หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 30

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 30
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 30
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้ตัวให้มีเกิดขึ้นในกายของเรา ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2 - 3 เที่ยวแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้เวลาลมสัมผัสปลายจมูกเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ตรงนี้แหละให้ต่อเนื่องกัน ก็จะเป็นสัมปชัญญะ มีความระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตัว รู้กาย แล้วก็รู้จิต

ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะของจิต รู้การเกิดของจิต รู้การเกิดของขันธ์ห้า รู้ เข้าใจในเรื่องรูปเรื่องนาม เข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เราไม่ได้มาเจริญสติ เราไม่ได้ไปสังเกต ไปวิเคราะห์ ก็ยากที่จะเข้าใจ บางครั้งบางคราวจิตของเราก็ปกติอยู่ จิตของเราก็มีศรัทธาอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ แต่เราขาดการน้อมเข้าไปสำรวจดู เราจะใช้แต่ปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกๆ เข้าไปพิจารณา ก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปแยก เข้าไปคลาย คลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนาม แล้วก็เจริญตบะบารมี

แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากใจของเรา เรามีความโกรธ จิตเกิดอาการโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็พยายามให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี มีความจริงใจต่อตัวเอง มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราต้องทำความเข้าใจหมด อะไรคือรูป อะไรคือนาม ลักษณะของจิต จิตที่เป็นเอกเป็นหนึ่ง จิตที่สงบเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากกิเลส จิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร

แต่เวลานี้สติรู้ตัว เรายังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันเลย ไอ้เรื่องที่จะรู้ความเป็นจริงที่สูงๆ ขึ้นไปนั้น ก็เอาไว้ทีหลังให้ได้เสียก่อน เพียงแค่สร้างความรู้สึกตัวเรื่องการหายใจเข้าออก เรื่องการยืน การเดิน การนั่ง การนอน การอยู่ การกิน ทำอย่างไรเราถึงจะทำความเข้าใจได้ ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่ ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขา เราจะไปห้ามตาไม่ให้ดูก็ไม่ได้ ห้ามหูไม่ให้ให้ฟังก็ไม่ได้ เขาทำหน้าที่ของเขา แต่ใจของเรา เวลาตากระทบรูป ใจของเราเป็นอย่างไร ปกติดีอยู่หรือไม่ หูกระทบเสียง ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสำรวจตรวจตราดูตัวเราอยู่ตลอดเวลา

ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเพียรทำความเข้าใจ เพียรให้ต่อเนื่อง ทั้งภาระหน้าที่การงานสมมติเราก็พยายามทำให้ราบรื่น ถึงจะมีมากมีน้อย เราก็ทำให้ราบรื่น ไม่ทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากจิต คนเราทั่วไปนั้นจิตเกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วย หวังด้วย แล้วก็ยึดด้วย สารพัดอย่าง บางทีก็ขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา แล้วจิตของเราก็เข้าไปรวม ไปร่วม เนี่ยแหละไปหลงในความคิด หลงในอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขารตรงนี้

เราถึงได้มาเจริญสติ มาคลายความหลง มาคลายตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ถ้าคลายไม่ได้ก็ควบคุมจิตของเราให้ได้อยู่ในระดับหนึ่ง จิตของเราเร็วไว เราก็ต้องพยายามใช้สมถะเข้าไปดับ อยู่กับลมหายใจบ้าง หรือว่าอยู่กับการเดินบ้าง หรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ เราต้องมีความรู้สึกรับรู้ ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ปัจจุบัน’ คือขณะนี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันในทางโลก ปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต จนกำลังสติของเราตามค้นคว้ารู้เห็นได้เป็นอัตโนมัติ เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด เราจะชำระสะสางกิเลสตัวไหนได้บ้าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราต้องพยายามกัน

อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็นับว่าเป็นบุญ บุญเก่าเราก็มี บุญใหม่เราก็มาได้สร้าง มีโอกาสได้มา ยิ่งญาติโยมมาทั้งใกล้ทั้งไกล ญาติโยมจากทั่วทุกสารทิศที่พากันมา มาก็เพื่อที่จะมาแสวงหาตัวตนของตัวเอง ตัวตนของเราคือใจของเรานั่นแหละ ใจของเรายังเกิดอยู่ เราก็พยายามดับความเกิด ใจของเราเกิดกิเลสเราก็ดับ กิเลสตัวไหนมันเกิดขณะนี้ เราก็ดับขณะนี้แหล่ะ เจริญพรหมวิหารให้มากๆ มองโลกในทางที่ดี อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง

ญาติโยมที่มาแล้วก็ให้มาเปรียบเสมือนว่ามาบ้านของเรา มีอะไรก็ให้ช่วยกันนะ ทางญาติโยมทางโรงครัว กับข้าวกับปลาก็ช่วยกันทำ แต่ให้มีสติ มีปัญญา อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยาก ให้ทำด้วยเหตุด้วยผล อันนี้เรื่องของกาย เรื่องของจิต จะรับประทานอาหารก็อย่าให้จิตเกิดความอยาก ให้สติรู้ว่ากายของเราเป็นอย่างไร จิตของเราเป็นอย่างไร ปกติดีอยู่หรือไม่ เรารับประทานเพื่อยังอัตภาพร่างกายของเราไม่ให้เกิดทุกขเวทนา ก่อนที่จะได้มารับประทานแต่ละมื้อ แต่ละครั้ง ไปอย่างไร มาอย่างไร เราต้องพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงหมดนั่นแหละ เพราะว่ากายของเราก็ยังอยู่กับสมมุติอยู่ เราต้องรอบรู้ทั้งโลกธรรมแปด รอบรู้ทั้งวิมุตติ ทำความเข้าใจ อยู่ที่ไหนก็จะอยู่ดีมีความสุข ไปที่ไหนก็มีความสุข

ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำสมองให้โล่ง จิตให้โปร่ง กายให้สบาย

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง