หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 017
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 017
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเรา พระบวชใหม่บวชเก่า อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง พิจารณาปฏิสังขาโยตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยิ่งบวชใหม่ๆ นี่จะเห็นชัดเจน กายของเราหิว ใจของเรามันจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เห็นบอกว่าอย่างนั้น เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกว่าเอาเยอะๆ ว่าอย่างนั้น ขนาดมาไม่ถึง มันไปจองไว้ก่อน เราจะเอาอันโน้น เราจะเอาอันนี้
พยายามหยุด ดับ นิ่ง พิจารณา ควบคุม ยิ่งฝึกใหม่ๆ ก็ยิ่งเห็นเยอะ เพราะว่าแต่ก่อนเราเคยทานวันละ 2 มื้อ 3 มื้อ 4 - 5 มื้อ ทานไม่เป็นกาลเป็นเวลา ทีนี้เรามาหยุดระงับยับยั้ง กายก็เลยหิว ความอยากที่เกิดจากตัวจิตก็เลยเกิดเร็วไวขึ้น การปรุงแต่งก็เร็วก็ไวขึ้น เราก็พยายามระงับยับยั้ง ดับ อยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับคำบริกรรม ยิ่งพระบวชใหม่ เณรบวชใหม่ ดูดีๆ นะ ดูดีๆ ระงับยับยั้งให้ได้ มันอยากอะไรก็ให้มันผ่านไป ไม่เอาให้มัน ลองดูสิมันผ่านไปแล้ว มันจะเสียดายอาลัยอาวรณ์หรือไม่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
วันนี้ก็อากาศก็สดชื่นตั้งแต่เช้า ใกล้แล้วใกล้จะถึงวันเลือกตั้ง วันพรุ่งนี้วันเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก็ขอเชิญชวนญาติโยมเราทุกคนนะ บุคคลใดที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็พยายามพากันไปเลือกตั้ง เลือกตั้งบุคคลที่ท่านชอบ ท่านพิจารณาดีแล้วเข้าสภา ชอบคนไหน รักคนไหน พิจารณาคนไหนว่าเห็นสมควรก็ค่อยไปกา เกิดจากดุลพินิจพิจารณาของท่านเอง เพื่อที่จะเข้าสู่สภา ทำงานแทนพวกท่าน
พากันพิจารณาแล้วก็ค่อยไปเลือกตั้ง อย่าไปเลือกด้วยความงมงาย จงเลือกด้วยสติ เลือกด้วยปัญญา บุคคลใดที่มีความซื่อสัตย์สุจริต หรือว่ามีความเสียสละ มีความจริงใจที่จะทำงานให้กับหมู่ ให้กับคณะ ให้กับสังคม เราก็พยายามพิจารณาด้วยตนเอง เห็นเหมาะสมหรือว่าสมควร เราค่อยเลือก เราค่อยกา เพราะว่าการทำงานเพื่อส่วนรวมนี้มันก็เป็นประโยชน์มากมาย
เราก็ต้องเลือกเอาบุคคลที่เหมาะที่สุด ดีที่สุด เท่าที่เรามองเห็นว่าสมควรในจุดที่เราได้เลือก ในจุดที่เรามีอยู่ จะดีมากดีน้อย อันนั้นก็ค่อยว่ากัน ขอให้เอาดีที่สุด ขอให้ว่าเหมาะสมที่สุด อย่าไปเอาตามคนหมู่มากลากไป เราต้องเอาคนดี เอาคนมีความซื่อสัตย์ ถึงจะไม่มากก็ให้มีความดีอยู่บ้างก็ยังดี ก็ดีกันทุกคนนั่นแหละนะ จะดีมากดีน้อย มันก็ดีกันทุกคน เราก็เอาให้ดีให้มากหน่อย
แต่อยากจะให้ดีจริงๆ เราก็ต้องมองเห็นความดีภายในของเราเสียก่อน ตรวจดูภายในของเราให้เรียบร้อย มันก็จะมองเห็นความดีภายนอกได้ ถ้าความเป็นกลางของเรามันไม่มี ไม่เห็นดวงจิต ดวงวิญญาณของเราจริงๆ จะเห็นความดีภายนอกนี้ก็ มันก็มองเห็นเพียงฉาบฉวย รูปแบบ ถ้าเราเห็นความดีภายในของเรา รู้ใจของเราภายในแล้ว มันจะได้มองลึกด้วยว่าใครเป็นอย่างไรมาอย่างไร มองตั้งแต่ต้นเหตุ ถึงกลางเหตุ ถึงปลายเหตุ ไม่ใช่ว่ามองเฉพาะแค่ได้เจอหน้าอย่างเดียว เราก็ต้องพยายาม มีโอกาส โอกาสเปิดให้กับทุกคน มีสิทธิ์เลือกตั้งก็อย่าลืมพากันไปเลือกตั้ง มีพันธะภาระอะไรก็วางเอาไว้เสียก่อน พากันไปช่วยกันเลือกตั้ง
พระเราชีเราก็พยายามขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ช่วยกันดูแล ดูแลช่วยกัน ดูแลใจตัวเรา ดูแลสถานที่ของเรา ดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช่ว่าดูแลเฉยๆ ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ให้น่าดู น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ อย่าพากันปล่อยปละละเลย จงสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นที่กาย ที่ใจของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียรให้เป็นข้อวัตรปฏิบัติของเรา มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี เราก็รีบแก้ไขเสีย
วันนี้ก็ญาติโยมท่านใดมีโอกาส มีเวลา อยากจะมาร่วมบุญ ด้วยการบวชนาคสองคนสองท่าน ที่จะมาบวชนาคอยู่ที่วัดของเรา บวชอยู่ที่อุโบสถกลางน้ำ นิมนต์หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านมาบวชที่วัดของเรา ท่านก็อนุเคราะห์ ท่านก็มีความเมตตามาบวชนาคที่วัดของเรา ก็คงจากนี้ไปหาก่อนเข้าพรรษา ก็คงจะได้บวชอีกชุด
มีโอกาส เสียสละเวลา ภาระหน้าที่การงานมา น้อมกายเข้ามาบวช เข้ามาศึกษา เรานั่นแหละนะเข้ามาศึกษากาย ศึกษาใจของเรา เข้ามาในเพศภาวะ มาเปลี่ยนเพศภาวะจากฆราวาสเป็นพระ เป็นพระในทางสมมติ ทีนี้ใจของเราเป็นพระหรือยัง ใจของเราปล่อยวาง ละความยึดมั่นถือมั่น ละกิเลสได้แล้ว ละได้มากเท่าไร ใจของเราก็เข้าถึงองค์พระได้มากเป็นทวีคูณ
มีโอกาส โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลา สติปัญญา ความรู้ทางสมมติของเราก็เต็มเปี่ยม ทีนี้สติปัญญาในทางธรรม เราต้องมาสร้าง มาวิเคราะห์ มาสังเกตดู รู้กายรู้ใจของเราว่าไปอย่างไร มาอย่างไร ไม่ใช่ว่าจะไปอยู่ที่โน่นฉันจะรู้ธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะรู้ธรรม ถ้าการเจริญสติ การเจริญปัญญา การวิเคราะห์ไม่มี มันก็เหมือนเดิม เราต้องวิเคราะห์เรา วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนรู้เห็นตามความเป็นจริงได้นั่นแหละ ถึงจะเข้าถึงธรรมได้ ไม่ใช่ว่าจะไปโทษที่โน่น ไปอยู่ที่โน่นก็ไม่รู้ธรรม ไปอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ธรรม ไปที่นั่นก็ไม่ดี ไปที่นี่ก็ไม่ดี ที่ไหนได้ใจของเราไม่ดีเอง
ถ้าใจของเราดีแล้ว ไปอยู่ที่ไหนถ้าสถานที่ไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ใจของเราเป็นธรรม ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นธรมอยู่เหมือนเดิม ใจของเราเกิดกิเลส ถ้าเราไม่ละ จะไปโทษแต่คนโน้นคนนี้ กิเลสมันก็เป็นของเราอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องดูเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงเรา พิจารณาใจเรา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ติดขัดอะไร ไม่เข้าใจอะไรก็มาถามท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณจะชี้แนะให้ เพราะว่าท่านฝึกมาก่อน ท่านรู้มาก่อน ท่านเห็นมาก่อน เห็นอย่างไรท่านก็ ติดขัดอะไรท่านก็จะบอก มอบภาระหน้าที่ให้ท่านช่วยดูแล ช่วยชี้แนะ ท่านเจ้าคุณนี่ใหญ่ ถ้าหาไม่เจอนี่ มองไม่ดีนี่ มองไม่เห็น เพราะอัตตาของท่านไม่ค่อยจะใหญ่ แต่ธรรมะ คุณธรรมท่านใหญ่ เข้ามาเลย เข้ามาๆ เหลืออีกไม่นานก็จะเข้าพรรษา แผล็บเดียว เผลอแผล็บเดียว ปีหนึ่งๆ ผ่านพ้นไป ผ่านพ้นไปเร็วไว
ความเสื่อมขึ้นเสื่อมลง สมัยก่อนก็เป็นเด็กก็เสื่อมขึ้น พออายุกลางคนแล้วก็เสื่อมลง แล้วทีนี้เสื่อมขึ้นเสื่อมลง เพราะว่าความเสื่อมมันมีอยู่ตลอดเวลา ความไม่เที่ยงมันมีตลอดเวลา แต่คนเราขาดการพิจารณา ก็เลยมองไม่เห็นความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงทั้งด้านร่างกาย ทางด้านรูปธรรม ความไม่เที่ยงทางด้านจิตใจ ที่เกิดๆ ดับๆ แต่เราขาดการทำความเข้าใจ เราก็เลยไม่เห็น ไม่รู้ เราไปมองเอาเฉพาะภาพรวม มองเห็นแต่ความเจริญฝ่ายรูปธรรมอย่างเดียว เรามองไม่เห็นความเสื่อม ความเกิดความดับของความคิด ของอารมณ์ มันเสื่อมอยู่ตลอดเวลา มันเกิดอยู่ตลอดเวลา
นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่ได้ค้นพบ แล้วเอามาเปิดเผยให้ทุกคนได้ประพฤติวัตรปฏิบัติตามถึงจะเข้าใจ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ยากที่จะเข้าใจ ปฏิบัติตามอยู่ แต่เป็นการปฏิบัติตามอยู่ในระดับของสมมติ ระดับการให้ทานเท่านั้น แต่การเจริญสติ การเจริญปัญญา การแยกรูปแยกนาม การทำความเข้าใจมีกันน้อย ไม่ค่อยจะสนใจ อาจจะรู้ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ไม่รู้เห็นทุกอิริยาบถ
อยู่หลายคนหลายท่านก็พยายามช่วยกันรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบ ความสะอาด ความเป็นระเบียบนี่แหละข้อวัตรปฏิบัติอย่างยิ่งเลยทีเดียว จงอยู่ด้วยความสะอาด อยู่ด้วยความเป็นระเบียบ อยู่ด้วยปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของบุคคลที่มีปัญญา เป็นศาสนาของผู้รู้ ศาสนาของพุทธะ ผู้รู้ รู้กาย รู้ใจ รู้โลก รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในสมมติ ไม่เข้าไปทุกข์
ถ้าเราเข้าใจจะพร่ำสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปให้ดิ้นรนอะไรมากเลย นั่งอยู่เฉยๆ ก็รู้กายรู้ใจ อะไรควรทำ อะไรควรละ ลักษณะของการเจริญสติ ไปไหนมาไหนก็รู้กาย รู้ใจของเรา ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี โลกเราทุกวันนี้ก็ลำบาก ขโมยขโจรก็เยอะ ก็ไปไหนมาไหนก็ดูแลรักษาทรัพย์สมบัติของเรา อะไรที่มีค่าเราก็เอาติดตามตัว เมื่อวันวานนี้ก็ไปงัดบ้านของชาวบ้านที่อยู่ข้างถนน สองเที่ยวแล้วบอกว่าอย่างนั้น ก็ไปงัดเข้าไปขโมย ก็ห้ามไม่ได้ ขโมยก็แอบขโมย ขโมยก็ตอนที่เจ้าของบ้านเผลอนั่นแหละ เจ้าของบ้านนอนหลับ เข้าไปงัดเข้าไปขโมย หมดเงินไปเยอะ ข้าวของก็เสียหายไปเยอะ สองเที่ยวแล้ว มาฟ้องหลวงพ่อเมื่อวานนี้ เราก็ดูแลรักษาให้ดี เราก็ถือว่าเราได้ทำบุญให้ทานเสีย อย่าไปนั่นมัน ไม่ตายเราหาเอาใหม่
ประมาณสองโมงครึ่งหรือสามโมง ก็จะได้ทำพิธีบวชนาค ฆราวาสญาติโยมท่านใดมีโอกาสอยากจะร่วมบวชนาคด้วยก็ขอเชิญนะ รับประทานข้าวปลาอาหารอยู่ในวัดของเรา คน จิตใจเป็นบุญกันทุกคน น้อมกายมาบวช มีครอบครัวแล้วก็ขออนุญาตพ่อแม่ครอบครัวออกมาบวช เพื่อจะได้ศึกษาเรื่องใจของตัวเรา
เอายกมาถวายสิ รอสักพักหนึ่ง พระเราก็เยอะ ที่พักที่อาศัยก็คับแคบไปหน่อยนะ ก็ค่อยอยู่ ค่อยดูแลช่วยกัน คับที่มันอยู่ได้อยู่หรอก แต่คับใจมันจะอยู่ยาก ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมาศึกษาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ก็ไม่ถึงกับอัตคัดเท่าไร ไม่ถึงกับลำบากเท่าไร ถ้าเปรียบเทียบกับสมัย 25 ปีก่อน สมัย 25 ปีก่อนนี้ยากอยู่ ที่พักที่อาศัยก็ลำบาก ลำบากอยู่ ทั้งป่าก็เป็นป่าเพ็กป่าหนาม ไม่น่าอยู่น่าอาศัย กองกระดูกนี้เกลื่อน ทั้งเผาทั้งฝังนี้เกลื่อน ถนนหนทางก็ไม่มี หลวงพ่อก็ต้องมาบุกเบิก มาทำความสะอาด ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อที่จะยังสมมติให้ทุกคนได้มีความสุข ลำบากมาทีเดียว แม้แต่ถ้วยชามจะใส่กับข้าวกับปลานี่ก็ยังไปขุดเอาตามหลุมศพมาไว้ใส่กับข้าวกับปลา อย่าไปนึกถึงเรื่องอาหารดีๆ เลย ไม่มีหรอก ยาก
สมัยก่อนออกบิณฑบาตก็ได้แต่ข้าวปั้นเท่านั้นแหละ เยอะ คนก็มาเริ่มใส่อาหาร ใส่น้ำ ใส่ข้าว ก็ช่วงอะไรพันเอกเสนาะที่ว่าตายแล้วฟื้นนั่นแหละ คนก็เริ่มมาทำบุญกันมากขึ้นๆ ก็อานิสงส์ของท่านตรงนี้ก็ดีมากทีเดียว สมัยก่อนนี้ออกบิณฑบาตนี่ไม่ค่อยจะได้เท่าไร ได้แต่ข้าวปั้น ก็พอดีก็มาเรื่องตายแล้วฟื้นของพันเอกเสนาะที่นั่นกัน คนโน้นก็ใส่ข้าวใส่ปลา ใส่น้ำ กลัวไม่ได้กิน ไปบิณฑบาตวันไหนก็หนักน้ำ มันเต็มบาตรเลย พากันใส่น้ำกันเสียจนเต็มจนล้น
ว่ายังไงคุณโยม เดี๋ยวรอแป๊บเดียว เดี๋ยวรอหมู่อยู่ รออยู่ หลังจากนั้นมาคนก็ทำบุญกันเยอะ สมัยก่อนนั้นฆราวาสญาติโยมก็ทำบุญปีหนึ่งอาจจะทำครั้งหนึ่งคืองานบุญกฐิน งานบุญใหญ่ ไม่ได้ทำทุกวันๆ เหมือนกับทุกวันนี้ แต่ก่อนนั้นปีหนึ่ง หมู่บ้านชาวบ้านก็จะร่วมกันทำบุญในบุญงานกฐิน เป็นงานบุญใหญ่ ก็ไม่นึกไม่คิดว่าต้องทำตลอดเวลาได้ยิ่งดีใหญ่
รู้จักการเจริญสติ การเจริญสมาธิ การเจริญภาวนา ฝั่งทางนี้ก็รู้สึกว่าจะมีหลวงพ่อองค์เดียว ที่จะมาเริ่มเรื่องการเจริญสติอยู่ที่นี่ สมัยก่อน 20 กว่าปีก่อน แต่ก่อนไม่ค่อยจะมีใครสนใจเท่าไร มาอยู่ป่าช้า อยู่มุมโน้นบ้าง อยู่มุมนี้บ้าง ตามร่มไม้ตามหลุมศพ จนเขาเอาศพมาฝัง จนไปนอนอยู่กับหลุมศพ จนได้ปลูกกระต๊อบอยู่กับหลุมศพอยู่ 4 ปี
ค่อยพัฒนามาเรื่อยๆ ค่อยทำ ค่อยสร้างมาเรื่อยๆ ให้หมู่ให้คณะอยู่ดีมีความสุข จนกระทั่งทุกอย่าง ทุกวันนี้ก็มาด้วยอานิสงส์บุญ มาด้วยแรงบุญ จงช่วยกัน จงช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ ช่วยกันดูแล ไม่ใช่ว่ามาทำลาย อยากให้ทุกคนมีความสุข อยากจะให้คนทุกคนไม่ได้ลำบาก มีโอกาสได้เข้ามาฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ใช่ว่ามาวัดปฏิบัติ มาวัดแล้วทำอะไรไม่เป็น
จงเป็นบุคคลที่รอบ ขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ ทำประโยชน์ ยังประโยชน์ให้ถึงที่สุด ศาสนาท่านสอนให้ทุกคนเป็นคนขยัน เป็นคนหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ แต่ไม่ให้ยึดในสิ่งต่างๆ มีให้เป็น ใช้ให้เป็น ทำให้เป็น ขยันหมั่นเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทางทั้งภายนอก ทั้งภายใน ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่น ถ้าเราไม่ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเองแล้วก็ยากที่จะเข้าใจในธรรม
กว่าจะได้มาอยู่ดีมีความสุขกันทุกคน ก็อาศัยร่วมแรง ร่วมกาย ร่วมใจกัน ทุกคนที่ได้มาร่วมกัน ก็ช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ เพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เพื่อยังสถานที่ให้น่าอยู่น่าอาศัย พวกเรามาอยู่แล้วก็พากันช่วยกันสร้างกัน ทำต่อ คนรุ่นหลังมาก็สร้างสานต่อ ถ้าเราไม่ทำเอาไว้คนรุ่นหลังก็ลำบาก เราจงมาช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง สร้างกองบุญเอาไว้ จากกองบุญน้อยๆ ให้เป็นกองบุญอันใหญ่มหาศาลมากมาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นสิริมงคล ถ้าเราสร้างคุณงามความดี ไม่ต้องเลือกกาลเลือกเวลา เราต้องสร้างอยู่ตลอด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็สำรวจกายของเรา สำรวจใจของเรา แล้วก็รีบแก้ไขเสีย ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวมองคนโน้น มองคนนี้ โทษคนโน้น โทษคนนี้ ไปโทษสถานที่โน้น สถานที่นี้ โทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองตรงกลางใจของเรา มีความสะอาดมีความบริสุทธิ์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะปล่อยปละละเลย เสียดายเวลาถ้าเราปล่อยปละละเลย เวลาภายนอกเราก็เสียดาย เวลาภายในเราก็เสียดาย ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ทุกคนก็มีโอกาส มีวาสนา ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน เราจงพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา เราไม่เข้าใจ เราถึงเสวงหา เรารู้แนวทางแล้วก็รีบเร่งในการเจริญสติ
การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่สงบ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ การรู้ การละ การดับ การแยก เขาเป็นอย่างไร นั่นแหละบุคคลที่มีบุญ ฟังนิดเดียวเขาจะไปรออยู่ที่ฝั่งเลย ฝั่งพระนิพพาน จงพยายามสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น เดินให้เข้าถึงฝั่ง เดินในที่นี้เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
แต่ละวันใจของเราสงบได้ยาวนานหรือไม่ ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศล หรือว่าอกุศล เรามีความขยันหมั่นเพียร หรือว่าเรามีความเกียจคร้าน เรามีความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เราเอารัดเอาเปรียบตัวเรา ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นหรือไม่ ก็ต้องพยายามเอา หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ก็จะไม่เข้าถึงดวงจิต ดวงวิญญาณของตัวเอง
มีอะไรหลวงพ่อก็พยายามทำ ยังประโยชน์ให้กับหมู่ให้กับคณะ เพื่อหมู่กับคณะ เพื่อที่จะให้มีความสุขกันทุกคน จากความไม่มีอะไร ก็ทำเสียจนให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขทั้งในวัด ทั้งนอกวัด แบกรับภาระมาหนักมากทีเดียว แต่เป็นการหนักด้วยสติ หนักด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าหนักอยู่ที่ใจ ยังประโยชน์ให้กับทุกคน ถึงปานนั้นแล้วก็ยังพากันเกียจคร้าน ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ หลวงพ่อก็ช่วยเหลือไม่ได้นะ ถ้าไม่มีความขยันหมั่นเพียร
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่อง รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ให้ชัดเจน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบายนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ศิลปะของการหายใจที่ธรรมชาติที่สุด ลองพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่นแหละสติ ความรู้ตัวรู้กาย รู้ลมหายใจ เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะไม่เข้าใจในเรื่องชีวิตของเรา เราก็จะไม่เข้าใจในธรรม เรารู้ธรรม แต่ไม่เข้าถึงธรรม ตัวธรรมคือตัววิญญาณ
ตัวใจที่เขาไม่เกิดเขาสงบนิ่ง ปราศจากกิเลส แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงด้วย ปัญญาโลกีย์ของเราอาจจะมองว่าเราไม่หลง แต่ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่า สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันนี้เรามีนิดเดียว เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอเริ่มใหม่ ถ้าพาไปเกียจคร้านในการเจริญสติตรงนี้ หมดโอกาสที่จะรู้ฐานของใจได้เลย ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอ ลุ่มหลง ส่วนมากจะเผลอ เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ แม้แต่จะตั้งสติที่จะทำให้ต่อเนื่องก็ยังหลุดบ่อย
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร มีความขยันหมั่นเพียรทุกกระเบียดนิ้วตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกเรื่องในชีวิต ตื่นขึ้นมาปุ๊บ ใจปกติหรือไม่ สติของเรารู้กายของเราหรือไม่ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราปกติ หรือว่าใจของเราปรุงแต่ง มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราหรือไม่ เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดสร้างความรู้ตัว เราเข้าใจแล้วทั้งกลางวันทั้งกลางคืน เราเข้าใจแล้วเราถึงพัก
ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักละกิเลส ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราพยายามละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความเห็นแก่ตัว เราพยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัย การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์ จากตำรามีกันเกลื่อน ถ้าบุคคลมีบุญ ไม่จำเป็นต้องพูดยากเลย ไม่จำเป็นต้องพูดยาก ไม่จำเป็นต้องไปนั่นยากเลย เพียงแค่มองหาเหตุหาผล
ลักษณะของการเจริญสติ ลักษณะของใจที่สงบ ลักษณะของใจที่ไม่เกิด ความเป็นกลาง ความว่างเป็นอย่างไร โลกสมมติ โลกธรรมแปดเป็นอย่างไร รอบรู้ในกองสังขาร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร ทำไมพระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่าเป็นขันธ์ เป็นกอง เราต้องดูรู้ให้ชัดเจน มันรวมกันอยู่ในกายเนื้อของเราซึ่งมีหนังห่อหุ้มอยู่ มีวิญญาณเข้ามาครองอยู่
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปแยกแยะจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอานะ ได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามเอา ค่อยสร้าง ค่อยทำ ไม่เข้าใจวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าใจ ไม่เข้าใจวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ตราบใดที่เรายังสนใจฝักใฝ่แสวงหาอยู่ เราแสวงหาธรรม เราย่อมจะรู้ธรรม โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน
กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ ก้อนโลก ดวงจิตของเราถ้ายังมาหลง มายึดอยู่ก็เป็นโลกิยะอยู่ ถ้าเขาคลายแล้ว รู้ความจริงแล้ว ละกิเลสให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ก็นั่นแหละความหมายของวิมุตติ นั่นแหละคือผู้รู้ ผู้รับรู้ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปแก้ไขสะสางเขาขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ
พยายามหยุด ดับ นิ่ง พิจารณา ควบคุม ยิ่งฝึกใหม่ๆ ก็ยิ่งเห็นเยอะ เพราะว่าแต่ก่อนเราเคยทานวันละ 2 มื้อ 3 มื้อ 4 - 5 มื้อ ทานไม่เป็นกาลเป็นเวลา ทีนี้เรามาหยุดระงับยับยั้ง กายก็เลยหิว ความอยากที่เกิดจากตัวจิตก็เลยเกิดเร็วไวขึ้น การปรุงแต่งก็เร็วก็ไวขึ้น เราก็พยายามระงับยับยั้ง ดับ อยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับคำบริกรรม ยิ่งพระบวชใหม่ เณรบวชใหม่ ดูดีๆ นะ ดูดีๆ ระงับยับยั้งให้ได้ มันอยากอะไรก็ให้มันผ่านไป ไม่เอาให้มัน ลองดูสิมันผ่านไปแล้ว มันจะเสียดายอาลัยอาวรณ์หรือไม่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
วันนี้ก็อากาศก็สดชื่นตั้งแต่เช้า ใกล้แล้วใกล้จะถึงวันเลือกตั้ง วันพรุ่งนี้วันเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก็ขอเชิญชวนญาติโยมเราทุกคนนะ บุคคลใดที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็พยายามพากันไปเลือกตั้ง เลือกตั้งบุคคลที่ท่านชอบ ท่านพิจารณาดีแล้วเข้าสภา ชอบคนไหน รักคนไหน พิจารณาคนไหนว่าเห็นสมควรก็ค่อยไปกา เกิดจากดุลพินิจพิจารณาของท่านเอง เพื่อที่จะเข้าสู่สภา ทำงานแทนพวกท่าน
พากันพิจารณาแล้วก็ค่อยไปเลือกตั้ง อย่าไปเลือกด้วยความงมงาย จงเลือกด้วยสติ เลือกด้วยปัญญา บุคคลใดที่มีความซื่อสัตย์สุจริต หรือว่ามีความเสียสละ มีความจริงใจที่จะทำงานให้กับหมู่ ให้กับคณะ ให้กับสังคม เราก็พยายามพิจารณาด้วยตนเอง เห็นเหมาะสมหรือว่าสมควร เราค่อยเลือก เราค่อยกา เพราะว่าการทำงานเพื่อส่วนรวมนี้มันก็เป็นประโยชน์มากมาย
เราก็ต้องเลือกเอาบุคคลที่เหมาะที่สุด ดีที่สุด เท่าที่เรามองเห็นว่าสมควรในจุดที่เราได้เลือก ในจุดที่เรามีอยู่ จะดีมากดีน้อย อันนั้นก็ค่อยว่ากัน ขอให้เอาดีที่สุด ขอให้ว่าเหมาะสมที่สุด อย่าไปเอาตามคนหมู่มากลากไป เราต้องเอาคนดี เอาคนมีความซื่อสัตย์ ถึงจะไม่มากก็ให้มีความดีอยู่บ้างก็ยังดี ก็ดีกันทุกคนนั่นแหละนะ จะดีมากดีน้อย มันก็ดีกันทุกคน เราก็เอาให้ดีให้มากหน่อย
แต่อยากจะให้ดีจริงๆ เราก็ต้องมองเห็นความดีภายในของเราเสียก่อน ตรวจดูภายในของเราให้เรียบร้อย มันก็จะมองเห็นความดีภายนอกได้ ถ้าความเป็นกลางของเรามันไม่มี ไม่เห็นดวงจิต ดวงวิญญาณของเราจริงๆ จะเห็นความดีภายนอกนี้ก็ มันก็มองเห็นเพียงฉาบฉวย รูปแบบ ถ้าเราเห็นความดีภายในของเรา รู้ใจของเราภายในแล้ว มันจะได้มองลึกด้วยว่าใครเป็นอย่างไรมาอย่างไร มองตั้งแต่ต้นเหตุ ถึงกลางเหตุ ถึงปลายเหตุ ไม่ใช่ว่ามองเฉพาะแค่ได้เจอหน้าอย่างเดียว เราก็ต้องพยายาม มีโอกาส โอกาสเปิดให้กับทุกคน มีสิทธิ์เลือกตั้งก็อย่าลืมพากันไปเลือกตั้ง มีพันธะภาระอะไรก็วางเอาไว้เสียก่อน พากันไปช่วยกันเลือกตั้ง
พระเราชีเราก็พยายามขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ช่วยกันดูแล ดูแลช่วยกัน ดูแลใจตัวเรา ดูแลสถานที่ของเรา ดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช่ว่าดูแลเฉยๆ ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ให้น่าดู น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ อย่าพากันปล่อยปละละเลย จงสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นที่กาย ที่ใจของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียรให้เป็นข้อวัตรปฏิบัติของเรา มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี เราก็รีบแก้ไขเสีย
วันนี้ก็ญาติโยมท่านใดมีโอกาส มีเวลา อยากจะมาร่วมบุญ ด้วยการบวชนาคสองคนสองท่าน ที่จะมาบวชนาคอยู่ที่วัดของเรา บวชอยู่ที่อุโบสถกลางน้ำ นิมนต์หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านมาบวชที่วัดของเรา ท่านก็อนุเคราะห์ ท่านก็มีความเมตตามาบวชนาคที่วัดของเรา ก็คงจากนี้ไปหาก่อนเข้าพรรษา ก็คงจะได้บวชอีกชุด
มีโอกาส เสียสละเวลา ภาระหน้าที่การงานมา น้อมกายเข้ามาบวช เข้ามาศึกษา เรานั่นแหละนะเข้ามาศึกษากาย ศึกษาใจของเรา เข้ามาในเพศภาวะ มาเปลี่ยนเพศภาวะจากฆราวาสเป็นพระ เป็นพระในทางสมมติ ทีนี้ใจของเราเป็นพระหรือยัง ใจของเราปล่อยวาง ละความยึดมั่นถือมั่น ละกิเลสได้แล้ว ละได้มากเท่าไร ใจของเราก็เข้าถึงองค์พระได้มากเป็นทวีคูณ
มีโอกาส โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลา สติปัญญา ความรู้ทางสมมติของเราก็เต็มเปี่ยม ทีนี้สติปัญญาในทางธรรม เราต้องมาสร้าง มาวิเคราะห์ มาสังเกตดู รู้กายรู้ใจของเราว่าไปอย่างไร มาอย่างไร ไม่ใช่ว่าจะไปอยู่ที่โน่นฉันจะรู้ธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะรู้ธรรม ถ้าการเจริญสติ การเจริญปัญญา การวิเคราะห์ไม่มี มันก็เหมือนเดิม เราต้องวิเคราะห์เรา วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนรู้เห็นตามความเป็นจริงได้นั่นแหละ ถึงจะเข้าถึงธรรมได้ ไม่ใช่ว่าจะไปโทษที่โน่น ไปอยู่ที่โน่นก็ไม่รู้ธรรม ไปอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ธรรม ไปที่นั่นก็ไม่ดี ไปที่นี่ก็ไม่ดี ที่ไหนได้ใจของเราไม่ดีเอง
ถ้าใจของเราดีแล้ว ไปอยู่ที่ไหนถ้าสถานที่ไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ใจของเราเป็นธรรม ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นธรมอยู่เหมือนเดิม ใจของเราเกิดกิเลส ถ้าเราไม่ละ จะไปโทษแต่คนโน้นคนนี้ กิเลสมันก็เป็นของเราอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องดูเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงเรา พิจารณาใจเรา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา
กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ติดขัดอะไร ไม่เข้าใจอะไรก็มาถามท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณจะชี้แนะให้ เพราะว่าท่านฝึกมาก่อน ท่านรู้มาก่อน ท่านเห็นมาก่อน เห็นอย่างไรท่านก็ ติดขัดอะไรท่านก็จะบอก มอบภาระหน้าที่ให้ท่านช่วยดูแล ช่วยชี้แนะ ท่านเจ้าคุณนี่ใหญ่ ถ้าหาไม่เจอนี่ มองไม่ดีนี่ มองไม่เห็น เพราะอัตตาของท่านไม่ค่อยจะใหญ่ แต่ธรรมะ คุณธรรมท่านใหญ่ เข้ามาเลย เข้ามาๆ เหลืออีกไม่นานก็จะเข้าพรรษา แผล็บเดียว เผลอแผล็บเดียว ปีหนึ่งๆ ผ่านพ้นไป ผ่านพ้นไปเร็วไว
ความเสื่อมขึ้นเสื่อมลง สมัยก่อนก็เป็นเด็กก็เสื่อมขึ้น พออายุกลางคนแล้วก็เสื่อมลง แล้วทีนี้เสื่อมขึ้นเสื่อมลง เพราะว่าความเสื่อมมันมีอยู่ตลอดเวลา ความไม่เที่ยงมันมีตลอดเวลา แต่คนเราขาดการพิจารณา ก็เลยมองไม่เห็นความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงทั้งด้านร่างกาย ทางด้านรูปธรรม ความไม่เที่ยงทางด้านจิตใจ ที่เกิดๆ ดับๆ แต่เราขาดการทำความเข้าใจ เราก็เลยไม่เห็น ไม่รู้ เราไปมองเอาเฉพาะภาพรวม มองเห็นแต่ความเจริญฝ่ายรูปธรรมอย่างเดียว เรามองไม่เห็นความเสื่อม ความเกิดความดับของความคิด ของอารมณ์ มันเสื่อมอยู่ตลอดเวลา มันเกิดอยู่ตลอดเวลา
นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่ได้ค้นพบ แล้วเอามาเปิดเผยให้ทุกคนได้ประพฤติวัตรปฏิบัติตามถึงจะเข้าใจ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ยากที่จะเข้าใจ ปฏิบัติตามอยู่ แต่เป็นการปฏิบัติตามอยู่ในระดับของสมมติ ระดับการให้ทานเท่านั้น แต่การเจริญสติ การเจริญปัญญา การแยกรูปแยกนาม การทำความเข้าใจมีกันน้อย ไม่ค่อยจะสนใจ อาจจะรู้ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ไม่รู้เห็นทุกอิริยาบถ
อยู่หลายคนหลายท่านก็พยายามช่วยกันรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบ ความสะอาด ความเป็นระเบียบนี่แหละข้อวัตรปฏิบัติอย่างยิ่งเลยทีเดียว จงอยู่ด้วยความสะอาด อยู่ด้วยความเป็นระเบียบ อยู่ด้วยปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของบุคคลที่มีปัญญา เป็นศาสนาของผู้รู้ ศาสนาของพุทธะ ผู้รู้ รู้กาย รู้ใจ รู้โลก รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในสมมติ ไม่เข้าไปทุกข์
ถ้าเราเข้าใจจะพร่ำสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปให้ดิ้นรนอะไรมากเลย นั่งอยู่เฉยๆ ก็รู้กายรู้ใจ อะไรควรทำ อะไรควรละ ลักษณะของการเจริญสติ ไปไหนมาไหนก็รู้กาย รู้ใจของเรา ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี โลกเราทุกวันนี้ก็ลำบาก ขโมยขโจรก็เยอะ ก็ไปไหนมาไหนก็ดูแลรักษาทรัพย์สมบัติของเรา อะไรที่มีค่าเราก็เอาติดตามตัว เมื่อวันวานนี้ก็ไปงัดบ้านของชาวบ้านที่อยู่ข้างถนน สองเที่ยวแล้วบอกว่าอย่างนั้น ก็ไปงัดเข้าไปขโมย ก็ห้ามไม่ได้ ขโมยก็แอบขโมย ขโมยก็ตอนที่เจ้าของบ้านเผลอนั่นแหละ เจ้าของบ้านนอนหลับ เข้าไปงัดเข้าไปขโมย หมดเงินไปเยอะ ข้าวของก็เสียหายไปเยอะ สองเที่ยวแล้ว มาฟ้องหลวงพ่อเมื่อวานนี้ เราก็ดูแลรักษาให้ดี เราก็ถือว่าเราได้ทำบุญให้ทานเสีย อย่าไปนั่นมัน ไม่ตายเราหาเอาใหม่
ประมาณสองโมงครึ่งหรือสามโมง ก็จะได้ทำพิธีบวชนาค ฆราวาสญาติโยมท่านใดมีโอกาสอยากจะร่วมบวชนาคด้วยก็ขอเชิญนะ รับประทานข้าวปลาอาหารอยู่ในวัดของเรา คน จิตใจเป็นบุญกันทุกคน น้อมกายมาบวช มีครอบครัวแล้วก็ขออนุญาตพ่อแม่ครอบครัวออกมาบวช เพื่อจะได้ศึกษาเรื่องใจของตัวเรา
เอายกมาถวายสิ รอสักพักหนึ่ง พระเราก็เยอะ ที่พักที่อาศัยก็คับแคบไปหน่อยนะ ก็ค่อยอยู่ ค่อยดูแลช่วยกัน คับที่มันอยู่ได้อยู่หรอก แต่คับใจมันจะอยู่ยาก ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมาศึกษาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ก็ไม่ถึงกับอัตคัดเท่าไร ไม่ถึงกับลำบากเท่าไร ถ้าเปรียบเทียบกับสมัย 25 ปีก่อน สมัย 25 ปีก่อนนี้ยากอยู่ ที่พักที่อาศัยก็ลำบาก ลำบากอยู่ ทั้งป่าก็เป็นป่าเพ็กป่าหนาม ไม่น่าอยู่น่าอาศัย กองกระดูกนี้เกลื่อน ทั้งเผาทั้งฝังนี้เกลื่อน ถนนหนทางก็ไม่มี หลวงพ่อก็ต้องมาบุกเบิก มาทำความสะอาด ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อที่จะยังสมมติให้ทุกคนได้มีความสุข ลำบากมาทีเดียว แม้แต่ถ้วยชามจะใส่กับข้าวกับปลานี่ก็ยังไปขุดเอาตามหลุมศพมาไว้ใส่กับข้าวกับปลา อย่าไปนึกถึงเรื่องอาหารดีๆ เลย ไม่มีหรอก ยาก
สมัยก่อนออกบิณฑบาตก็ได้แต่ข้าวปั้นเท่านั้นแหละ เยอะ คนก็มาเริ่มใส่อาหาร ใส่น้ำ ใส่ข้าว ก็ช่วงอะไรพันเอกเสนาะที่ว่าตายแล้วฟื้นนั่นแหละ คนก็เริ่มมาทำบุญกันมากขึ้นๆ ก็อานิสงส์ของท่านตรงนี้ก็ดีมากทีเดียว สมัยก่อนนี้ออกบิณฑบาตนี่ไม่ค่อยจะได้เท่าไร ได้แต่ข้าวปั้น ก็พอดีก็มาเรื่องตายแล้วฟื้นของพันเอกเสนาะที่นั่นกัน คนโน้นก็ใส่ข้าวใส่ปลา ใส่น้ำ กลัวไม่ได้กิน ไปบิณฑบาตวันไหนก็หนักน้ำ มันเต็มบาตรเลย พากันใส่น้ำกันเสียจนเต็มจนล้น
ว่ายังไงคุณโยม เดี๋ยวรอแป๊บเดียว เดี๋ยวรอหมู่อยู่ รออยู่ หลังจากนั้นมาคนก็ทำบุญกันเยอะ สมัยก่อนนั้นฆราวาสญาติโยมก็ทำบุญปีหนึ่งอาจจะทำครั้งหนึ่งคืองานบุญกฐิน งานบุญใหญ่ ไม่ได้ทำทุกวันๆ เหมือนกับทุกวันนี้ แต่ก่อนนั้นปีหนึ่ง หมู่บ้านชาวบ้านก็จะร่วมกันทำบุญในบุญงานกฐิน เป็นงานบุญใหญ่ ก็ไม่นึกไม่คิดว่าต้องทำตลอดเวลาได้ยิ่งดีใหญ่
รู้จักการเจริญสติ การเจริญสมาธิ การเจริญภาวนา ฝั่งทางนี้ก็รู้สึกว่าจะมีหลวงพ่อองค์เดียว ที่จะมาเริ่มเรื่องการเจริญสติอยู่ที่นี่ สมัยก่อน 20 กว่าปีก่อน แต่ก่อนไม่ค่อยจะมีใครสนใจเท่าไร มาอยู่ป่าช้า อยู่มุมโน้นบ้าง อยู่มุมนี้บ้าง ตามร่มไม้ตามหลุมศพ จนเขาเอาศพมาฝัง จนไปนอนอยู่กับหลุมศพ จนได้ปลูกกระต๊อบอยู่กับหลุมศพอยู่ 4 ปี
ค่อยพัฒนามาเรื่อยๆ ค่อยทำ ค่อยสร้างมาเรื่อยๆ ให้หมู่ให้คณะอยู่ดีมีความสุข จนกระทั่งทุกอย่าง ทุกวันนี้ก็มาด้วยอานิสงส์บุญ มาด้วยแรงบุญ จงช่วยกัน จงช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ ช่วยกันดูแล ไม่ใช่ว่ามาทำลาย อยากให้ทุกคนมีความสุข อยากจะให้คนทุกคนไม่ได้ลำบาก มีโอกาสได้เข้ามาฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ใช่ว่ามาวัดปฏิบัติ มาวัดแล้วทำอะไรไม่เป็น
จงเป็นบุคคลที่รอบ ขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ ทำประโยชน์ ยังประโยชน์ให้ถึงที่สุด ศาสนาท่านสอนให้ทุกคนเป็นคนขยัน เป็นคนหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ แต่ไม่ให้ยึดในสิ่งต่างๆ มีให้เป็น ใช้ให้เป็น ทำให้เป็น ขยันหมั่นเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทางทั้งภายนอก ทั้งภายใน ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน่น ถ้าเราไม่ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเองแล้วก็ยากที่จะเข้าใจในธรรม
กว่าจะได้มาอยู่ดีมีความสุขกันทุกคน ก็อาศัยร่วมแรง ร่วมกาย ร่วมใจกัน ทุกคนที่ได้มาร่วมกัน ก็ช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ เพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เพื่อยังสถานที่ให้น่าอยู่น่าอาศัย พวกเรามาอยู่แล้วก็พากันช่วยกันสร้างกัน ทำต่อ คนรุ่นหลังมาก็สร้างสานต่อ ถ้าเราไม่ทำเอาไว้คนรุ่นหลังก็ลำบาก เราจงมาช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง สร้างกองบุญเอาไว้ จากกองบุญน้อยๆ ให้เป็นกองบุญอันใหญ่มหาศาลมากมาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นสิริมงคล ถ้าเราสร้างคุณงามความดี ไม่ต้องเลือกกาลเลือกเวลา เราต้องสร้างอยู่ตลอด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็สำรวจกายของเรา สำรวจใจของเรา แล้วก็รีบแก้ไขเสีย ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวมองคนโน้น มองคนนี้ โทษคนโน้น โทษคนนี้ ไปโทษสถานที่โน้น สถานที่นี้ โทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองตรงกลางใจของเรา มีความสะอาดมีความบริสุทธิ์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะปล่อยปละละเลย เสียดายเวลาถ้าเราปล่อยปละละเลย เวลาภายนอกเราก็เสียดาย เวลาภายในเราก็เสียดาย ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ทุกคนก็มีโอกาส มีวาสนา ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน เราจงพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา เราไม่เข้าใจ เราถึงเสวงหา เรารู้แนวทางแล้วก็รีบเร่งในการเจริญสติ
การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่สงบ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ การรู้ การละ การดับ การแยก เขาเป็นอย่างไร นั่นแหละบุคคลที่มีบุญ ฟังนิดเดียวเขาจะไปรออยู่ที่ฝั่งเลย ฝั่งพระนิพพาน จงพยายามสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น เดินให้เข้าถึงฝั่ง เดินในที่นี้เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
แต่ละวันใจของเราสงบได้ยาวนานหรือไม่ ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศล หรือว่าอกุศล เรามีความขยันหมั่นเพียร หรือว่าเรามีความเกียจคร้าน เรามีความเสียสละอย่างเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เราเอารัดเอาเปรียบตัวเรา ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นหรือไม่ ก็ต้องพยายามเอา หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ก็จะไม่เข้าถึงดวงจิต ดวงวิญญาณของตัวเอง
มีอะไรหลวงพ่อก็พยายามทำ ยังประโยชน์ให้กับหมู่ให้กับคณะ เพื่อหมู่กับคณะ เพื่อที่จะให้มีความสุขกันทุกคน จากความไม่มีอะไร ก็ทำเสียจนให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขทั้งในวัด ทั้งนอกวัด แบกรับภาระมาหนักมากทีเดียว แต่เป็นการหนักด้วยสติ หนักด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าหนักอยู่ที่ใจ ยังประโยชน์ให้กับทุกคน ถึงปานนั้นแล้วก็ยังพากันเกียจคร้าน ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ หลวงพ่อก็ช่วยเหลือไม่ได้นะ ถ้าไม่มีความขยันหมั่นเพียร
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่อง รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ให้ชัดเจน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบายนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ศิลปะของการหายใจที่ธรรมชาติที่สุด ลองพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่นแหละสติ ความรู้ตัวรู้กาย รู้ลมหายใจ เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะไม่เข้าใจในเรื่องชีวิตของเรา เราก็จะไม่เข้าใจในธรรม เรารู้ธรรม แต่ไม่เข้าถึงธรรม ตัวธรรมคือตัววิญญาณ
ตัวใจที่เขาไม่เกิดเขาสงบนิ่ง ปราศจากกิเลส แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงด้วย ปัญญาโลกีย์ของเราอาจจะมองว่าเราไม่หลง แต่ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่า สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันนี้เรามีนิดเดียว เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอเริ่มใหม่ ถ้าพาไปเกียจคร้านในการเจริญสติตรงนี้ หมดโอกาสที่จะรู้ฐานของใจได้เลย ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอ ลุ่มหลง ส่วนมากจะเผลอ เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ แม้แต่จะตั้งสติที่จะทำให้ต่อเนื่องก็ยังหลุดบ่อย
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร มีความขยันหมั่นเพียรทุกกระเบียดนิ้วตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกเรื่องในชีวิต ตื่นขึ้นมาปุ๊บ ใจปกติหรือไม่ สติของเรารู้กายของเราหรือไม่ จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราปกติ หรือว่าใจของเราปรุงแต่ง มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราหรือไม่ เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดสร้างความรู้ตัว เราเข้าใจแล้วทั้งกลางวันทั้งกลางคืน เราเข้าใจแล้วเราถึงพัก
ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักละกิเลส ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราพยายามละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความเห็นแก่ตัว เราพยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัย การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์ จากตำรามีกันเกลื่อน ถ้าบุคคลมีบุญ ไม่จำเป็นต้องพูดยากเลย ไม่จำเป็นต้องพูดยาก ไม่จำเป็นต้องไปนั่นยากเลย เพียงแค่มองหาเหตุหาผล
ลักษณะของการเจริญสติ ลักษณะของใจที่สงบ ลักษณะของใจที่ไม่เกิด ความเป็นกลาง ความว่างเป็นอย่างไร โลกสมมติ โลกธรรมแปดเป็นอย่างไร รอบรู้ในกองสังขาร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร ทำไมพระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่าเป็นขันธ์ เป็นกอง เราต้องดูรู้ให้ชัดเจน มันรวมกันอยู่ในกายเนื้อของเราซึ่งมีหนังห่อหุ้มอยู่ มีวิญญาณเข้ามาครองอยู่
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปแยกแยะจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอานะ ได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามเอา ค่อยสร้าง ค่อยทำ ไม่เข้าใจวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าใจ ไม่เข้าใจวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ตราบใดที่เรายังสนใจฝักใฝ่แสวงหาอยู่ เราแสวงหาธรรม เราย่อมจะรู้ธรรม โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน
กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ ก้อนโลก ดวงจิตของเราถ้ายังมาหลง มายึดอยู่ก็เป็นโลกิยะอยู่ ถ้าเขาคลายแล้ว รู้ความจริงแล้ว ละกิเลสให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ก็นั่นแหละความหมายของวิมุตติ นั่นแหละคือผู้รู้ ผู้รับรู้ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปแก้ไขสะสางเขาขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ