หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 035
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 035
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เสียก่อน แล้ววางภาระหน้าที่การงานทางบ้าน เราก็วางมาแล้ว ทีนี้เรามาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจของเราด้วยการเจริญอานาปานติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกเราก็ชัดเจน ให้มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ความรู้ตัวนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ให้ต่อเนื่อง แต่คนส่วนมากจะไม่ค่อยจะสนใจกัน คิดก็รู้ทำก็รู้ ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากความคิดเก่านั่นแหละ เขาเกิดอยู่ เรารู้อยู่ตรงนั้นแหละ แล้วก็ทำตามความคิดเก่าๆ ซึ่งความคิดซึ่งวิญญาณของเราก็ยังหลงอยู่ ยังเกิด หลงเกิดอยู่ หลงยินดียินร้าย เป็นทาสอารมณ์ เป็นทาสกิเลสอยู่
เราถึงได้มาเจริญสติ มาสร้างสติตัวใหม่ พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เราก็เอาไปใช้วิเคราะห์ ไปสังเกต ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ไปควบคุมใจ จนกว่าใจของเราจะคายออกจากความคิด คลายออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ก็เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด ว่าเขาเกิดเข้าไปรวมไปร่วมกันได้อย่างไร เรารู้เท่าทันตั้งแต่ต้นเหตุเขาก็จะแยกออกจากกัน
นี่แหละเราถึงจะมองเห็นหนทาง เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ ใจของเราก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘คลายความหลง’ แยกรูปแยกนามซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ อย่าเพิ่งไปนึกเอา ไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น ว่าจะเป็นอย่างนี้ อันนั้นเป็นความนึกคิดของปัญญาโลกิยะ ปัญญาของโลกเขา
ปัญญาที่จะรู้แจ้งแทงตลอดได้ เราต้องเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ไปวิเคราะห์จากน้อยๆ ไปหามากๆ ทั้งที่ใจของทุกคนก็เป็นบุญ อยากจะได้บุญ อยากทำบุญ ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการสร้างประโยชน์ สร้างงานอานิสงส์ มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วเราต้องแยก ต้องคลาย ต้องตามดูให้รู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ของเรา ทำความเข้าใจกับชีวิตของเราให้ได้ทุกเรื่อง
ไม่ใช่ว่าจะเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจของเราสงบเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ คลายความหลงเป็นลักษณะอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างไร นิวรณธรรมอันนี้ใจของเรามีความสุขสงบปกติ มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่กำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ใจของเราไม่มีความอาฆาตพยาบาท ใจของเราไม่มีความกังวล ไม่มีความฟุ้งซ่าน
ความรู้ตัว รู้สติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เรารู้ได้ทุกขณะ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ทำกันไม่ค่อยต่อเนื่องกัน ก็เลยขาดการได้ทรัพย์อันสูง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย บุญภายนอกเราก็ทำ อานิสงส์ภายนอก อย่าไปปิดกั้นตัวเอง ว่าเราไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนมีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญเก่าก็มี บุญใหม่เราก็มาสร้าง มาทำความเข้าใจต่อ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็เป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบุญอยู่ระดับของโลกิยะ ของสมมติ
ส่วนการเจริญสติก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลอื่น เราจะสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็เอาไปใช้ เอาไปทำ เอาไปวิเคราะห์ ไปควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ ไปคุมจนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด ตามดูให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับความหมายของภาษาธรรม สักแต่ว่าดูเป็นอย่างไร สักแต่ว่ารู้เป็นอย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ การเข้าไปดับทุกข์ เราจะเข้าไปดับด้วยวิธีไหน
เราต้องศึกษาค้นคว้าแล้วก็ปฏิบัติ ทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะอนัตตาเป็นอย่างไร สัมมาทิฏฐิ มานะเป็นอย่างไร อัตตาตัวตนเป็นอย่างไร เราต้องรู้แจ้งแทงตลอดให้ได้ทุกเรื่องหมดความสงสัย เชื่อมั่นในตัวเอง หมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของพวกเราทุกคน
เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปพลาดโอกาส ปล่อยให้เสียวันเสียเวลา เสียดายเวลา ถ้าเราเข้าใจในธรรมะ เราก็จะอยู่กับธรรมะ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ก็อยู่ที่กาย วาจา ใจของเหล่านี้แหละ ประพฤติธรรมก็ประพฤติกาย วาจา ใจของเหล่านี้แหละ ไม่ใช่ว่าจะไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไม่เข้าใจในธรรม
การเจริญสติเป็นลักษณะอันนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเข้าครอบงำจิตของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องตรวจดูรู้ทุกขณะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ การเจริญสติ รู้จักเอาสติไปใช้ สตินั่นแหละเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบจิตของเรา ไม่ต้องไปวิ่งหาครูบาอาจารย์องค์โน้นองค์นี้ เรารู้จักสร้างอาจารย์ขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา เราก็รู้จักตรวจสอบใจของเรา แก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว
ฝั่งก็คือพระนิพพาน คือความว่าง ความสะอาด ความบริสุทธิ์ มันไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าชีก็ช่วยกัน ขยันหมั่นเพียรทุกสิ่งทุกอย่าง มาอยู่ร่วมกัน เรามีโอกาสเป็นเพื่อนเกิดแก่เก็บตายด้วยกัน มีโอกาสได้สร้างบุญ สร้างอานิสงส์ร่วมกัน ถ้าเราไม่เคยสร้างบุญร่วมกันก็คงจะ ไม่ได้มาอยู่ร่วมกัน ได้สร้างบุญร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ เราก็พยายามละเสีย เจริญเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์
เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ทั้งบุญภายนอกบุญภายใน เราก็ช่วยกันทำทางวัดของเราก็ทำตลอดเวลา มีโอกาสก็มาร่วมกัน มาช่วยกัน มาร่วมกันทำ มาร่วมกันสร้างให้เป็นบุญใหญ่ในวันข้างหน้า จากกองบุญอันน้อยๆ นี่แหละ จะเป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ มันไม่มีอะไรมากหรอก แต่ละวันตื่นขึ้นมาถ้าเรารู้จักแก้ไข ปรับปรุงตัวเรา รู้จักทำความเข้าใจ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนนะ ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้ปกติ มีความรู้สึกรับรู้ที่สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ทำสมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน อยู่คนเดียวก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ทำใจให้ว่าง สูดลมหายใจให้ทั่วท้อง ให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าไปเพ่ง ถ้าไปเพ่งนี่สมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย วิ่งลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็มีความรู้สึกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกเราก็ชัดเจน ให้มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ความรู้ตัวนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ให้ต่อเนื่อง แต่คนส่วนมากจะไม่ค่อยจะสนใจกัน คิดก็รู้ทำก็รู้ ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากความคิดเก่านั่นแหละ เขาเกิดอยู่ เรารู้อยู่ตรงนั้นแหละ แล้วก็ทำตามความคิดเก่าๆ ซึ่งความคิดซึ่งวิญญาณของเราก็ยังหลงอยู่ ยังเกิด หลงเกิดอยู่ หลงยินดียินร้าย เป็นทาสอารมณ์ เป็นทาสกิเลสอยู่
เราถึงได้มาเจริญสติ มาสร้างสติตัวใหม่ พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เราก็เอาไปใช้วิเคราะห์ ไปสังเกต ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ไปควบคุมใจ จนกว่าใจของเราจะคายออกจากความคิด คลายออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ก็เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด ว่าเขาเกิดเข้าไปรวมไปร่วมกันได้อย่างไร เรารู้เท่าทันตั้งแต่ต้นเหตุเขาก็จะแยกออกจากกัน
นี่แหละเราถึงจะมองเห็นหนทาง เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ ใจของเราก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘คลายความหลง’ แยกรูปแยกนามซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ อย่าเพิ่งไปนึกเอา ไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น ว่าจะเป็นอย่างนี้ อันนั้นเป็นความนึกคิดของปัญญาโลกิยะ ปัญญาของโลกเขา
ปัญญาที่จะรู้แจ้งแทงตลอดได้ เราต้องเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ไปวิเคราะห์จากน้อยๆ ไปหามากๆ ทั้งที่ใจของทุกคนก็เป็นบุญ อยากจะได้บุญ อยากทำบุญ ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการสร้างประโยชน์ สร้างงานอานิสงส์ มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วเราต้องแยก ต้องคลาย ต้องตามดูให้รู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ของเรา ทำความเข้าใจกับชีวิตของเราให้ได้ทุกเรื่อง
ไม่ใช่ว่าจะเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจของเราสงบเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ คลายความหลงเป็นลักษณะอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างไร นิวรณธรรมอันนี้ใจของเรามีความสุขสงบปกติ มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่กำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ใจของเราไม่มีความอาฆาตพยาบาท ใจของเราไม่มีความกังวล ไม่มีความฟุ้งซ่าน
ความรู้ตัว รู้สติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เรารู้ได้ทุกขณะ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ทำกันไม่ค่อยต่อเนื่องกัน ก็เลยขาดการได้ทรัพย์อันสูง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย บุญภายนอกเราก็ทำ อานิสงส์ภายนอก อย่าไปปิดกั้นตัวเอง ว่าเราไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนมีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญเก่าก็มี บุญใหม่เราก็มาสร้าง มาทำความเข้าใจต่อ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็เป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบุญอยู่ระดับของโลกิยะ ของสมมติ
ส่วนการเจริญสติก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลอื่น เราจะสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็เอาไปใช้ เอาไปทำ เอาไปวิเคราะห์ ไปควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ ไปคุมจนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด ตามดูให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับความหมายของภาษาธรรม สักแต่ว่าดูเป็นอย่างไร สักแต่ว่ารู้เป็นอย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ การเข้าไปดับทุกข์ เราจะเข้าไปดับด้วยวิธีไหน
เราต้องศึกษาค้นคว้าแล้วก็ปฏิบัติ ทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะอนัตตาเป็นอย่างไร สัมมาทิฏฐิ มานะเป็นอย่างไร อัตตาตัวตนเป็นอย่างไร เราต้องรู้แจ้งแทงตลอดให้ได้ทุกเรื่องหมดความสงสัย เชื่อมั่นในตัวเอง หมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของพวกเราทุกคน
เราก็ต้องพยายามกัน อย่าไปพลาดโอกาส ปล่อยให้เสียวันเสียเวลา เสียดายเวลา ถ้าเราเข้าใจในธรรมะ เราก็จะอยู่กับธรรมะ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ก็อยู่ที่กาย วาจา ใจของเหล่านี้แหละ ประพฤติธรรมก็ประพฤติกาย วาจา ใจของเหล่านี้แหละ ไม่ใช่ว่าจะไปประพฤติปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไม่เข้าใจในธรรม
การเจริญสติเป็นลักษณะอันนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเข้าครอบงำจิตของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องตรวจดูรู้ทุกขณะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ การเจริญสติ รู้จักเอาสติไปใช้ สตินั่นแหละเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบจิตของเรา ไม่ต้องไปวิ่งหาครูบาอาจารย์องค์โน้นองค์นี้ เรารู้จักสร้างอาจารย์ขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา เราก็รู้จักตรวจสอบใจของเรา แก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว
ฝั่งก็คือพระนิพพาน คือความว่าง ความสะอาด ความบริสุทธิ์ มันไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าชีก็ช่วยกัน ขยันหมั่นเพียรทุกสิ่งทุกอย่าง มาอยู่ร่วมกัน เรามีโอกาสเป็นเพื่อนเกิดแก่เก็บตายด้วยกัน มีโอกาสได้สร้างบุญ สร้างอานิสงส์ร่วมกัน ถ้าเราไม่เคยสร้างบุญร่วมกันก็คงจะ ไม่ได้มาอยู่ร่วมกัน ได้สร้างบุญร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ เราก็พยายามละเสีย เจริญเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์
เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ทั้งบุญภายนอกบุญภายใน เราก็ช่วยกันทำทางวัดของเราก็ทำตลอดเวลา มีโอกาสก็มาร่วมกัน มาช่วยกัน มาร่วมกันทำ มาร่วมกันสร้างให้เป็นบุญใหญ่ในวันข้างหน้า จากกองบุญอันน้อยๆ นี่แหละ จะเป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ มันไม่มีอะไรมากหรอก แต่ละวันตื่นขึ้นมาถ้าเรารู้จักแก้ไข ปรับปรุงตัวเรา รู้จักทำความเข้าใจ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนนะ ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้ปกติ มีความรู้สึกรับรู้ที่สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ทำสมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน อยู่คนเดียวก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ทำใจให้ว่าง สูดลมหายใจให้ทั่วท้อง ให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าไปเพ่ง ถ้าไปเพ่งนี่สมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย วิ่งลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็มีความรู้สึกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ