หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 95

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 95
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 95
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 95
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2556

พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดทำความเข้าใจ รู้จักจำแนกแจกแจง อันนี้เรื่องของกายเรื่องของใจ วิญญาณในกายของเราหรือว่าใจของเราเป็นอย่างไร ปกติ สงบ หรือว่าเกิดความอยาก หรือว่าปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็ต้องพยายามดูพิจารณา

วันนี้ก็เข้าพรรษามาได้หลายวัน เผลอแป๊บเดียว วันเดือนปีผ่านไปเร็วไว พวกเราก็พยายามสร้างประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเรา ยังประโยชน์ของสมมติให้เต็มที่เต็มเปี่ยม วันนี้วันเสาร์เนอะ วันนี้วันเสาร์ ทุกวันนี้หนุ่มๆ สาวๆ เข้าวัดเยอะ นักเรียนนักศึกษาก็เข้าวัดเยอะ อยู่ที่ไหนล่ะหนู โรงเรียนแก่นนครพากันมา อยู่ชั้น ป.ไหน อยู่ ม.5 ตั้งใจเรียน มาสร้างบุญสร้างกุศลกัน ไม่ชวนพ่อชวนแม่มาด้วย ไม่ว่าง ดีแล้ว ไปนั่งที่โน่นแหละ ทุกวันนี้ก็ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนนี่ลำบาก ทุกวันนี้รู้สึกว่าความสะดวกสบายทางสมมติก็เยอะ เด็กๆ ก็ได้มีโอกาสได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน อานิสงส์ผลบุญผลทานก็มาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่พาดำเนิน พ่อแม่พาทำ ก็ได้ทำบุญสร้างบุญสร้างกุศลกัน เราต้องทำบุญด้วยศรัทธาแล้วก็ด้วยปัญญาด้วย มันถึงจะเกิดประโยชน์

ว่าอย่างไรตัวเล็ก หน้าตาแป๋วนะมามีบุญแต่น้อยๆ ชวนแม่มาวัดหรือแม่ชวนมาวัด จับยายแต่งตัวมาวัดนะ ไปไหว้ปู่ใหญ่ ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ มาสร้างบุญแต่ตัวน้อยๆ โตขึ้นไปก็สบาย พาทำสร้างความขยันหมั่นเพียร อย่าไปทะนุถนอมแบบรักมากเกินไป ไม่รู้จักบริหารมันก็จะลำบากเมื่อโตขึ้น รู้จักให้เขารับผิดชอบสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จากน้อยๆ ไปหามากขึ้น โตขึ้นไปเขาก็จะได้เก่ง ตื่นนอนแต่เช้า ไหว้พระ ล้างถ้วยชามช่วยแม่ เก็บที่หลับที่นอนเป็นหรือยัง เป็นแล้วเนอะ ตัวเล็กๆ ฝึกเอา เนอะ อยู่วัดกับยายชีไหม ฝึกทำขนม ติดโรงเรียน อยู่ที่ไหนกันนะ อยู่ขอนแก่น มีโอกาสพาลูกพาหลานมาวัด ก็จะได้ติด ได้ซึมซับตั้งแต่ตัวเล็กๆ โตขึ้นไปเขาก็จะได้สบาย มีจิตศรัทธา

มีเด็กคนหนึ่งไม่ได้มาวัดร้องห่มร้องไห้ แม่ต้องมาส่ง มาวัดแล้วเขาก็ไม่อยู่เฉยๆ ได้ไม้กวาดอันหนึ่งก็ไปกวาดที่โน่นบ้างกวาดที่นี่บ้าง บางทีก็ไปล้างห้องส้วมห้องน้ำ นั่นแหละแสดงว่าอานิสงส์เก่า บุญเก่าของเขาเยอะ เขารู้จักฝักใฝ่ เขารู้จักสนใจ มีเด็กหลายคนทาง มข. พากันมาทีละ 5-6 คน ทีละกลุ่ม ได้ที่ขัดห้องน้ำมาคนละอันสองอัน แล้วก็น้ำยาล้างห้องน้ำ จะมาขอล้างห้องน้ำ มาทำความสะอาดว่าอย่างนั้น ได้เลย ติดฝึกหัดให้ติดเป็นนิสัย ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความเป็นระเบียบ ไม่ว่าที่บ้านที่ทำการทำงาน ไม่มีความเห็นแก่ตัว นั่นแหละคือการสร้างทรัพย์ภายในโดยไม่รู้ตัว

รู้จักขวนขวาย รู้จักสร้างประโยชน์ รู้จักสังเกต ต่อไปข้างหน้าก็รู้จักวิเคราะห์ อะไรคือใจ อะไรคือสติปัญญา รู้จักการชำระกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดซึ่งอยู่ในกายของตัวเรา มีกันทุกคน จะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับการสร้างสะสมบุญบารมี ถ้ามีความเสียสละ มีการขัดเกลามันก็เบาบาง ถ้าไม่มีการขัดเกลา มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานทะยานอยาก อยาก ไม่มีความอิ่มความพอ มันก็ปิดกั้นเอาไว้ ก็ยากที่จะขัดเกลาออก ถ้าคนเรารู้จักขัดเกลาออกตั้งแต่ตัวเล็กๆ พ่อแม่พาทำ พ่อแม่พาขัดเกลา เป็นผู้ให้ ผู้เอาออก ผู้เสียสละ การปล่อยการวางมันก็วางได้เร็วได้ไว เพราะว่าใจมีตั้งแต่เป็นผู้ให้

เพียงแค่มาเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจให้ละเอียด ใจมันก็จะคลายได้เร็วได้ไว จะไปปฏิบัติตั้งแต่ธรรม แต่การละกิเลสมันไม่มี มันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ก็ได้ตั้งแต่ปฏิบัติแค่เพียงรูปแบบ การขวนขวาย การสร้างความรับผิดชอบ การสร้างความเสียสละ มีจิตใจที่อ่อนโยน มันมีธรรมอยู่ในตัวหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะสร้างขึ้นมาให้เต็มเปี่ยมหรือไม่ ให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ไม่ทำด้วยอำนาจของความอยาก

พระเราชีเราก็พยายามขยันหมั่นเพียรช่วยกัน ช่วยกันทุกชุดทุกยุคทุกสมัยมาตั้ง 30 ปีแล้วแหละ ล้มลุกคลุกคลานมา จากตั้งแต่สถานที่ไม่น่าอยู่น่าอาศัย ตั้งแต่มีตั้งแต่รากเพ็ก ต้นเพ็ก เอมป่า ต้นเพ็ก ต้นหนามเล็บแมวเนี่ยเยอะ หนามเล็บแมว ต้นเพ็ก ต้นคอม เต็มป่าไปหมด จะปลูกต้นไม้แต่ละต้นก็ยากไม่ค่อยเกิด ต้องเอารากเพ็กออกก่อน เอารากเพ็กรากหญ้าคาออกก่อน เก็บความสะอาดให้เป็นระเบียบ เพราะว่ามีแต่กองกระดูกกันเยอะ ทั้งกองกระดูก ทั้งเผา ทั้งฝัง

ที่พวกท่านนั่งอยู่นี่ก็มีตั้งแต่หลุมกองกระดูก ขุดลงไปมีเจอแต่ไหกระดูกทั้งนั้น ต้องทำความสะอาดกันเสียก่อน กว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่ น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ได้ก็อาศัยความเพียรของทุกคนร่วมกันช่วยกัน คนละเล็กคนละน้อย หลายชุด พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อได้เร็วได้ไวขึ้น เดี๋ยวนี้ก็สบายขึ้นแล้วแหละ เพราะว่าได้วางระบบระเบียบของธรรมชาติเอาไว้หมดแล้ว ไปที่ไหนก็จะมีแต่ความร่มรื่น ต้นไม้ ต้นไทรใหญ่ ต้นไทรเล็ก ต้นสาละ ต้นปีบ ต้นกันเกรา ต้นกัลปพฤกษ์ ไม้ดอกไม้ ไม้หอม ไม้ประดับ อีกประมาณสัก 4-5 ปีนี่ก็เป็นอุโมงค์ต้นไม้ เข้ามาก็มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น เข้ามาก็สบายใจ จิตใจก็เป็นบุญ

อยากจะดับทุกข์ได้ก็ต้องพยายามเจริญสติค้นหาตัวใจของเราให้เจอ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวโทษคนโน้น ไปเที่ยวโทษคนนี้ เราโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เพราะว่าของดีอยู่ในกายของเรา อย่าไปทิ้ง เอาของไม่ดีออกไป มันก็จะเหลือแต่ของดี คือละกิเลสออกไป ละความโลภ ละความโกรธ แล้วก็ตัวความหลงนี่เลยสำคัญ ต้องหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ จนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากอาการของวิญญาณ หรือว่าความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด เรียกว่าขันธ์ห้า

มันยาก ยากที่จะเห็นถ้าความเพียรไม่ต่อเนื่องกันจริงๆ ยากอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาแก้ไขใหม่ ทำให้ดี ทุกคนก็มีความผิดพลาด ผิดพลาดก็แก้ไขตัวเรา ก็ค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ สติปัญญาของเราไม่แหลมคมเร็วไว เราก็ค่อยพัฒนา จากน้อยๆ ไปหามากๆ ไม่ใช่ว่ามันจะเต็มรอบกันทุกคน นี่ก็ค่อยมีมากขึ้น รู้ความจริงขึ้น แต่คนเราทั่วไปนี่มีตั้งแต่ปัญญาแบบโลกียะ ปัญญาทางโลกกันเสียเยอะ เก่งอยู่ในระดับบุญ ในระดับการสร้างบุญสร้างบารมีในระดับของสมมติ แต่ไม่เก่งรอบรู้ในวิญญาณว่ามันเกิดอย่างไร ทำไมถึงเกิดกิเลส ทำไมถึงหลง เราจะละ เราจะดับ เราจะจัดการกับวิญญาณเขาด้วยวิธีไหน ตรงนี้แหละไม่ค่อยทำให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ ทรัพย์อันสูงคือความบริสุทธิ์

พิจารณาตัวเรา แก้ไขตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเรา พูดคุยกับตัวเรา มีความสุข แต่ละวันกิเลสตัวไหนมาเล่นงานเรา เราแพ้ให้กิเลสหรือเราชนะให้กิเลส กิเลสมันเป็นหน้าตาอาการอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจสำรวจ อีกสักหน่อย ทำความเข้าใจ รู้ความจริง แล้วก็ละออกให้มันหมด แล้วก็ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ ถึงเวลาก็ได้พลัดพรากจากสมมติในสิ่งต่างๆ

ตั้งแต่มาอยู่นี้ 20-30 ปี ผู้เฒ่าผู้แก่นี่ตายจากไปเยอะ แต่ก่อนผู้เฒ่าผู้แก่ก็เยอะ ไม่ว่าผู้เฒ่าผู้แก่ แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็ตาย ก็ตายกันเยอะ ช่วงหลังๆ มาปีกว่านี้ที่หลวงพ่อได้ทำฌาปนกิจอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้ เพียงแค่ปีกว่าเนี่ยร้อยกว่าศพแล้วที่อนุเคราะห์ให้ไป ก็เยอะอยู่ พวกเรามีโอกาสก็อย่าพากันประมาท พากันสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดี รู้จักพิจารณาทุกเรื่อง ทุกอย่างก็เป็นธรรมหมดนั่นแหละ ธรรมดำ ธรรมขาว ทำดี ทำชั่ว ก็มีค่าเท่ากัน แต่มีค่าคนละอย่าง

ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายทุกข์ ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสุข ในหลักธรรมท่านก็ให้ละฝ่ายทุกข์ สร้างฝ่ายสุขแต่ไม่ให้ยึด เราก็ได้อานิสงส์ เราก็ได้หมด เราก็มองเห็นหนทางว่าการเกิดเป็นทุกข์ เราก็ต้องดับความเกิด เกิดกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว เกิดทางด้านจิตวิญญาณเขาก็เกิดอยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่ง มาปิดกั้นดวงใจเอาไว้ การเกิดของใจก็มาปิดกั้นตัวใจเอาไว้ มีตั้งแต่ปัญญาของพระพุทธองค์ที่ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การวิเคราะห์ การสังเกต การละ การดับเป็นอย่างนี้ การดำเนินอย่างนี้มีหมด พวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่เท่านั้นเอง ก็พยายามกันเอา

กิเลสของเรา เราก็ละเอา ไม่ใช่ไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ แต่ส่วนมากเราจัดการกิเลสภายในของเรายังไม่พอ เหตุการณ์ข้างนอกก็มาทับถม เราต้องสะสางภายในให้จบก่อน แล้วก็ค่อยล้นออกไปสู่ภายนอก ส่วนมากก็จะวิ่งหาตั้งแต่ภายนอก ก็เลยลืมภายใน จะเอาข้างในก็เลยลืมข้างนอก ก็เลยไม่สมบูรณ์สมดุลกัน เราต้องวางภาระหน้าที่สมมติ ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ การสะสางกิเลสก็ได้เร็วได้ไว อย่าไปโทษกัน จงปรับปรุงตัวเรา แก้ไขตัวเรา เพ่งโทษตัวเรา ใครบอกไม่ฟัง ก็ช่วยเหลือไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นก็หนักตัวเรา หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ อยู่ด้วยกันเราก็ต้องมีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ รู้จักสำรวมกายวาจาใจ แล้วก็จัดระบบระเบียบของกายของวาจาของใจอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องแม้แต่ความอยาก อยากในอาหาร อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง

พวกเราก็มีโอกาสได้มาร่วมกัน ได้มาช่วยกัน ไม่ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ แล้วก็ช่วยกัน อย่าไปปล่อยปละละเลย อยากจะได้ความสะอาดแต่รักสกปรก ทิ้งมันเกลื่อนก็ใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่จุดไหน ถ้าความไม่เป็นระเบียบเราก็พยายามช่วยกันดูแล ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน เราฝึกฝนตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นฝึก เรามาแก้ไขตัวเราเอง มาปรับปรุงตัวเราเอง ยิ่งเรามาอยู่ร่วมกันนะ ยิ่งมีความเสียสละให้เป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมทำอะไรไม่เป็น อย่างนั้นใช้การไม่ได้ ต้องรอบรู้ รอบรู้ในดวงวิญญาณ รอบรู้ในกาย รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในสมมติ แล้วการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม คลายใจของเราออกให้รับรู้ ให้อยู่เหนือทุกอย่าง มันถึงจะอยู่อย่างมีความสุข

ถ้ามีแต่ความเกียจคร้าน เจริญสติก็ไม่รู้จัก สติรู้ตัวก็ไม่ได้สร้าง ใจก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่รู้จักรักษากาย ไม่รู้จักรักษาวาจา ไม่รู้จักรักษาใจ ก็ไปโทษแต่คนโน้นคนนี้น่ะ วิบากกรรม บาปเกิดขึ้นกับใจตลอดเวลาไม่รู้จัก เพียงแค่คิดในอกุศล เราก็ไม่ให้คิดเสียแล้ว ไม่ได้สติปัญญา ถ้าเป็นอกุศลเราก็ยังไม่ให้มี แต่คนทั่วไปนะ ตื่นเช้าขึ้นมา สติก็ไม่ได้สร้าง ใจไม่รู้วิ่งไปสักกี่เรื่อง เป็นกุศลก็ยังดี ถ้าเป็นอกุศลเราแย่เลย จะเป็นกุศลเสียมากกว่า เพราะว่าวิ่งมาวัด มาทำบุญ อยากได้บุญ อยากทำบุญ เอาให้เต็มเปี่ยม

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน รู้เรื่องการหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทุกสิ่งทุกอย่างหยุด วางเอาไว้เสียก่อน แม้แต่ความคิด ความคิดเก่าๆ นั้นมีกันทุกคน ความคิดที่เกิดจากตัวใจหรือว่าเกิดจากตัววิญญาณ เกิดจากอาการของวิญญาณนี่มีกันหมดทุกคน เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องไปเกร็งร่างกาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ ถ้าเราเข้าใจวิธีแนวทางอุบาย เราก็พยายามหัดสังเกตไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ายาวก็รู้ ออกก็รู้ สั้นก็รู้ ออกก็รู้ ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นความปกติของใจ เห็นการเกิดอาการของใจเขาเกิด เขาปรุงแต่ง ความโลภ ความโกรธ ความอยาก ถ้าใจเขาเกิด ก็จะเห็น เห็นลักษณะอาการของเขา บางทีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาผุดขึ้นมา ใจกับอาการของใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมกันโดยปริยายเป็นจนเป็นสิ่งเดียวกัน

เราก็เลย เรารู้ว่าคิดทำ เขาหลงเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกันแล้วเราถึงรู้ นั่นแหละเขาถึงเรียกว่า มันรู้อยู่ หลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เพราะว่ากำลังสติของเราสังเกตไม่ทัน แยกแยะไม่ได้ เราก็เลยทำตามความรู้ ทำตามความหลงตรงนั้น เราก็เห็นว่าถูก อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรม ใจของเรายังไม่ได้คลาย ยังไม่ได้แยก ถ้าแยกได้ ถึงจะเรียกว่า วิปัสสนา ถึงจะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง เห็นตัวใจมันคลายออกจากขันธ์ห้า สติตามดู ใจก็จะว่างรับรู้

เราก็จะเข้าใจในความหมายของคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลาเขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เหมือนกับมีตัวมีตน เวลาเขาดับไป ความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ เรื่องแล้วเรื่องเล่าเข้ามาปรุงแต่งใจ บางทีใจก็ปรุงแต่งรวมไปด้วยกัน บางทีก็รวมกับส่วนปัญญาส่วนสมอง เราต้องแจงให้ออก ส่วนสมอง ส่วนสติ ส่วนบน เขาเรียกว่าเราสร้างความรู้สึกรับรู้ รู้ตัวขึ้นมาใหม่ แล้วก็รู้ให้เร็วให้ไว

รู้ไม่ทัน ความคิดเก่าๆ เราก็หยุดเอาไว้ เขาเรียกว่าสมถะ แล้วแต่อุบายของเรา จะอยู่กับลมหายใจบ้างหรือคำบริกรรมบ้าง แล้วก็พยายามเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทนในสิ่งที่ใจของเราเกิด ใจเกิดความโลภ เราพยายามละความโลภ คลายความโลภ หัดเอาออก หัดให้ทั้งภายนอก ให้ทั้งภายใน ให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราพยายามขัด พยายามเกลา พยายามเอาออก ใจของเรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ค่อยให้สร้างสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะเต็ม เต็มความเปี่ยม

เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ต่อหมู่ ต่อคณะ ต่อคนอื่น ต่อสังคม ไม่เห็นแก่หลับแก่นอนแก่กิน ไม่เห็นแก่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ พยายามละออกให้มันหมด จนเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ความว่าง ความบริสุทธิ์ ในความว่างนั้นมีดวงวิญญาณอยู่ มีความบริสุทธิ์อยู่ เรามาดับความเกิดของวิญญาณเสีย แล้วก็วางให้เป็นอิสรภาพเสีย เขาก็จะอยู่ในความบริสุทธิ์ รู้จักกระตุ้นหนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน แม้แต่กำลังสติปัญญาของเราเป็นอกุศล เราก็ต้องพยายามดับอีก

การพูดนี่ง่ายนะ การลงมือปฏิบัติ ต้องทุกเวลา ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ต้องทำความเข้าใจจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้สร้าง จนเป็นเอง จนใจนี้อยู่ในความบริสุทธิ์ จนสติปัญญาของเราทำหน้าที่แทนได้ทุกเรื่อง มันก็ไม่เหลือวิสัย ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามทำให้เกิดความเคยชินเถอะ จะลุก จะก้าวจะเดิน ตั้งแต่ก้าวแรก ความรู้สึกรับรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ลุกขึ้นมาเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกับข้าวกับปลา รับประทานข้าวปลาอาหาร ทุกเรื่องเลยในชีวิต เราต้องดูจนล้นออกไปสู่โลกธรรม ทำความเข้าใจกายทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ ต้องแจงออกให้ชัดเจน เราถึงจะหมดความสงสัย หมดความลังเลได้ ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนเลย อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ใจของเรานี่แหละ ถ้าเรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วจัดการให้เรียบร้อย

อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ผ่านกาล ผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ได้รับความถูกผิดชั่วดี รู้จักแก้ไขปัญหาชีวิตของเรามาในระดับของสมมติ แต่ในระดับของหลักธรรมแล้วเราต้องให้รู้ถึงฐานจริงๆ ให้เห็นด้วยจริงๆ มันถึงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ อันนี้เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง