หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 104
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 104
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 104
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน หยุดภาระหน้าที่การงานต่างๆ เอาไว้ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากตัวใจของเราเอาไว้ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเรา แล้วก็ทำให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก เราก็พยายามรู้ให้ชำนาญ หายใจยาว หายใจออกยาว หายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น หายใจแบบปกติ รู้ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเราสนใจ ทำให้ได้ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรม คำว่าปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เขาถึงเรียกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาว่าชั่วโมงนี้ นาทีนี้ อันนั้นเป็นปัจจุบันในทางโลก ปัจจุบันในทางธรรม คือรู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก สร้างความรู้ตัวลงที่กายของเรา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้านั้นก็มีอยู่ตลอด เขามีมาตั้งนานด้วย เขาหลงด้วย เขาหลงถึงได้เกิด เขาเกิดมาในภพมนุษย์ หลงมาสร้างภพมนุษย์ ซึ่งมีสติมีปัญญาพอที่จะเข้าใจในธรรม มาพัฒนา มาต่อยอดของเราให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่มีใครฝึกเราได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านก็ชี้แนะแนวทางให้ ครูบาอาจารย์ตำราท่านก็ชี้แนะแนวทางให้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ เราจะเอาอะไรไปแก้กับกิเลสหยาบแก้กับกิเลสละเอียด มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้นขึ้นอยู่กับคนนี้ การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านการอบรมมามากก็มาก เราก็ต้องพยายามไปทำ
ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ มันจะรู้ชัดแจ้ง รู้จริง เห็นจริง ทำจริง กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ เราก็ต้องสำรวจตรวจตาดู เรามีความเห็นแก่ตัว หรือว่ามีความเสียสละ เรามีความขยันหมั่นเพียรอยู่ในระดับไหน อะไรคือโลกียะ อะไรคือโลกุตระ อะไรคือสมมติวิมุตติ คำว่าอัตตากับอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไรมีอยู่ในกายของเรา ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง
แต่เวลานี้สติของเราไม่ต่อเนื่อง ใจของเราก็ไปลุด้วยอำนาจของความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วย ทั้งเกิดความโลภ ความโกรธ อาจจะเกิดมากเกิดน้อย หลงเกิดแล้วก็ส่งเสริม แทนที่จะเจริญสติเข้าไปควบคุม เข้าไปแยก เข้าไปคลาย เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจให้ใจรู้เห็นความเป็นจริงทุกเรื่อง พูดง่ายแต่การลงมือต้องพยายามทำให้ได้ มันก็ไม่เหลือวิสัยหรอก ให้มีให้เกิด หมดความสงสัย หมดความลังเล ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข แม้แต่ตัวของเราก็ไม่ได้เป็นภาระของเรา เป็นภาระอยู่ในระดับของสมมติ ของกายเนื้อ ตัวใจไม่ให้ไปแบกไปยึด กายก็จะเบา ใจก็จะโล่งก็จะโปร่ง กว่าจะสะสางได้ทีละเล็กละน้อย เราก็ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป
ในหลักธรรมความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา การเกิดของใจนั้นก็มันก่อขึ้น เราก็ต้องพยายามดับ พยายามละ พยายามทำใจของเราให้สะอาด ให้หมดจด ให้นิ่ง ใจของเรานิ่งอยู่ แต่การละกิเลสไม่หมดจด มันก็เปรียบเสมือนกับหินทับหญ้าเอาไว้ ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เราทำเราก็ได้ เราทำอะไรขึ้นมา เราก็ได้อันนั้นแหละ เราแสวงหาธรรม เราย่อมจะรู้ธรรม เราจะเอาอะไรไปแสวงหาธรรม ก็เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล รู้เหตุรู้ผล ทำความเข้าใจ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างท่านชี้ลงไปที่เหตุ เหตุเกิดส่วนรูปธรรมส่วนนามธรรม มีหมดนั่นแหละ เหตุภายนอก เหตุโลก เหตุสมมติเหตุวิมุตติ ความจริงสมมติความจริงวิมุตติ ก็ต้องพยายามกัน
วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันพระ วันพระวันพรุ่งนี้ก็จะได้ไถ่ชีวิตโคแม่ลูกคู่หนึ่ง ซึ่งได้มีท่านผู้ใจบุญท่านปรารถนาที่จะไถ่ นานๆ ทีหนึ่งก็ไถ่กระบือแม่ลูก มีโอกาสก็มาร่วมกัน ภาระหน้าที่การงานภายในวัดเราก็ช่วยกันทั้งพระทั้งชี อย่าพากันเกียจคร้าน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่ปากทางถึงก้นครัว มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา อะไรไม่ดีเราก็รีบช่วยให้มันดี จากความไม่ดีเราก็แก้ไขให้มันดีเสีย มันก็จะดี ทำความเข้าใจกับความเป็นอยู่ของเรา
ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่ใกล้อยู่ไกล มาอยู่รวมกัน เราก็ต้องพยายามเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี เพิ่มความเสียสละ เพิ่มความรับผิดชอบให้มากขึ้น อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย จากความไม่มี เราก็ทำให้มีจากความไม่สะดวกสบาย เราก็ช่วยกันทำเราก็เลยได้มีความสุข ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนหมั่นพิจารณาใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน หยุดภาระหน้าที่การงานต่างๆ เอาไว้ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากตัวใจของเราเอาไว้ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเรา แล้วก็ทำให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก เราก็พยายามรู้ให้ชำนาญ หายใจยาว หายใจออกยาว หายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น หายใจแบบปกติ รู้ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเราสนใจ ทำให้ได้ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรม คำว่าปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เขาถึงเรียกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาว่าชั่วโมงนี้ นาทีนี้ อันนั้นเป็นปัจจุบันในทางโลก ปัจจุบันในทางธรรม คือรู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก สร้างความรู้ตัวลงที่กายของเรา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้านั้นก็มีอยู่ตลอด เขามีมาตั้งนานด้วย เขาหลงด้วย เขาหลงถึงได้เกิด เขาเกิดมาในภพมนุษย์ หลงมาสร้างภพมนุษย์ ซึ่งมีสติมีปัญญาพอที่จะเข้าใจในธรรม มาพัฒนา มาต่อยอดของเราให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่มีใครฝึกเราได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านก็ชี้แนะแนวทางให้ ครูบาอาจารย์ตำราท่านก็ชี้แนะแนวทางให้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ เราจะเอาอะไรไปแก้กับกิเลสหยาบแก้กับกิเลสละเอียด มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้นขึ้นอยู่กับคนนี้ การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านการอบรมมามากก็มาก เราก็ต้องพยายามไปทำ
ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ มันจะรู้ชัดแจ้ง รู้จริง เห็นจริง ทำจริง กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ เราก็ต้องสำรวจตรวจตาดู เรามีความเห็นแก่ตัว หรือว่ามีความเสียสละ เรามีความขยันหมั่นเพียรอยู่ในระดับไหน อะไรคือโลกียะ อะไรคือโลกุตระ อะไรคือสมมติวิมุตติ คำว่าอัตตากับอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไรมีอยู่ในกายของเรา ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง
แต่เวลานี้สติของเราไม่ต่อเนื่อง ใจของเราก็ไปลุด้วยอำนาจของความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วย ทั้งเกิดความโลภ ความโกรธ อาจจะเกิดมากเกิดน้อย หลงเกิดแล้วก็ส่งเสริม แทนที่จะเจริญสติเข้าไปควบคุม เข้าไปแยก เข้าไปคลาย เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจให้ใจรู้เห็นความเป็นจริงทุกเรื่อง พูดง่ายแต่การลงมือต้องพยายามทำให้ได้ มันก็ไม่เหลือวิสัยหรอก ให้มีให้เกิด หมดความสงสัย หมดความลังเล ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข แม้แต่ตัวของเราก็ไม่ได้เป็นภาระของเรา เป็นภาระอยู่ในระดับของสมมติ ของกายเนื้อ ตัวใจไม่ให้ไปแบกไปยึด กายก็จะเบา ใจก็จะโล่งก็จะโปร่ง กว่าจะสะสางได้ทีละเล็กละน้อย เราก็ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป
ในหลักธรรมความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา การเกิดของใจนั้นก็มันก่อขึ้น เราก็ต้องพยายามดับ พยายามละ พยายามทำใจของเราให้สะอาด ให้หมดจด ให้นิ่ง ใจของเรานิ่งอยู่ แต่การละกิเลสไม่หมดจด มันก็เปรียบเสมือนกับหินทับหญ้าเอาไว้ ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เราทำเราก็ได้ เราทำอะไรขึ้นมา เราก็ได้อันนั้นแหละ เราแสวงหาธรรม เราย่อมจะรู้ธรรม เราจะเอาอะไรไปแสวงหาธรรม ก็เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล รู้เหตุรู้ผล ทำความเข้าใจ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างท่านชี้ลงไปที่เหตุ เหตุเกิดส่วนรูปธรรมส่วนนามธรรม มีหมดนั่นแหละ เหตุภายนอก เหตุโลก เหตุสมมติเหตุวิมุตติ ความจริงสมมติความจริงวิมุตติ ก็ต้องพยายามกัน
วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันพระ วันพระวันพรุ่งนี้ก็จะได้ไถ่ชีวิตโคแม่ลูกคู่หนึ่ง ซึ่งได้มีท่านผู้ใจบุญท่านปรารถนาที่จะไถ่ นานๆ ทีหนึ่งก็ไถ่กระบือแม่ลูก มีโอกาสก็มาร่วมกัน ภาระหน้าที่การงานภายในวัดเราก็ช่วยกันทั้งพระทั้งชี อย่าพากันเกียจคร้าน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่ปากทางถึงก้นครัว มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา อะไรไม่ดีเราก็รีบช่วยให้มันดี จากความไม่ดีเราก็แก้ไขให้มันดีเสีย มันก็จะดี ทำความเข้าใจกับความเป็นอยู่ของเรา
ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่ใกล้อยู่ไกล มาอยู่รวมกัน เราก็ต้องพยายามเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี เพิ่มความเสียสละ เพิ่มความรับผิดชอบให้มากขึ้น อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย จากความไม่มี เราก็ทำให้มีจากความไม่สะดวกสบาย เราก็ช่วยกันทำเราก็เลยได้มีความสุข ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนหมั่นพิจารณาใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา