หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 08

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 08
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 08
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน มาที่นี่ก็เหมือนกับบ้านของเรา​ อยู่ด้วยกันอยู่ดีมีความสุข ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติในตัวเองหมด ไม่จําเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ ถ้าคนอื่นบังคับ เราปฏิบัติธรรมไปไม่ถึงไหนหรอก เราต้องฝักใฝ่ เราต้องสนใจ เราต้องวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เราขาดตกบกพร่องอะไร ภาระหน้าที่การงานของเรา อะไรยังขาดตกบกพร่อง เราก็รีบทํา รีบแก้ไข

เราเป็นคนมีระเบียบหรือไม่ เราเป็นคนหัดสังเกตจริตของจิตของเรา เราเป็นคนมีความทะเยอทะยานอยาก มีทิฐิ มีมานะหรือไม่ แล้วก็อะไรควรละ อะไรควรลด อะไรควรแก้ไข ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา เราก็ไม่รู้ใครจะแก้ไขให้ ต่อไปข้างหน้าเขาแก้ไขพฤติกรรมของตัวเอง ลึกลงไปก็แก้ไขคําพูดคําจา ลึกลงไปก็แก้ไขความคิด อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรควรคิด หรือไม่ควรคิด เป็นกุศล หรือว่าอกุศล มันจะเป็นชั้นของเขา​ ชั้นของใครชั้นของมันอยู่

สมัยก่อนหลวงพ่อก็อดพูดเหมือนกัน อดพูดทางวาจาเนี่ยอยู่ 3 เดือนกว่า​ แต่ใจมันพูดอยู่ตลอดเวลา ปากไม่พูด แต่ใจมันเล่าพูดอยู่ตลอดเวลา​ พูดอยู่คนเดียวนั่นแหล่ะ อยู่ในป่าในเขา อยู่ในถ้ำ เหมือนกับคนมีเป็นร้อยเป็นพันมานั่งฟังเราพูดอยู่คนเดียว ปากไม่พูดนะเห็นคนเยอะๆ แล้วไม่พูดหรอกฟัง รู้จักควบคุม​ เวลาอยู่คนเดียวล่ะใจมันพูดอุตลุด พอปิดวาจาแล้วก็ใจมันเอาไม่อยู่ ควบคุมใจ​ พอมาควบคุมใจนิ่ง แล้วก็พอใจนิ่งแล้ววาจามันถึงค่อยพูด​ วาจาก็พูดไม่หยุด​ มันกลับกัน ที่ไม่พูด​ปิดวาจา พอไปปิดวาจาแล้ว สมุดหนังสือดินสอเขียนเสียเต็มหน้ากระดาษเลย เขียนอันโน้น เขียนเอาอันนี้ ทําให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว​ ตามที่เห็นๆ มันจะเป็นเสียอย่างนั้นนะ

คนที่ไม่เคยไปปิดวาจามีมั้ย ไปเข้าอะไร ไปเข้ากรรมฐานหนัก​ ไปเข้ากรรมฐานหนักอะไรให้คนเขาส่งข้าวส่งน้ำ ไปเข้ากรรมฐานหนัก แต่ถ้าไม่เข้าใจวิธีมันก็มันก็ผิดนะ พอไปเข้ากรรมฐานเท่านั้นนะ ออกมาแต่ละทีนี่ ตานี่เปียกแฉะหมด ไปนอน​ มีแต่นอน​ นอนจนเปียกแฉะ แทนได้จะไปเจริญสติไปสังเกต ไปวิเคราะห์​ ละนิวรณ์​ กลับเข้าไปเพิ่มนิวรณ์ ไปเพิ่มความฟุ้งซ่าน ออกเต็มที่เลย

เราต้องรู้จักวิธีการทําความเข้าใจ การเจริญสติ เจริญสติเพื่ออะไร การทําความเข้าใจกับนิวรณ์ ลักษณะของนิวรณ์ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราเป็นลักษณะอย่างไร มันเกิดอย่างไร การดับกิเลส การละกิเลสเป็นอย่างไร ลักษณะของศีล สมาธิเป็นอย่างไร สติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี สมาธิไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี ก่อนที่จะสร้างก่อนที่จะทําได้ เราก็ต้องตัดความกังวล​ ละความกังวลเรื่องภาระหน้าที่สมมติต่างๆ มาสํารวจจิตของเรา

อันนี้สมมติก็ยังวุ่นวายอยู่ ทางบ้านก็ยังวุ่นวาย ลูกเต้าก็ยังวุ่นวาย ครอบครัวก็ยังวุ่นวายอยู่ หลบหนีมาวัดมานั่งสมาธิมันก็ไม่สงบหรอก นั่งทีไรก็ลูกคนนั้นก็ยังลําบาก ลูกคนนี้ก็ยังลําบาก พ่อบ้านก็ยังหนีไปหาเที่ยวไปหาบ้านเล็กบ้านน้อยอยู่ พอนั่งไปทีไร แต่หัวใจจิตใจมันปุดๆ ขึ้นมามันจะไปตามฆ่ามนุษย์ อยู่ข้ามจังหวัดก็ไปมีนะ​ พอเห็นหน้ามา สากกระเบือลอยก็มี มันเลยไม่สงบสักที​ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สมมติ’ สมมติยังยังฉุดยังรั้ง วิบากกรรม สมมติยังฉุดยังรั้งอยู่ เราก็ต้องไปแก้ไขสมมติให้ดีๆ

ถ้าปากท้องยังลําบาก ไปนั่งสมาธิมันก็ลําบากอยู่ เราต้องพยายามทําสมมติของเราให้บริบูรณ์ ถึงจะไม่มีมาก แต่ก็ไม่ให้เดือดร้อน ยังสมมติให้บริบูรณ์ ทําหน้าที่ของเราให้บริบูรณ์ เราทําการทํางาน​ หน้าที่ของเราก็ต้องให้บริบูรณ์ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง มันก็ส่งผลทางจิต อีกจุดใหญ่คนทั่วไปอย่างพวกข้าราชการนี่แทบทุกคน ทํางานใหม่ๆ เงินเดือนน้อยๆ นี่เหลือเยอะ​ ทํางานไปทํางานมาเงินเดือนเยอะๆ กลับไม่ค่อยจะเหลือ ตรงนี้แหละสําคัญ​ เพราะบริหารไม่เป็น มันก็เลยไม่ลงตัว​ ใจก็เลยไม่สงบสักที เพราะว่าภาระหนี้สินดินพอกหางหมูอยู่ตลอดเวลา เอามาเพิ่ม เอามาเพิ่มเพราะว่าคนไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเองตั้งแต่เริ่มแรก ไม่มีความพอใจยินดีในสิ่งที่เรามี มีแต่หามาเพิ่มๆ

การปฏิบัติจิตเขาให้คลายออก มันจะไปคลายออกได้อย่างไร มันติดตังเหมือนกับดินพอกหางหมูเสียแล้ว​ กว่าจะขูดออกได้หมดไม่รู้เท่าไหร่ มันก็ต้องเอาออกตั้งแต่เริ่ม อย่าให้มี​ ถึงมีความทุกข์ก็อย่าให้มี​หนี้มีสิน มีเล็กมีน้อยก็อย่าให้มี มีมากมีอะไรก็อย่าให้มี ก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุง จะไปนั่งแต่ปฏิบัติธรรม เอาตั้งแต่ธรรมกัน ข้างนอกสร้างแต่หนี้แต่สิน มันจะไปได้​อย่างไร​ เราก็ต้องพยายามขัดเกลาออก​ เอาออก​ หาออก มันไม่มีก็อย่าหามาเพิ่ม ถึงลําบากทุกข์​ยากถึงขนาดไหนก็พยายามขวนขวาย พอใจมีความสุขกับสิ่งที่เรามีเราเป็นถึงจะมีความสุข

ในหลักธรรมแม้แต่นิดๆ หน่อยๆ แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดหน่อย ท่านก็ยังไม่ให้เกิดเลย อยาก ความอยาก​ ความทะเยอทะยานอยาก ละความอยาก​ คลายความอยาก ไม่ต้องไปเอาตัวใหญ่ๆ หรอกเอาตัวเล็กๆ ท่านก็ยังไม่ให้มันเกิดเลย ความอยากนิดๆ หน่อยๆ นั่นแหละ คนมีปัญญาเขามองเป็นเรื่องใหญ่ คนทั่วไปแล้วเขาไม่สนใจ เมื่อมันทุกข์เต็มที่แล้วถึงจะไปแก้ไข​ มันเลยไม่ทัน เราก็ต้องดู ต้องแก้ไข​สิ่งเล็กๆ น้อยๆ มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ เป็นคนมีระเบียบ มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ เป็นที่พึ่งให้ตัวเองได้​ เป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้มันถึงจะถูก กาย​ วาจา ​ใจ​ก็ต้องให้อยู่ในกองบุญ

มีโอกาสพวกเราก็ได้มาร่วมบุญ มาสร้างบุญกันทั้งทางด้านวัตถุ ทั้งทางด้านจิต เราก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเองมันถึงจะถูก พยายามเอานะ แต่ละวันๆ มีเวลาก็มา เอากลดเอาเต็นท์มากางกันตามร่มไทร​ ริมขอบบ่อฝั่งทางหลังหลวงปู่ใหญ่ ต่อไปข้างหน้าก็คงจะให้จัดทางนั้นแหละ ญาติโยมมาก็จะให้อยู่กับธรรมชาติ​ กางเต้นท์นอนอยู่ตามร่มไม้ มีความสุข มีความสุขดี

นึกถึงสมัยเก่าๆ สมัยตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน ตั้งแต่ยังไม่ได้ทําได้สร้างอะไร อะไรก็ลําบากอยู่ อะไรก็ลําบาก เวลาเขาเอาศพมาเผาก็ต้องไปนั่งเฝ้านั่งเขี่ยอยู่อย่างนั้น นั่งเฝ้านั่งเขี่ยอยู่คนเดียว บางทีก็ไหม้​ บางทีก็ไม่ไหม้​ อยู่​อย่างนั้น ถ้าอยู่เบื่อหน่ายสถานที่ก็ขึ้นภูกระดึง สมัยเก่าขึ้นภูกระดึงทีละอาทิตย์​ ทีละ 15 วัน​ ไปอยู่ตามหน้าผาตามถ้ำแล้วก็ค่อยลงมา​ ที่มีกําลังอยู่สมัยก่อน

ทุกวันนี้คงขึ้นไม่ได้แล้ว​ ถ้าขึ้นก็คงจะได้หามขึ้น​ ไปไม่ไหว ตะลอนๆ อยู่ในป่านี่ ทั้งทําความสะอาด ความเป็นระเบียบ ทั้งจัดระบบระเบียบในป่านี้ กว่าจะเป็นระเบียบได้ทําทั้งกลางวันกลางคืน ถนนหนทางเป็นทะเล​ เอาดินไปถม บางทีมีตังค์คนมาถวายทีละ 100 - 200 ก็ซื้อดินมา ตกกลางคืนก็ไปเขี่ยอยู่คนเดียวนะตีหนึ่งตีสองหนาวๆ พวกท่านมาเห็นแต่ผลมันแล้วแหละ

ทุกวันนี้พากันมาทําความเพียร อยากจะทําทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นฐานบุญของทุกคน ได้เข้ามาบําเพ็ญ ไม่ต้องไปติดขัดอยู่สิ่งโน้นสิ่งนี้ เข้ามาแล้วสถานที่ก็พร้อม​ ครูบาอาจารย์ก็พร้อม สิ่งแวดล้อมก็พร้อม มันก็การปฏิบัติจิตก็จะไปได้เร็วได้ไว ทําไว้ให้ทุกที่เท่าที่กําลังมี ที่พักที่อาศัย ห้องส้วมห้องน้ำ แม้แต่หนทางเดิน​ ​ ทางเดินจงกรม​ท​ำให้ถึงขนาดนี้ เรายังไม่มาพากันทํา ก็ช่วยเหลือไม่ได้นะ

ตั้งใจรับพร

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ วาง​หยุดความคิด หยุดความกังวลต่างๆ เอาไว้ ถึงจิตของเราจะคิดไปทําโน่นทํานี่ คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ก็ให้หยุดเอาไว้เสียก่อน นั่งตามอิริยาบถของเราให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายออกมายาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีสติระลึกรู้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ แล้วก็พยายามทําให้ต่อเนื่องให้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้าเรามีความรู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าออก จิตจะเกิด เราก็จะรู้เท่าทัน

ความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าจะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้ทัน เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเรายังไม่ได้สร้างกันให้ต่อเนื่อง พวกเราอาจจะสร้างอยู่ แต่ก็ได้ชั่วครั้งชั่วคราว การควบคุมจิตก็อาจจะมีอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ก็เลยไม่เห็น​ ไม่ตามทําความเข้าใจให้ตลอดสาย ว่าการเกิดการดับของขันธ์ห้าเขาเป็นอย่างไร ทําไมจิตของเราถึงไปรวม ไปหลงขันธ์ห้าทําให้เกิดอัตตาตัวตน

ลักษณะของอัตตา ลักษณะของอนัตตา ลักษณะของสมมติ ลักษณะของวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราจะศึกษาจริงๆ ให้เข้าถึงวิธี​ รู้จักอุบาย​ เข้าทําความเข้าใจให้ตรงจริงๆ ก็ไม่เหลือวิสัย แต่คนเราขาดการทําความเพียรที่ต่อเนื่องกัน เพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่างมาปิดกั้นเอาไว้ วิบากกรรมสมมติบ้าง ครอบครัวบ้าง ภาระหน้าที่การงานบ้าง อันนี้ถ้ายังไม่ถึงวาระเวลามันก็ยากที่จะเข้าใจนะ

เราก็ต้องพยายามน้อมจิต น้อมกายของเราเข้ามาให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล​ พอดับได้ก็ดับ พอละได้ก็ละ​ แล้วก็หมั่นเจริญพรหมวิหาร ถ้าถึงกาลถึงเวลาอานิสงส์ของเราพร้อมเมื่อไหร่ เราก็จะเดินปัญญาตัวขั้นสูงแยกรูปแยกนาม ตามทําความเข้าใจ​ ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียด​เข้าสู่วิปัสสนาภูมิ จนกว่าจิตของเราจะสะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นได้นั้นแหละ​ แต่เราก็อย่าไปทิ้ง

มีโอกาสเราก็พยายามน้อมดูตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ได้บ้างไม่ได้บ้าง พลั้งเผลอบ้างก็พยายามเริ่มทํา ไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทําความเพียรให้มากๆ ไม่ใช่ว่าไปแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ แต่การสังเกต การวิเคราะห์ภายในไม่มี​ มันก็ยากที่จะเข้าถึง ไม่ใช่ว่าไปวัดโน้น ครูบาอาจารย์องค์โน้นเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์องค์นี้เป็นอย่างนี้ ไปที่นั่นไปที่นี่​ ไปตําหนิอันโน้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี ทั้งที่จิตของเราน่ะมันไม่ดีมันถึงออกมาอย่างนั้น ถ้าไม่ดีเราก็ทําให้มันดีเสียให้มันเรียบร้อยเสีย ตั้งแต่ภายในภายนอกมันไม่ดี เราก็ทําให้มันดีเสีย มันก็ดีเท่านั้นเอง

ไม่มีใครที่จะให้มันดีได้ดังใจทุกสิ่งทุกอย่างหรอก เราต้องพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณาหาเหตุหาผล​ บุคคลเช่นนี้แหละจะอยู่ที่ไหนก็ได้ฟังธรรม จะอยู่ที่ไหนก็ได้ประพฤติ ได้ปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา จิตเกิดกิเลสก็รู้จักดับ หาสาเหตุ กิเลสเกิดขึ้นจากภายใน​ หรือมีเหตุจากข้างนอกมาทําให้เกิด เราต้องแก้ไขเหตุภายนอกด้วย เหตุภายในด้วย หมั่นสํารวจตรวจตราดู ตั้งแต่เด็กขึ้นมาเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง เอาแค่วัน เอาแค่ตื่นขึ้นมา เราก็พยายามเอาให้ทันเสียก่อน ก่อนที่จะนอนเราก็ตรวจย้อนเข้าไปดูตั้งแต่เช้าว่าจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เที่ยว สักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่ากุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เหตุจากภายนอกทําให้จิตของเราเกิดหรือไม่

เพียงแค่วิเคราะห์ตัวเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามาหาปัจจุบันนี้ให้มันทัน​ ก็ยังไม่ค่อยจะทันกันนะ แม้แต่การสร้างความรู้ตัว พวกเราก็ยังไม่สร้างกันให้ต่อเนื่อง ทั้งที่จิตก็เป็นบุญอยู่ อยากจะได้บุญ ฝักใฝ่ในบุญอยู่นั่นแหละ ก็ต้องพยาพยามกันนะ ตั้งสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ถ้าเรารู้จักชัดเจนแล้วว่าอันนี้คือสติ​ อันนี้คือลักษณะของจิต เราก็ไปวิเคราะห์จิตของเรา ให้เห็นการเกิดการดับ ไปวิเคราะห์ขันธ์ห้าของเราให้เห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่ารู้เห็น ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า

การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ หลวงพ่อก็พูดเรื่องเก่าของเก่าอยู่นี่แหละ ขอให้พวกท่านไปรู้​ ไปทำความเข้าใจให้รู้ให้ถึงเถอะก็จะเห็น สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทําต่อเอานะ สานต่อเอานะ​ นี่เป็นแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง