หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 05

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 05
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 05
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้ตัว​ สร้างความรู้สึกตัวรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบาย วางกายสบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสําเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุด​ กายก็สบายขึ้น

แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้เกิดความเคยชิน อย่าไปมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราอยากจะรู้ธรรม แต่เราไม่ได้เจริญสติ หรือว่าเราไม่ได้สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะรู้เท่าทันจิต ยากที่จะรู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ ทั้งที่จิตของเราก็เป็นบุญอยู่ บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ บางทีจิตของเราก็ปราศจากกิเลสอยู่ แต่เราขาดความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้ไม่ทันต้นเหตุว่าจิตของเราอยู่ตรงไหน

เรารู้อยู่เพียงแค่เมื่อเขาเกิดแล้ว หรือเมื่อความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราแล้ว เรารู้อยู่แค่นั้นทั้งที่จิตกับขันธ์ห้าเขารวมกันอยู่ ตราบใดที่เรายังแยกรูปแยกนาม หรือว่าไม่เห็นลักษณะของจิตชัดเจน ไม่เห็นลักษณะอาการของขันธ์ห้าชัดเจน เขาก็ยังรวมกันอยู่นั่นแหละคือความหลง อวิชชา โมหะ​ ความหลงตรงนี้ แต่อานิสงส์ส่วนอื่นทุกคนก็พากันสร้างกันมาดี การทําบุญการให้ทาน การฝักใฝ่ การสนใจสร้างตบะบาร มีมากันดีมากทีเดียว​ เรามาสร้าง มาสาน มาทําความเข้าใจต่อ

แต่ละวันๆ​ ตื่นขึ้นมากายของเราเป็นอย่างไร จิตของเราเป็นอย่างไร อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม​ เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้ได้ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ให้เกิดความเคยชิน รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้ กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ตาก็ทําหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูทําหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ รูปรสกลิ่นเสียงจะเข้ามาผ่านทางทวารทั้งหกของเรา

วิญญาณ หรือว่าดวงจิตของเราจะเป็นผู้รับรู้ เมื่อตากระทบรูป​ จิตของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ หูกระทบเสียง​ จิตของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ ลักษณะของคําว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง​ เราต้องทําความเข้าใจให้ได้หมดทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเราจะปฏิบัติเอาเฉพาะเวลาเดิน​ เวลานั่ง การเจริญสติ​ การรักษาศีล ศีลความปกติของกาย ของวาจา ลึกลงไปก็ของใจ ไม่ใช่ว่ารู้แต่ชื่อของเขา​ เราต้องให้รู้ลักษณะความปกติ รู้จักตัวศีลได้ยิ่งดี คือความปกติ คือจิต​ ความว่างความสงบนั่นแหละคือศีล ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ

ถ้าเราหมั่นสํารวจตรวจตราดูอยู่บ่อยๆ อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกตเรา อยู่หลายคนเราก็หมั่นสังเกตเรา เราจะทําโน่นทํานี่ จิตของเรายังปกติอยู่หรือไม่ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืนเพราะว่าจิตทุกคนชอบคิดชอบเที่ยว คิดเที่ยวด้วยแล้วก็หลงด้วย หลงในความคิด หลงในกองสังขาร​ ที่พระองค์ท่านจําแนกแจกแจงออกว่าเป็นกอง กองของใครกองของมัน หรือว่าอาการของขันธ์ห้านั่นแหละซึ่งเขารวมกันอยู่​ แล้วก็ย่นย่อลงเหลือรูปกับนาม ทีนี้ในส่วนนามธรรมจิตของเรา ก็หลงในความคิด หลงอารมณ์อีก เราต้องหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์เอานะ

อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาไม่ว่าจะทําอะไร​ จะลุกจะก้าวจะเดิน​ จะล้างถ้วยล้างชาม​ อาบน้ำอาบท่า​ เข้าห้องส้วมเข้าห้องน้ำ ใหม่ๆ สติความรู้ตัวอาจจะพลั้งเผลอ พลั้งเผลอ​เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่​ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ทำอยู่บ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน​ จนสังเกตเห็นจิตกับความคิดเขาคลายออกจากกัน กําลังสติก็จะพุ่งแรง​ เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า​ เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วมเป็นตัวเดียวกันก็เลยเกิดอัตตา กายก็เลยหนัก​ จิตก็เลยหนัก

เรามาละทิฏฐิ ละความคิดเก่าๆ ของเราออกไปเสีย ถ้าเราเห็นตรงนี้แล้วความสงสัยต่างๆ ก็จะคลายหายหมดไป ก็มีแต่ตามดู ถ้าเราไม่ตามทําความเข้าใจ เขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก เราต้องพยายามทําให้เด็ดขาดแล้วก็ทําให้ต่อเนื่อง ทําให้ได้ เอาให้ได้ด้วยสติด้วยปัญญา แม้แต่ความอยาก ความทะเยอทะยานอยากที่เกิดขึ้นจากจิต อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม เราก็ดับ อยากจะคิดเราก็ยังให้ดับ เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ใหม่ๆ เราอาจจะดับไม่ได้ เราก็พยายามดับ จิตของเราก็จะช้าลงๆ จะทําอะไรให้มันได้ดั่งใจ​ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป คอยสร้างสติ สร้างสะสมกําลังสติ รู้จักควบคุมจิตอยู่ในระดับหนึ่ง

ทุกคนก็สร้างบารมีมาดีด้วยการทําบุญ ด้วยการให้ทานทางด้านวัตถุทาน ทานทางด้านสมมติ ทีนี้ทานทางด้านอารมณ์ ทําอย่างไรเราถึงจะทานอารมณ์ได้ เราก็ต้องเห็นเสียก่อน เห็นแล้วก็ตามทําความเข้าใจให้ได้เสียก่อน จิตเขาจะปล่อย เขาจะวางเองนั่นแหละ การยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่ เขายังหลงอยู่

จิตของคนเรานี่ก็แปลก บางทีก็หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดนขันธ์ห้ามาหลอกก็เข้าไปรวม บางทีก็จิตหลอกจิต​ อันนี้ก็ถ้าเราไม่ทําความเข้าใจหาเหตุหาผลให้เขารู้เห็นจริงๆ ก็ยากอยู่ แต่ก็ต้องพยายามเอา ไม่เหลือวิสัยหรอก เรามาอยู่ด้วยกันเยอะๆ ก็พยายามขยันหมั่นเพียร​ ทั้งภายนอก ทั้งภายใน มีความรักความเมตตาซึ่งกันและกัน มีอะไรก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่หลายองค์หลายท่านก็มีความสุข ไปในทางเส้นเดียวกันก็คือหนทางดับทุกข์

ถ้าเดินได้ถูกทางไม่จําเป็นต้องไปถกไปเถียงกันไปว่ากล่าวตักเตือนกัน ยาก เพราะว่าทุกคนก็หมั่นพร่ำสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง อะไรผิดแก้ไขใหม่ มีความพลั้งเผลอก็เริ่มต้นใหม่อยู่บ่อยๆ ถ้าแก้ไขปรับปรุงตัวเรา มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัว อยู่หลายคนก็มีความสุข​ อยู่น้อยคนก็มีความสุข

ถ้าคนเรามีแต่ความเห็นแก่ตัว มีทิฏฐิ​ มีมานะ มีความเห็นผิด อยู่ คนเดียวก็มีแต่ความทุกข์ มองคนอื่นในแง่ร้าย เพ่งโทษคนโน้นคนนี้ อคติคนโน้นอคติคนนี้ นั่นแหละกิเลสมลทินที่เกิดขึ้นในใจของเรา เราก็พยายามลด พยายามละ พยายามอด พยายามข่ม มันข่มไม่ได้เราก็รู้จักรักษากาย​ รักษาวาจาของเรา ก่อนที่พูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะพูด เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เรารักษาจิตของเราไม่ได้ เราก็มาควบคุมกาย ควบคุมวาจา ถ้ามันจะออกมาทางวาจาจริงๆ เราก็ใช้ปัญญาหลบหลีกเสียก่อน​ ทํามันอยู่บ่อยๆ ทําอยู่บ่อยๆ เราก็จะมองเห็นหนทาง

แม้แต่การรับประทานอาหาร ขบฉันก็เหมือนกัน รู้จักกะประมาณ กายของเราหิว​ หรือว่าจิตของเราเกิดความอยาก เราไม่รับประทานด้วยความอยากได้หรือไม่ เปรี้ยวหวานมันเค็มจิตเขาก็รับรู้ ลิ้นเขาก็ทําตามหน้าที่ของเขา เราจะเอาจะมีจะเป็น ก็ให้เป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญา จะมีมากมีน้อย ทําได้ทั้งนั้นแหละถ้าเราเข้าใจ​ อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงํา​ ก็พยายามนะ

ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทําไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง