เราก็จะได้ไปใช้กับชีวิตประจำวันตลอดเวลา ต้องทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง เราดับความกังวลเรื่องต่างๆ เรื่องพันธะ เรื่องภาระ เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องศีล เรื่องอะไรต่างๆ เราทำความเข้าใจ ให้ทำความเข้าใจศีล ลักษณะของศีล ความปกตินั่นแหละคือศีล ปกติของกาย ของวาจา และก็ลึกลงไปก็ให้รู้จักตัวศีลก็คือใจ
ใจของเราไม่มีเจตนาที่จะไปอคติไปเพ่งโทษ ไปดุไปด่า ไปว่าคนโน้น ไปว่าคนนี้ นั่นแหละคือศีล ศีลระดับใจ ระดับวาจา แล้วก็พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด เราพูดออกไปแล้ว ทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ เราเดือดร้อนหรือไม่ เราก็ต้องดู พูดเวลาไหนควรพูด เวลาไหนไม่ควรพูด
ต้องหัดวิเคราะห์ลึกลงไป อะไรควรคิด หรือไม่ควรคิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ เราก็ไม่คิด แม้แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เราก็คิดด้วยปัญญา ไม่ได้คิดที่เกิดจากตัวจิตส่งออกไป ช่วงใหม่ๆเราก็ต้องเจริญสติ สร้างสติประคับ ประคองสติ สร้างสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นแก่นอน อย่าเห็นแก่พูดแก่คุยกันมากมาย ทำความเพียร ทำในใจอยู่ตลอดเวลา
มีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี น้อยวัดที่จะมีพระมาอยู่ร่วมกันเยอะๆ ส่วนมากก็มีวัดละองค์ สององค์ หลวงปู่หลวงตาอย่างมากก็ 4 - 5 องค์ 4 - 5 รูป ที่วัดเรานี่ก็รู้สึกว่าจะเป็นอานิสงส์ มีมาอยู่ร่วมกันเยอะทุกปี เพราะว่าความเป็นสิริมงคล ณ สถานที่แห่งนี้ แล้วก็ความเป็นสิริมงคล หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ได้อัญเชิญมาพระบรมสารีริกธาตุ เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาย่อมจะมากระจุกตัวในสถานที่เป็นสิริมงคล ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้ามีความเป็นสิริมงคล มนุษย์เทวดาทั้งหลายก็จะไปรวมกัน ณ สถานที่ตรงนั้น เพื่อความสงบสุข เพื่อความหลุดพ้นในวันข้างหน้า ก็ต้องพยายามกัน
พระใหม่ก็ยิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ หัดครองผ้าให้เป็น ขณะที่ครองผ้าก็มีสติรู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก ไปบิณฑบาติก็กำหนดการเดินไป สร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดิน เวลารับบิณฑบาติ ก็สร้างความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจ สติก็จะต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าจะมาตั้งใจเดิน ตั้งใจนั่งเอาเป็นเอาตาย โดยที่ไม่ได้คําว่าสติรู้ตัว ไม่รู้จักเลย เราต้องสร้างขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั้น สร้างขึ้นมาแล้วก็ให้รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิดขณะเขาเกิด เขาก่อตัว เราก็จะเดินปัญญาได้เร็วได้ไว เราก็จะเข้าใจในเรื่องศีล ในเรื่องสมาธิ ในเรื่องปัญญา เข้าใจในการดำเนินวิปัสสนา การแยกรูปแยกนาม การตามทำความเข้าใจ การชําระสะสางกิเลส
เราจะดำเนินชีวิตของเรา อยู่กับสมมติอย่างไรถึงจะมีความสุข เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรถึงจะคุ้มค่า ถึงจะเกิดประโยชน์ เป็นคนที่สร้างประโยชน์ให้แก่ตน ประโยชน์แก่ส่วนรวม ประโยชน์สังคม ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกหน้า เอาปัจจุบันนี้ให้ดี โลกหน้าก็เขาก็จะเป็นของเขาเอง ถ้าปัจจุบันดีแล้ว ปัจจุบันดีก็ส่งผลถึงอนาคต อดีตก็ส่งผลถึงปัจจุบัน ปัจจุบันก็ส่งผลถึงอนาคต เราก็ต้องพยายามสร้างความดีอยู่ปัจจุบัน
วัดของเราก็คงจะไม่มีอะไรมากมาย เพราะว่าความพร้อมมีหมดทุกอย่าง ก็มีอะไรก็ช่วยกัน เอากลดเอาเต็นท์ไปกางตามร่มไม้ ตรงไหนเหมาะๆ ก็ไปกาง กลางคืนก็ไปนั่งเล่นนอนเล่น เดินพิจารณาใจของเรา พิจารณาใจ พิจารณากาย นั่นแหละปฏิสังขาโย กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าเดินคิด นั่งคิด นอนคิด หาแต่เรื่องใส่ใจของตัวเอง อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงไหน ใจของเราเกิดความอยาก เราก็ดับความอยากเสียก่อน ให้หายอยากเสียก่อนค่อยทาน ทีนี้เราจะทำอะไรก็เป็นเรื่องปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ถึงวาระเวลาก็ต้องได้วางหมด ระหว่างขณะที่เราทำนี่แหละ คือทำหน้าที่ให้ดี
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ซึ่งเรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัว เราก็พยายามรีบสร้างเสีย นั่งให้สบาย วางกายให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบายที่สุด การสูดลมหายใจยาวๆ เป็นการผ่อนคลาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายร่างกาย กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบาย ลมหายใจที่กระทบปลายจมูกมีความรู้สึกที่เด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกตัว
เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตรงนี้ มันก็ยากที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่สูงขึ้นไปอีก ถ้ายังไม่รู้ทันเหตุการก่อตัวของจิต เราก็พยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ตามความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ไม่ว่าจะความรู้สึกที่การเดิน หรือว่าอยู่ที่ลมหายใจให้ต่อเนื่อง ถ้ามีความเกียจคร้าน ก็ยากที่จะรู้เท่าทันจิต เพียงแค่เริ่มต้นตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ตัวอื่นก็จะตามมา
อีกอย่างหนึ่งนั้น จิตของทุกคนก็ปรารถนาในบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยากทำบุญ อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม แต่ในทางหลักธรรมจริงๆ แล้วมันจะกลับกัน คือท่านให้ละความอยาก ละความหวัง สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ให้รู้ ให้เห็น รู้ไม่ทันก็รู้จักดับ ช่วงใหม่ๆ จิตของคนเรามันเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก ไม่อยากมากก็อยากน้อย อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ตรงนี้แหละมันปิดกั้นเอาไว้หมด
แม้ตั้งแต่การคิด ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม ความกังวล ความฟุ้งซ่านต่างๆ มันปิดกั้นเอาไว้ และปิดกั้นดวงจิตเอาไว้ ท่านถึงว่านิวรณธรรมเป็นเครื่องกักกันจิตของเราไว้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ในราคะ รูปรสกลิ่นเสียง จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็ให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จิตของเรามีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับ มีความลังเลสงสัยในเรื่องต่างๆ ให้ดับหมด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เห็น แม้แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เราก็ต้องพยายามเอา
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมี ผ่านกันมาหมด เราสามารถใช้กําลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเข้าไปรู้เท่าจิตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรแต่ละบุคคล ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าไปที่โน้นจะรู้ธรรม ไปที่นี้จะรู้ธรรม เพราะใจของเรานั่นแหละ ตอนนี้เวลานี้เขายังวิ่งไปกับโลกอยู่ เรามาดับ มาละ มาแยก มาทำความเข้าใจ ให้เขาตกเข้าไปสู่กระแสธรรมคือความสงบ ความโล่ง ความโปร่ง ความว่าง ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เขาเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ ตัวจิตชอบเที่ยว ชอบส่งออกไปภายนอก เรามาดับ มาฝืน มาทวน จนกว่าจิตของเราจะคลายนั่นแหละ ถึงจะไปตามกระแสธรรม
ต่อไปข้างหน้าก็ตามดู ตามรู้ ตามเห็น หมั่นพร่ำสอนจิต หมั่นทำความเข้าใจ จนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ถ้าเขาไม่รู้เห็นจริงๆ ยากที่เขาจะวาง ก็ต้องพยายามเอา ไม่เหลือวิสัย แต่ถ้าเราเข้าใจ อะไรก็ง่ายขึ้น ถ้าไม่เข้าใจ ยาก ปิดกั้นไว้หมด แม้แต่ความกังวล ความลังเล ความสงสัยในตัวเอง ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ความลังเลสงสัยในพระพุทธ ในพระรัตนตรัย สารพัดอย่าง นั่นเขาเรียกว่า ‘ขันธมาร’ วิบากกรรมมาปิดกั้นเอาไว้
เราพยายามฝ่าฟันให้มันผ่านไป อะไรจะเกิดขึ้นมาก็ให้มันเกิด เกิดขึ้นมารู้เท่าทัน ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วาง ใหม่ๆ มันก็อาจจะอึดอัด สารพัดอย่าง เพราะว่ากิเลสมารเขาก็ไม่ยอมให้จิตเรารู้ความจริงได้ง่ายๆเหมือนกัน แม้แต่ตัวจิตมันยังหลอกตัวเองอยู่ เราต้องพยายามกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ๆ จนมันถึงจุดหมายปลายทางได้
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนลองดูสิ อยู่หลายคนก็เหมือนยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่ง จิตให้โปร่ง
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
พยายามฝึกฝนตนเอง ถ้าเราดับความอยาก ควบคุมความอยากได้ เราจะเอาจะมีจะทานอะไร ก็เป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญา กะประมาณในการขบฉันของเรา กะว่าไม่อิ่ม มันจะอิ่มพอดี ถ้าว่าอิ่มส่วนมากจะเหลือนะ อันโน้นก็อยาก อันนี้ก็อยาก กิเลสมันบอกเอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกเอาเยอะๆ เอาเยอะๆ ว่าอย่างนั้น เวลารับประทานจริงๆ แล้ว ทานได้นิดเดียว
เราก็ต้องพยายามฝึกฝนดับความอยากของเรา ไม่ใช่ว่าอยากในอาหารอย่างเดียว อยากมี อยากเป็น อยากดี อยากดัง อยากเด่น อยากสารพัดอย่าง อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ให้พยายามทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมุติเข้าครอบงำ ก็พยายามเอา
อยู่หลายองค์หลายท่าน อยู่ร่วมกัน การศึกษาธรรมก็ศึกษากาย ศึกษาจิตของเรานั่นแหละ ไม่ได้ไปศึกษาที่ไหนหรอก ศึกษานอกกายนั้นก็เป็นแค่เพียงหาแนวทางเท่านั้นเอง เรารู้จักแนวทางเรารู้จักวิธี รู้จักต้นเหตุของการละ การดับแล้ว ก็พยายามรีบทำเอา กําลังสติปัญญาเอาไปใช้กับสมมติ อะไรควรให้หยุด อะไรควรให้นิ่ง ก็พยายามทำขณะที่เรายังมีกําลังอยู่ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนยืน เดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ เราต้องหมั่นสํารวจตรวจตราดู รู้กายรู้จิตของเราตลอดเวลา
พยายามทำกันเอา หลวงพ่อได้เพียงแค่พูดให้ฟังเท่านั้นแหละ พวกท่านไม่เคยทำ พวกท่านก็ไม่เข้าใจ สภาพร่างกายของหลวงพ่อก็อ่อนล้าแล้วนะ สภาพหัวใจ การทำงานของหัวใจ การทำงานของไต ของหัวใจ เขาก็อ่อนล้า สภาพร่างกายก็หมดกําลัง ประคับประคองเขาอยู่ไปวันๆ จนกว่าจะถึงวาระของเขาเท่านั้นเอง
ถ้าเราฝึกฝนตนเองให้เกิดความเคยชิน เราก็จะได้ไปใช้กับชีวิตประจำวันตลอดเวลา ต้องทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง เราดับความกังวลเรื่องต่างๆ เรื่องพันธะ เรื่องภาระ เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องศีล เรื่องอะไรต่างๆ เราทำความเข้าใจ ให้ทำความเข้าใจศีล ลักษณะของศีล ความปกตินั่นแหละคือศีล ปกติของกาย ของวาจา และก็ลึกลงไปก็ให้รู้จักตัวศีลก็คือใจ
ใจของเราไม่มีเจตนาที่จะไปอคติไปเพ่งโทษ ไปดุไปด่า ไปว่าคนโน้น ไปว่าคนนี้ นั่นแหละคือศีล ศีลระดับใจ ระดับวาจา แล้วก็พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด เราพูดออกไปแล้ว ทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ เราเดือดร้อนหรือไม่ เราก็ต้องดู พูดเวลาไหนควรพูด เวลาไหนไม่ควรพูด
ต้องหัดวิเคราะห์ลึกลงไป อะไรควรคิด หรือไม่ควรคิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ เราก็ไม่คิด แม้แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เราก็คิดด้วยปัญญา ไม่ได้คิดที่เกิดจากตัวจิตส่งออกไป ช่วงใหม่ๆเราก็ต้องเจริญสติ สร้างสติประคับ ประคองสติ สร้างสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นแก่นอน อย่าเห็นแก่พูดแก่คุยกันมากมาย ทำความเพียร ทำในใจอยู่ตลอดเวลา
มีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี น้อยวัดที่จะมีพระมาอยู่ร่วมกันเยอะๆ ส่วนมากก็มีวัดละองค์ สององค์ หลวงปู่หลวงตาอย่างมากก็ 4 - 5 องค์ 4 - 5 รูป ที่วัดเรานี่ก็รู้สึกว่าจะเป็นอานิสงส์ มีมาอยู่ร่วมกันเยอะทุกปี เพราะว่าความเป็นสิริมงคล ณ สถานที่แห่งนี้ แล้วก็ความเป็นสิริมงคล หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ได้อัญเชิญมาพระบรมสารีริกธาตุ เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาย่อมจะมากระจุกตัวในสถานที่เป็นสิริมงคล ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้ามีความเป็นสิริมงคล มนุษย์เทวดาทั้งหลายก็จะไปรวมกัน ณ สถานที่ตรงนั้น เพื่อความสงบสุข เพื่อความหลุดพ้นในวันข้างหน้า ก็ต้องพยายามกัน
พระใหม่ก็ยิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ หัดครองผ้าให้เป็น ขณะที่ครองผ้าก็มีสติรู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก ไปบิณฑบาติก็กำหนดการเดินไป สร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดิน เวลารับบิณฑบาติ ก็สร้างความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจ สติก็จะต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าจะมาตั้งใจเดิน ตั้งใจนั่งเอาเป็นเอาตาย โดยที่ไม่ได้คําว่าสติรู้ตัว ไม่รู้จักเลย เราต้องสร้างขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั้น สร้างขึ้นมาแล้วก็ให้รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิดขณะเขาเกิด เขาก่อตัว เราก็จะเดินปัญญาได้เร็วได้ไว เราก็จะเข้าใจในเรื่องศีล ในเรื่องสมาธิ ในเรื่องปัญญา เข้าใจในการดำเนินวิปัสสนา การแยกรูปแยกนาม การตามทำความเข้าใจ การชําระสะสางกิเลส
เราจะดำเนินชีวิตของเรา อยู่กับสมมติอย่างไรถึงจะมีความสุข เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรถึงจะคุ้มค่า ถึงจะเกิดประโยชน์ เป็นคนที่สร้างประโยชน์ให้แก่ตน ประโยชน์แก่ส่วนรวม ประโยชน์สังคม ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกหน้า เอาปัจจุบันนี้ให้ดี โลกหน้าก็เขาก็จะเป็นของเขาเอง ถ้าปัจจุบันดีแล้ว ปัจจุบันดีก็ส่งผลถึงอนาคต อดีตก็ส่งผลถึงปัจจุบัน ปัจจุบันก็ส่งผลถึงอนาคต เราก็ต้องพยายามสร้างความดีอยู่ปัจจุบัน
วัดของเราก็คงจะไม่มีอะไรมากมาย เพราะว่าความพร้อมมีหมดทุกอย่าง ก็มีอะไรก็ช่วยกัน เอากลดเอาเต็นท์ไปกางตามร่มไม้ ตรงไหนเหมาะๆ ก็ไปกาง กลางคืนก็ไปนั่งเล่นนอนเล่น เดินพิจารณาใจของเรา พิจารณาใจ พิจารณากาย นั่นแหละปฏิสังขาโย กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าเดินคิด นั่งคิด นอนคิด หาแต่เรื่องใส่ใจของตัวเอง อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงไหน ใจของเราเกิดความอยาก เราก็ดับความอยากเสียก่อน ให้หายอยากเสียก่อนค่อยทาน ทีนี้เราจะทำอะไรก็เป็นเรื่องปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ถึงวาระเวลาก็ต้องได้วางหมด ระหว่างขณะที่เราทำนี่แหละ คือทำหน้าที่ให้ดี
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ซึ่งเรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัว เราก็พยายามรีบสร้างเสีย นั่งให้สบาย วางกายให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบายที่สุด การสูดลมหายใจยาวๆ เป็นการผ่อนคลาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายร่างกาย กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบาย ลมหายใจที่กระทบปลายจมูกมีความรู้สึกที่เด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกตัว
เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตรงนี้ มันก็ยากที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่สูงขึ้นไปอีก ถ้ายังไม่รู้ทันเหตุการก่อตัวของจิต เราก็พยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ตามความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ไม่ว่าจะความรู้สึกที่การเดิน หรือว่าอยู่ที่ลมหายใจให้ต่อเนื่อง ถ้ามีความเกียจคร้าน ก็ยากที่จะรู้เท่าทันจิต เพียงแค่เริ่มต้นตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ตัวอื่นก็จะตามมา
อีกอย่างหนึ่งนั้น จิตของทุกคนก็ปรารถนาในบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยากทำบุญ อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม แต่ในทางหลักธรรมจริงๆ แล้วมันจะกลับกัน คือท่านให้ละความอยาก ละความหวัง สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ให้รู้ ให้เห็น รู้ไม่ทันก็รู้จักดับ ช่วงใหม่ๆ จิตของคนเรามันเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก ไม่อยากมากก็อยากน้อย อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ตรงนี้แหละมันปิดกั้นเอาไว้หมด
แม้ตั้งแต่การคิด ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม ความกังวล ความฟุ้งซ่านต่างๆ มันปิดกั้นเอาไว้ และปิดกั้นดวงจิตเอาไว้ ท่านถึงว่านิวรณธรรมเป็นเครื่องกักกันจิตของเราไว้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ในราคะ รูปรสกลิ่นเสียง จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็ให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จิตของเรามีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับ มีความลังเลสงสัยในเรื่องต่างๆ ให้ดับหมด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เห็น แม้แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เราก็ต้องพยายามเอา
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมี ผ่านกันมาหมด เราสามารถใช้กําลังสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเข้าไปรู้เท่าจิตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรแต่ละบุคคล ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าไปที่โน้นจะรู้ธรรม ไปที่นี้จะรู้ธรรม เพราะใจของเรานั่นแหละ ตอนนี้เวลานี้เขายังวิ่งไปกับโลกอยู่ เรามาดับ มาละ มาแยก มาทำความเข้าใจ ให้เขาตกเข้าไปสู่กระแสธรรมคือความสงบ ความโล่ง ความโปร่ง ความว่าง ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เขาเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ ตัวจิตชอบเที่ยว ชอบส่งออกไปภายนอก เรามาดับ มาฝืน มาทวน จนกว่าจิตของเราจะคลายนั่นแหละ ถึงจะไปตามกระแสธรรม
ต่อไปข้างหน้าก็ตามดู ตามรู้ ตามเห็น หมั่นพร่ำสอนจิต หมั่นทำความเข้าใจ จนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ถ้าเขาไม่รู้เห็นจริงๆ ยากที่เขาจะวาง ก็ต้องพยายามเอา ไม่เหลือวิสัย แต่ถ้าเราเข้าใจ อะไรก็ง่ายขึ้น ถ้าไม่เข้าใจ ยาก ปิดกั้นไว้หมด แม้แต่ความกังวล ความลังเล ความสงสัยในตัวเอง ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ความลังเลสงสัยในพระพุทธ ในพระรัตนตรัย สารพัดอย่าง นั่นเขาเรียกว่า ‘ขันธมาร’ วิบากกรรมมาปิดกั้นเอาไว้
เราพยายามฝ่าฟันให้มันผ่านไป อะไรจะเกิดขึ้นมาก็ให้มันเกิด เกิดขึ้นมารู้เท่าทัน ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วาง ใหม่ๆ มันก็อาจจะอึดอัด สารพัดอย่าง เพราะว่ากิเลสมารเขาก็ไม่ยอมให้จิตเรารู้ความจริงได้ง่ายๆเหมือนกัน แม้แต่ตัวจิตมันยังหลอกตัวเองอยู่ เราต้องพยายามกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ๆ จนมันถึงจุดหมายปลายทางได้
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนลองดูสิ อยู่หลายคนก็เหมือนยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่ง จิตให้โปร่ง
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง