หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 115
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 115
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาพวกท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หลวงพ่อก็เพียงแค่กระตุ้นแค่ชี้แนะ แค่เตือนให้พวกท่านได้รู้จักการเจริญสติ การทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเองว่าเราเกิดมาอย่างไรไปอย่างไร กายของเรามีอะไรบ้าง วิญญาณในกายของเรา วิญญาณในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องมาสร้างความรู้ตัวหรือว่ามาเจริญสติ มาสร้างผู้รู้เข้าไปสำรวจใจของเรา
แต่เวลานี้ใจของเราเป็นผู้รู้อยู่ แต่เขายังเกิดอยู่ เขายังหลงอยู่ เราก็เลยไปยึดเอา หมั่นหมายเอาความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งเขาก็หลงมา ถึงได้หลงมาเกิด ท่านถึงให้มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล ให้ใจของเราคลายออกจากความหลง หรือว่าคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เราอาจจะได้ยินบ่อยๆ มากทีเดียว ไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านใด ท่านก็บอกให้เจริญสติ บอกให้แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจ คำว่า สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อ เราไม่ค่อยจะสร้างให้ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องความสืบต่อตรงนี้แหละสำคัญ เราพยายามสร้างให้ได้ ทำให้ได้ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่เรื่องการหายใจ อันนี้เป็นการรู้กาย รู้ส่วนรูป รู้ส่วนกาย เน้นความรู้ตัวลงที่กายของเรา
ศรัทธาส่วนอื่นนั้นมีกันเต็มเปี่ยม มีการฝักใฝ่มีการสนใจ มีการทำบุญมีการให้ทาน ตรงนั้นมีกันทุกคน ข้อวัตรปฏิบัติทั้งหยาบทั้งละเอียดก็เพื่อที่จะละกิเลสทั้งนั้น ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียดทั้งนั้น พวกท่านได้ละกันแล้วหรือยัง กิเลสเกิดขึ้นที่ใจของเรา เกิดขึ้นมากเกิดขึ้นน้อยเราก็พยายามละ หาข้อวัตรปฏิบัติข้อไหนที่จะไปขัดเกลากิเลส ถ้าเรามีความเกียจคร้าน เราก็เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เรามีทิฏฐิ มีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามเพิ่มความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความตระหนี่ เราพยายามขัดเกลาเสียสละออกจากทั้งภายนอกภายในใจของเรา พยายามทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส ละบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ เอาออกเป็นผู้ให้ เป็นผู้คลาย คลายทั้งภายนอกคลายทั้งภายใน ซึ่งส่วนนามธรรม
แต่เราต้องมีผู้รู้คอยสังเกต คอยดู คอยรู้ คอยเห็นการเกิดการดับ ไม่ใช่ว่าเห็นนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็รู้เลย มันไม่ใช่ เราต้องรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ทุกเรื่อง รู้สาเหตุการเกิดของวิญญาณการเกิดของขันธ์ห้า รู้จักการละกิเลสตั้งแต่เริ่มต้น กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เราก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ จงโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ในหลักธรรม ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตัวใจเป็นตัวสั่ง หรือสติปัญญาเป็นตัวสั่ง การรับประทานข้าวปลาอาหาร กายหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก คำว่า ปัจจุบันธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก เราต้องสร้างความรู้ตัวให้เกิดความเคยชิน แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล หมั่นพร่ำสอนใจของเรา รู้ลักษณะของใจ ใจที่สงบเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายออกจากความคิด ออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร กำลังสติปัญญาของเราไปทำหน้าที่แทนได้หรือไม่ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล
‘สัจจะ’ ความจริงในชีวิตมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง เรารู้อยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง อาจจะเข้าถึงอยู่ได้เป็นบ้างบางช่วงบางครั้งบางคราว ต้องให้รู้ทุกเรื่อง ละความเกิด ละการดับการปรุงแต่งให้ได้ ที่เกิดจากตัววิญญาณ ทำความเข้าใจให้ได้กับอาการของขันธ์ห้าที่มาผุดขึ้นมาปรุงแต่ง แม้ตั้งแต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ยังให้หยุด ให้ดับ หนุนเฉพาะสติปัญญาที่เป็นกุศล แต่ไม่ให้ใจของเราเข้าไปยึด
หลายสิ่งหลายอย่างเราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ต้นเหตุ จากน้อยๆ ไปหามากๆ ไม่ใช่ว่าทำแล้วทิ้ง ทำแล้วทิ้ง ต้องทำ ต้องเดินให้ต่อเนื่อง ขนาบแล้วก็ขนาบอีก ขนาบแล้วก็ขนาบอีก ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ ยอมจำนนด้วยเหตุด้วยผลของสติปัญญาได้นั่นแหละ ใจเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่มาก มีนิดๆ หน่อยๆ หรือไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจเป็นตัวบงการ ปัญญาที่เกิดจากขันธ์ห้าเป็นตัวบงการ เราก็ไปยึดมั่นหมายเอาตรงนั้น ซึ่งเขาก็ยังหลงอยู่ ก็ต้องพยายามนะ
หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดให้ฟัง แค่เล่าให้ฟัง การเล่าการพูดให้ฟัง หรือว่าการอ่านตำราอันนี้เป็นแค่เพียงแผนที่ ถ้าเราไม่ไปทำ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราจงพยายามทำให้ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจของเรา ละได้ที่กายที่ใจของเราจริงๆ ถึงจะเข้าถึงความหมายจริงๆ อย่างนั้นถึงจะเกิดประโยชน์มาก แต่อย่าไปทิ้งบุญ ในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการสร้างตบะบารมี เป็นอานิสงส์ของเรา ตราบใดที่ใจยังไม่ถึงจุดหมาย สิ่งพวกนี้แหละจะสืบต่อสานต่อช่วยเราในวันข้างหน้า ก็พยายามเอา
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
แต่เวลานี้ใจของเราเป็นผู้รู้อยู่ แต่เขายังเกิดอยู่ เขายังหลงอยู่ เราก็เลยไปยึดเอา หมั่นหมายเอาความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งเขาก็หลงมา ถึงได้หลงมาเกิด ท่านถึงให้มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล ให้ใจของเราคลายออกจากความหลง หรือว่าคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เราอาจจะได้ยินบ่อยๆ มากทีเดียว ไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านใด ท่านก็บอกให้เจริญสติ บอกให้แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจ คำว่า สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อ เราไม่ค่อยจะสร้างให้ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องความสืบต่อตรงนี้แหละสำคัญ เราพยายามสร้างให้ได้ ทำให้ได้ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่เรื่องการหายใจ อันนี้เป็นการรู้กาย รู้ส่วนรูป รู้ส่วนกาย เน้นความรู้ตัวลงที่กายของเรา
ศรัทธาส่วนอื่นนั้นมีกันเต็มเปี่ยม มีการฝักใฝ่มีการสนใจ มีการทำบุญมีการให้ทาน ตรงนั้นมีกันทุกคน ข้อวัตรปฏิบัติทั้งหยาบทั้งละเอียดก็เพื่อที่จะละกิเลสทั้งนั้น ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียดทั้งนั้น พวกท่านได้ละกันแล้วหรือยัง กิเลสเกิดขึ้นที่ใจของเรา เกิดขึ้นมากเกิดขึ้นน้อยเราก็พยายามละ หาข้อวัตรปฏิบัติข้อไหนที่จะไปขัดเกลากิเลส ถ้าเรามีความเกียจคร้าน เราก็เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เรามีทิฏฐิ มีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามเพิ่มความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความตระหนี่ เราพยายามขัดเกลาเสียสละออกจากทั้งภายนอกภายในใจของเรา พยายามทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส ละบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ เอาออกเป็นผู้ให้ เป็นผู้คลาย คลายทั้งภายนอกคลายทั้งภายใน ซึ่งส่วนนามธรรม
แต่เราต้องมีผู้รู้คอยสังเกต คอยดู คอยรู้ คอยเห็นการเกิดการดับ ไม่ใช่ว่าเห็นนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็รู้เลย มันไม่ใช่ เราต้องรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ทุกเรื่อง รู้สาเหตุการเกิดของวิญญาณการเกิดของขันธ์ห้า รู้จักการละกิเลสตั้งแต่เริ่มต้น กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เราก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ จงโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ในหลักธรรม ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตัวใจเป็นตัวสั่ง หรือสติปัญญาเป็นตัวสั่ง การรับประทานข้าวปลาอาหาร กายหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก คำว่า ปัจจุบันธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก เราต้องสร้างความรู้ตัวให้เกิดความเคยชิน แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล หมั่นพร่ำสอนใจของเรา รู้ลักษณะของใจ ใจที่สงบเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายออกจากความคิด ออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร กำลังสติปัญญาของเราไปทำหน้าที่แทนได้หรือไม่ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล
‘สัจจะ’ ความจริงในชีวิตมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง เรารู้อยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง อาจจะเข้าถึงอยู่ได้เป็นบ้างบางช่วงบางครั้งบางคราว ต้องให้รู้ทุกเรื่อง ละความเกิด ละการดับการปรุงแต่งให้ได้ ที่เกิดจากตัววิญญาณ ทำความเข้าใจให้ได้กับอาการของขันธ์ห้าที่มาผุดขึ้นมาปรุงแต่ง แม้ตั้งแต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ยังให้หยุด ให้ดับ หนุนเฉพาะสติปัญญาที่เป็นกุศล แต่ไม่ให้ใจของเราเข้าไปยึด
หลายสิ่งหลายอย่างเราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ต้นเหตุ จากน้อยๆ ไปหามากๆ ไม่ใช่ว่าทำแล้วทิ้ง ทำแล้วทิ้ง ต้องทำ ต้องเดินให้ต่อเนื่อง ขนาบแล้วก็ขนาบอีก ขนาบแล้วก็ขนาบอีก ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ ยอมจำนนด้วยเหตุด้วยผลของสติปัญญาได้นั่นแหละ ใจเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่มาก มีนิดๆ หน่อยๆ หรือไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจเป็นตัวบงการ ปัญญาที่เกิดจากขันธ์ห้าเป็นตัวบงการ เราก็ไปยึดมั่นหมายเอาตรงนั้น ซึ่งเขาก็ยังหลงอยู่ ก็ต้องพยายามนะ
หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดให้ฟัง แค่เล่าให้ฟัง การเล่าการพูดให้ฟัง หรือว่าการอ่านตำราอันนี้เป็นแค่เพียงแผนที่ ถ้าเราไม่ไปทำ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราจงพยายามทำให้ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจของเรา ละได้ที่กายที่ใจของเราจริงๆ ถึงจะเข้าถึงความหมายจริงๆ อย่างนั้นถึงจะเกิดประโยชน์มาก แต่อย่าไปทิ้งบุญ ในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการสร้างตบะบารมี เป็นอานิสงส์ของเรา ตราบใดที่ใจยังไม่ถึงจุดหมาย สิ่งพวกนี้แหละจะสืบต่อสานต่อช่วยเราในวันข้างหน้า ก็พยายามเอา
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา