หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 94
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 94
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 94
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อันนี้เป็นแค่เพียงปลีกย่อย ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก เวลาจะขบจะฉัน พิจารณาความหิวความอยาก หรือว่าความปกติ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อาหารก็สักแต่ว่าอาหาร เราต้องการสิ่งไหนก็ให้เอาด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ กะประมาณ มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา เอาเยอะมันก็เหลือ เอาน้อยก็ไม่อิ่ม ให้รู้จักพิจารณา อย่าเห็นแก่ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราพยายามกำจัดออก
ความอยาก ความต้องการของปัญญาอันนี้ต่างกัน ส่วนมากจะไปเอาจะไปฝึกเฉพาะเวลาที่จะตั้งใจทำ อันนั้นก็ยังผิดอยู่ ความตั้งใจก็ยังผิด ต้องเป็นความสร้างความรู้ตัวเข้าไปทำความเข้าใจ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา คนทั่วไป ความอยาก ความทะเยอทะยานอยากขึ้นหน้า ความหวัง ทั้งความหวังทั้งความอยาก ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ให้รับผิดชอบด้วยปัญญา ให้แก้ไขด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา มีศรัทธา แต่เป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย แบบใครว่ากัน ใครว่าอย่างไรไปกัน มันอย่างนั้นไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล
ความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราพากันมองข้าม อยากมี ไม่อยากมี ความอยากของปัญญากับความอยากของกิเลสมันต่างกัน แม้แต่สติปัญญาเข้าข้างตัวเองอีก มันก็ยัง ในหลักธรรมก็ยังไม่เป็นกลางอยู่ เราต้องพยายามดู วิเคราะห์หาเหตุหาผล ตามความเข้าใจ ในสนามรบ กายของเรานี่แหละ ก้อนสนามรบ ไม่ได้สนามรบที่ไหนหรอก ทวารทั้งหกของเรานี่แหละเป็นประตู ทำให้รูป รส กลิ่น เสียง ผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก ตัววิญญาณ เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ เกิดกิเลสหรือไม่ สติปัญญาก็เข้าไปแก้ไข ส่วนมากก็ไปหาตั้งแต่นอกกาย ก็เลยไม่เจอ
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมนี่มันจะสั้นลงจนไม่เหลือ จนเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ทีนี้จะมีจะเป็นก็ล้นออกไปด้วยปัญญาล้วนๆ มีมากมีน้อย ทำมากทำน้อย ทำด้วยปัญญา มันจะกลับกัน ท่านถึงบอกว่าทวนกระแส สวนกระแสโลก เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว แต่ละวันตื่นขึ้นมาไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง ก็เอาเรื่องดีๆ นั่นแหละมาหลอก เอาการทำบุญให้ทาน อันนี้ก็เป็นกุศลฝ่ายดี แต่ก็ยังเกิดอยู่ เราต้องมาละความหลง ดับความเกิด ค่อยสร้างกุศลให้มากมายเป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าไม่ให้ทำ ยิ่งสนุกทำ ไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง
ดูดีๆนะสามเณรน้อย ความอยากเรารีบดับ แล้วค่อยเอา ถึงจะพิจารณายังไม่เป็น ถ้าเกิดความอยากก็ให้รีบดับ มีกฎ ในวัดป่านี้มีกฎนะ ใครมาบวชเป็นสามเณร ถ้าอยากห้ามเอา ห้ามทาน เวลาสึกน้ำหนักต้องเพิ่ม 3 กิโล ถ้าเราไม่ฝึกเรา ไม่มีใครจะฝึกเราให้ได้หรอก ต้องเป็นผู้ให้ ผู้เอาออก ผู้คลาย ไม่ใช่ว่าเป็นผู้สะสม ผู้แสวงหา ในหลักธรรมแม้แต่การน้อมเอกลาภมาให้กับตัวเองนี่ก็ยังผิด คนเราจะไปมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็เลยมองข้ามดวงวิญญาณในขันธ์ห้าของตัวเอง มีตั้งแต่วิญญาณขันธ์ห้าแสวงหาส่งออกไป แสวงหา มองเห็นความถูกต้องอยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ แต่ที่ไหนได้มันปิดกั้นตัวเองไว้หมดเลย เพียงแค่การเกิดของวิญญาณมันก็ไม่นิ่งแล้ว เพราะวิญญาณไม่เที่ยง นิพพานเที่ยง จิตเที่ยง จิตไม่เกิด นิพพานถึงเที่ยง จิตเกิดนิพพานไม่เที่ยง
นิพพาน หมายถึงความเย็น ใจดี ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เราต้องพยายามเข้าถึงลักษณะอาการ ทำความเข้าใจให้มันกระจ่าง ในคำสอนความหมายของภาษาธรรม ภาษาสมมติ ทั้งที่ธรรมมีอยู่กับทุกคนหมด แต่การเกิดของใจเท่านั้นแหละ การเคลื่อนของใจ ใจเคลื่อนปรุงแต่ง แล้วก็ไปรวมเอากับอาการของขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายเนื้อ ส่วนรูปนี่ก็มองเห็นด้วยตาเนื้อก็เป็นกายของเรา ในทางสมมติ แต่ในหลักธรรมท่านให้แจงออกให้ละเอียด ก็จะมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีสาระอะไร รอให้หมดลมหายใจ หมดสภาวะ หมดอายุของกายเนื้อ ตัววิญญาณน่ะก็ต้องไปเกิดต่อ ตราบใดที่ยังเกิด ไม่อยากเกิดก็ต้องดับความเกิดให้มันหมดจด แนวทางมีอยู่ หนทางมีอยู่
ความตายก็มีกันทุกคน จะมีช้าหรือมีเร็ว เห็นว่าเมื่อวานนี้ก็ฆ่ากันตาย ยิงกันตาย เห็นว่าผัวเมีย ผัวยิงเมีย บ้านอะไร บ้านโคกสีหรือบ้านหนองค้า เห็นมาวิ่งมาขอโลงศพอยู่ เมื่อวานนี้ว่ายิงกัน ยี่สิบกว่าปี ไอ้ผัวติดยาบ้าว่าอย่างนั้น แล้วก็เมียก็ไปตามหา ก็ฆ่าเมียยิงเมียไม่รู้กี่นัด ตายกับที่ ถ้าเอาลูกไปด้วยคงตายด้วยกัน มีลูกอยู่สองนะ ยิ่งลำบากยากจน ไม่มีอะไรว่าอย่างนั้น ก็ฆ่ากันยิงกัน มาขอความอนุเคราะห์ อยู่บ้านโคกสี ตายได้ครั้งเดียว ก็อนุเคราะห์ให้ไปหมด
ความตาย ไม่ฆ่าก็จะตายอยู่แล้ว ยังไปฆ่ากันยิงกัน ทีนี้ฆ่าเมียตายแล้วยังไม่พอนะ ตัวเองไปผูกคอตายอีก กลัวความผิดก็เลยไปผูกคอตาย มันมีวิบากกรรมต่อกันนะถึงได้ฆ่ากัน มาอยู่ด้วยกันแล้วก็ฆ่ากัน แทนที่จะเปลี่ยนตรงนั้นให้เป็นกุศลกรรม มีอะไรก็ช่วยกันทำ ช่วยกันพิจารณาแก้ไขเหตุ หาเหตุหาผล แก้ไขชีวิตไปในทางที่ดี อันนี้ตัดสินปัญหา การดำเนินไม่ถูกต้องถูกวิธี ผัวก็ไปหาเสพยากินยา ก็ฆ่า ความระวังระแวงก็ฆ่าเมีย แล้วก็แขวนคอตัวเองตาย ก็ยกให้เป็นกรรม
ก็รักตัวเองนั่นแหละ ไม่อยากจะให้ตัวเองเป็นทุกข์ทรมาน ไม่ให้ครอบครัวทุกข์ทรมาน ก็ให้ตายเสีย ถึงจะได้พ้นทุกข์บอกว่าอย่างนั้น มันยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก ไม่อยากจะเห็นรับทุกข์ขณะยังมีลมหายใจยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยลวงเมียมาฆ่า เมียก็ความรัก กลางค่ำกลางคืนก็มาหา แล้วก็ยิง ความรัก ไม่อยากจะให้อยู่ เห็นความทุกข์ทรมานเพราะการดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง ไม่ฆ่าก็จะตายอยู่แล้ว แทนที่จะฆ่ากิเลส ฆ่าความโกรธ ฆ่าความหลงภายในใจของเราให้มันหมดจด วิบากกรรม
ถ้าเรามองดูให้ละเอียดจะเห็นความชัดเจนมากทีเดียว กรรม กายของเรานี่เป็นก้อนกรรม ความคิดอารมณ์ขันธ์ห้าก็เป็นตัวปรุงแต่งจิตวิญญาณ วิญญาณก็ปรุงแต่งอีก ถ้ากำลังสติปัญญาของเราไม่แหลมคมเร็วไวยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะเห็น เห็นความเกิด ความดับ เห็นความยึดมั่นถือมั่น มีตั้งแต่ปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละ ที่จะเดินชำแหละออกให้ แล้วก็มาเปิดเผยชี้แนะแนวทางให้ เพราะว่าธรรมนั้นมีอยู่ประจำโลก วิญญาณแต่ละดวงนี่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ ท่านบอกว่าอย่างนั้น หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ ไม่อยากจะเกิดก็ต้องดับความเกิดเสีย คลายความหลงให้มันได้ ดับความเกิดให้มันได้ ถึงเกิดก็ให้เกิดอยู่ในกุศลกรรม ให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่ให้ใจของเราตกไปสู่ที่ต่ำ
ในหลักธรรมทั้งดำทั้งขาวก็มีค่าเท่ากัน อันหนึ่งมีค่าทางด้านทุกข์ อันหนึ่งมีค่าทางสุข หรือว่าสุขกับทุกข์ บุญกับบาป ก็มีค่าเท่ากัน เพราะว่าการเกิดยังมีอยู่ แต่ในหลักธรรมท่านให้ละบาปสร้างบุญ แต่ไม่ให้ยึดติดในบุญ เราไม่อยากจะได้ความสุข มันก็จะได้ความสุขเอง แต่เราไม่ยึด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยกให้เป็นกรรม กรรมดี กรรมดำ กรรมขาว วิบากกรรม
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ แต่เราต้องมองเห็นหนทางก่อน ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ใจของเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศลก็ให้รีบแก้ไขเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ยังจะไปมัวเมา ขัดแย้งกันอยู่ มัวเมาเล่นกันอยู่ เสียดายเวลานะ เสียดายเวลา อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นกุศล เราก็ร่วมกันช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเรา มีโอกาสได้ทำเราก็รีบทำ อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็มาสานต่อ จะไม่ได้เสียเวลาในการเริ่มต้นใหม่ เพียงแค่ระดับสมมตินะ ก็ทำให้ดี
ส่วนระดับจิตใจนั้นก็ต้องละเอา กิเลสของเรา เราก็ละ จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ไม่ได้เด็ดขาด เราเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่เหมือนกับบางที่ต้องพาให้มีคนพาเดิน พานั่ง พาฝึก มันไปไม่ถึงหรอก ทำด้วยความหลงทั้งนั้น ถ้าคนมีบุญมีกุศลรู้จักฝักใฝ่ รู้จักวิธีการแล้วกายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม กายเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร จะพิจารณาตัวเอง ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี จนล้นออกไปสู่หมู่ สู่คณะ สู่สังคม
ถ้าคนเรามีความเป็นระเบียบอยู่ในตัวอยู่ในใจของเรา ระเบียบทั้งสมมติภายนอก ความเป็นระเบียบความสะอาดก็จัดเข้าไปเรื่อยๆ ระเบียบของกาย ของวาจา ระเบียบของใจ แต่ส่วนมากก็จัดระเบียบได้ระดับลึกไม่ถึงใจเท่าไร เพราะว่าใจยังเกิด ใจยังหลงความคิด หลงขันธ์ห้า กำลังสติยังไม่เร็วไว เพียงแค่การเจริญการสร้างก็ยังไม่ต่อเนื่อง มันก็ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ แต่เป็นการเกิดอยู่ พระเราก็เยอะ ชีเราก็เยอะ ถ้าไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา มันก็เป็นภาระที่หนัก ไม่ใช่ว่าไม่หนักนะ หนัก เพียงแค่เรื่องที่พักที่อยู่ที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่กินนี่ก็ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรดีก็ลำบากอยู่ รายใช้รายจ่ายแต่ละวันแต่ละเดือนนี่ก็หนัก ก็อาศัยแรงบุญของทุกคน เพราะเราหาไม่เป็น ไม่ใช่วิธีหนทางของเรา ให้มาด้วยแรงบุญ แล้วก็บริหารด้วยแรงบุญด้วยสติด้วยปัญญา จะให้ไปดิ้นรนแสวงหา ไม่เอา ไม่ทำ
ทุกคนต้องช่วยพากันประหยัดมัธยัสถ์ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ให้พากันทำ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดี อานิสงส์บุญของเรามีเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนอะไรยากเลย เทวดาอนุเคราะห์ให้หมดไม่ได้ลำบาก อานิสงส์บุญของเรามากเท่าไร เทวดาก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามา ทั้งเทวดาเดินดิน ทั้งเทวดาที่ไม่มีกายเนื้อ เขาคอยดูแลเราอยู่ อุปัฏฐากอุปถัมภ์เราอยู่ ปรารถนาจะทำอะไรก็ไม่ได้ลำบาก ถ้าเรามีบุญเพียงพอ ถ้าเราไม่มี มันก็ดิ้นรน ยิ่งอดยิ่งอยาก ยิ่งลำบาก ถ้าอานิสงส์บุญของเราเพียงพอ ไม่อดไม่อยาก ไม่ลำบาก มีแต่ล้นแต่เหลือ ไม่ต้องกลัวอดตาย คนเราเกิดมาเหมือนกัน แต่วิบากกรรมอาจจะต่างกัน ก็ต้องมาแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามเอา
พระเราก็พยายามอะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญ เราก็ช่วยกันทำ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน ดูแล ช่วยกันดูแลความสะอาด ไม่ว่าที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ตรงไหนพอทำได้เราก็รีบทำ ในป่าเศษขยะเล็กๆ น้อยๆ เศษกิ่งไม้ มองบนมองล่าง ว่ากิ่งไม้กิ่งไหนมันจะหล่นทับหัวเรา ตรงไหนไม่ดีแล้วก็รีบช่วยกัน จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่ความเสียสละไม่มี มันก็จะไปรู้ได้อย่างไร ไปเห็นได้อย่างไร เสียสละระดับสมมติก็ยังไม่มี เสียสละกิเลสภายในมันก็ยิ่งยากห่างไกลไปอีก มันก็ต้องประกอบกัน ควบคู่กัน
เหมือนกับต้นไม้มีทั้งเปลือก มีทั้งแก่น มีทั้งกระพี้ เขาก็พิงอาศัยกันอยู่ เราจะไปเอาตั้งแต่แก่น ไม่เอากระพี้ มันก็ไม่ได้ พอเขาอาศัยกันอยู่ มันต้องครบบริบูรณ์หมด เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้าน ก็ต้องมีบันได มีราวบันได จะมีตั้งแต่บ้านไม่มีบันได ไม่มีราวบันไดมันก็ขึ้นไม่ได้ เหมือนกับการประพฤติปฏิบัติธรรมนั่นแหละ ตั้งแต่ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ มันเป็นอัตโนมัติหมด ถ้าเราเข้าใจ
ตั้งใจรับพร
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อันนี้เป็นแค่เพียงปลีกย่อย ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก เวลาจะขบจะฉัน พิจารณาความหิวความอยาก หรือว่าความปกติ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อาหารก็สักแต่ว่าอาหาร เราต้องการสิ่งไหนก็ให้เอาด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ กะประมาณ มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา เอาเยอะมันก็เหลือ เอาน้อยก็ไม่อิ่ม ให้รู้จักพิจารณา อย่าเห็นแก่ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราพยายามกำจัดออก
ความอยาก ความต้องการของปัญญาอันนี้ต่างกัน ส่วนมากจะไปเอาจะไปฝึกเฉพาะเวลาที่จะตั้งใจทำ อันนั้นก็ยังผิดอยู่ ความตั้งใจก็ยังผิด ต้องเป็นความสร้างความรู้ตัวเข้าไปทำความเข้าใจ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา คนทั่วไป ความอยาก ความทะเยอทะยานอยากขึ้นหน้า ความหวัง ทั้งความหวังทั้งความอยาก ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ให้รับผิดชอบด้วยปัญญา ให้แก้ไขด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา มีศรัทธา แต่เป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย แบบใครว่ากัน ใครว่าอย่างไรไปกัน มันอย่างนั้นไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล
ความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราพากันมองข้าม อยากมี ไม่อยากมี ความอยากของปัญญากับความอยากของกิเลสมันต่างกัน แม้แต่สติปัญญาเข้าข้างตัวเองอีก มันก็ยัง ในหลักธรรมก็ยังไม่เป็นกลางอยู่ เราต้องพยายามดู วิเคราะห์หาเหตุหาผล ตามความเข้าใจ ในสนามรบ กายของเรานี่แหละ ก้อนสนามรบ ไม่ได้สนามรบที่ไหนหรอก ทวารทั้งหกของเรานี่แหละเป็นประตู ทำให้รูป รส กลิ่น เสียง ผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก ตัววิญญาณ เกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ เกิดกิเลสหรือไม่ สติปัญญาก็เข้าไปแก้ไข ส่วนมากก็ไปหาตั้งแต่นอกกาย ก็เลยไม่เจอ
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมนี่มันจะสั้นลงจนไม่เหลือ จนเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ทีนี้จะมีจะเป็นก็ล้นออกไปด้วยปัญญาล้วนๆ มีมากมีน้อย ทำมากทำน้อย ทำด้วยปัญญา มันจะกลับกัน ท่านถึงบอกว่าทวนกระแส สวนกระแสโลก เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว แต่ละวันตื่นขึ้นมาไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง ก็เอาเรื่องดีๆ นั่นแหละมาหลอก เอาการทำบุญให้ทาน อันนี้ก็เป็นกุศลฝ่ายดี แต่ก็ยังเกิดอยู่ เราต้องมาละความหลง ดับความเกิด ค่อยสร้างกุศลให้มากมายเป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าไม่ให้ทำ ยิ่งสนุกทำ ไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง
ดูดีๆนะสามเณรน้อย ความอยากเรารีบดับ แล้วค่อยเอา ถึงจะพิจารณายังไม่เป็น ถ้าเกิดความอยากก็ให้รีบดับ มีกฎ ในวัดป่านี้มีกฎนะ ใครมาบวชเป็นสามเณร ถ้าอยากห้ามเอา ห้ามทาน เวลาสึกน้ำหนักต้องเพิ่ม 3 กิโล ถ้าเราไม่ฝึกเรา ไม่มีใครจะฝึกเราให้ได้หรอก ต้องเป็นผู้ให้ ผู้เอาออก ผู้คลาย ไม่ใช่ว่าเป็นผู้สะสม ผู้แสวงหา ในหลักธรรมแม้แต่การน้อมเอกลาภมาให้กับตัวเองนี่ก็ยังผิด คนเราจะไปมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็เลยมองข้ามดวงวิญญาณในขันธ์ห้าของตัวเอง มีตั้งแต่วิญญาณขันธ์ห้าแสวงหาส่งออกไป แสวงหา มองเห็นความถูกต้องอยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ แต่ที่ไหนได้มันปิดกั้นตัวเองไว้หมดเลย เพียงแค่การเกิดของวิญญาณมันก็ไม่นิ่งแล้ว เพราะวิญญาณไม่เที่ยง นิพพานเที่ยง จิตเที่ยง จิตไม่เกิด นิพพานถึงเที่ยง จิตเกิดนิพพานไม่เที่ยง
นิพพาน หมายถึงความเย็น ใจดี ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เราต้องพยายามเข้าถึงลักษณะอาการ ทำความเข้าใจให้มันกระจ่าง ในคำสอนความหมายของภาษาธรรม ภาษาสมมติ ทั้งที่ธรรมมีอยู่กับทุกคนหมด แต่การเกิดของใจเท่านั้นแหละ การเคลื่อนของใจ ใจเคลื่อนปรุงแต่ง แล้วก็ไปรวมเอากับอาการของขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายเนื้อ ส่วนรูปนี่ก็มองเห็นด้วยตาเนื้อก็เป็นกายของเรา ในทางสมมติ แต่ในหลักธรรมท่านให้แจงออกให้ละเอียด ก็จะมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีสาระอะไร รอให้หมดลมหายใจ หมดสภาวะ หมดอายุของกายเนื้อ ตัววิญญาณน่ะก็ต้องไปเกิดต่อ ตราบใดที่ยังเกิด ไม่อยากเกิดก็ต้องดับความเกิดให้มันหมดจด แนวทางมีอยู่ หนทางมีอยู่
ความตายก็มีกันทุกคน จะมีช้าหรือมีเร็ว เห็นว่าเมื่อวานนี้ก็ฆ่ากันตาย ยิงกันตาย เห็นว่าผัวเมีย ผัวยิงเมีย บ้านอะไร บ้านโคกสีหรือบ้านหนองค้า เห็นมาวิ่งมาขอโลงศพอยู่ เมื่อวานนี้ว่ายิงกัน ยี่สิบกว่าปี ไอ้ผัวติดยาบ้าว่าอย่างนั้น แล้วก็เมียก็ไปตามหา ก็ฆ่าเมียยิงเมียไม่รู้กี่นัด ตายกับที่ ถ้าเอาลูกไปด้วยคงตายด้วยกัน มีลูกอยู่สองนะ ยิ่งลำบากยากจน ไม่มีอะไรว่าอย่างนั้น ก็ฆ่ากันยิงกัน มาขอความอนุเคราะห์ อยู่บ้านโคกสี ตายได้ครั้งเดียว ก็อนุเคราะห์ให้ไปหมด
ความตาย ไม่ฆ่าก็จะตายอยู่แล้ว ยังไปฆ่ากันยิงกัน ทีนี้ฆ่าเมียตายแล้วยังไม่พอนะ ตัวเองไปผูกคอตายอีก กลัวความผิดก็เลยไปผูกคอตาย มันมีวิบากกรรมต่อกันนะถึงได้ฆ่ากัน มาอยู่ด้วยกันแล้วก็ฆ่ากัน แทนที่จะเปลี่ยนตรงนั้นให้เป็นกุศลกรรม มีอะไรก็ช่วยกันทำ ช่วยกันพิจารณาแก้ไขเหตุ หาเหตุหาผล แก้ไขชีวิตไปในทางที่ดี อันนี้ตัดสินปัญหา การดำเนินไม่ถูกต้องถูกวิธี ผัวก็ไปหาเสพยากินยา ก็ฆ่า ความระวังระแวงก็ฆ่าเมีย แล้วก็แขวนคอตัวเองตาย ก็ยกให้เป็นกรรม
ก็รักตัวเองนั่นแหละ ไม่อยากจะให้ตัวเองเป็นทุกข์ทรมาน ไม่ให้ครอบครัวทุกข์ทรมาน ก็ให้ตายเสีย ถึงจะได้พ้นทุกข์บอกว่าอย่างนั้น มันยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก ไม่อยากจะเห็นรับทุกข์ขณะยังมีลมหายใจยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยลวงเมียมาฆ่า เมียก็ความรัก กลางค่ำกลางคืนก็มาหา แล้วก็ยิง ความรัก ไม่อยากจะให้อยู่ เห็นความทุกข์ทรมานเพราะการดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง ไม่ฆ่าก็จะตายอยู่แล้ว แทนที่จะฆ่ากิเลส ฆ่าความโกรธ ฆ่าความหลงภายในใจของเราให้มันหมดจด วิบากกรรม
ถ้าเรามองดูให้ละเอียดจะเห็นความชัดเจนมากทีเดียว กรรม กายของเรานี่เป็นก้อนกรรม ความคิดอารมณ์ขันธ์ห้าก็เป็นตัวปรุงแต่งจิตวิญญาณ วิญญาณก็ปรุงแต่งอีก ถ้ากำลังสติปัญญาของเราไม่แหลมคมเร็วไวยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะเห็น เห็นความเกิด ความดับ เห็นความยึดมั่นถือมั่น มีตั้งแต่ปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละ ที่จะเดินชำแหละออกให้ แล้วก็มาเปิดเผยชี้แนะแนวทางให้ เพราะว่าธรรมนั้นมีอยู่ประจำโลก วิญญาณแต่ละดวงนี่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ ท่านบอกว่าอย่างนั้น หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ ไม่อยากจะเกิดก็ต้องดับความเกิดเสีย คลายความหลงให้มันได้ ดับความเกิดให้มันได้ ถึงเกิดก็ให้เกิดอยู่ในกุศลกรรม ให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่ให้ใจของเราตกไปสู่ที่ต่ำ
ในหลักธรรมทั้งดำทั้งขาวก็มีค่าเท่ากัน อันหนึ่งมีค่าทางด้านทุกข์ อันหนึ่งมีค่าทางสุข หรือว่าสุขกับทุกข์ บุญกับบาป ก็มีค่าเท่ากัน เพราะว่าการเกิดยังมีอยู่ แต่ในหลักธรรมท่านให้ละบาปสร้างบุญ แต่ไม่ให้ยึดติดในบุญ เราไม่อยากจะได้ความสุข มันก็จะได้ความสุขเอง แต่เราไม่ยึด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยกให้เป็นกรรม กรรมดี กรรมดำ กรรมขาว วิบากกรรม
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ แต่เราต้องมองเห็นหนทางก่อน ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ใจของเราเป็นกุศลหรือว่าอกุศลก็ให้รีบแก้ไขเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ยังจะไปมัวเมา ขัดแย้งกันอยู่ มัวเมาเล่นกันอยู่ เสียดายเวลานะ เสียดายเวลา อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นกุศล เราก็ร่วมกันช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเรา มีโอกาสได้ทำเราก็รีบทำ อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็มาสานต่อ จะไม่ได้เสียเวลาในการเริ่มต้นใหม่ เพียงแค่ระดับสมมตินะ ก็ทำให้ดี
ส่วนระดับจิตใจนั้นก็ต้องละเอา กิเลสของเรา เราก็ละ จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ไม่ได้เด็ดขาด เราเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่เหมือนกับบางที่ต้องพาให้มีคนพาเดิน พานั่ง พาฝึก มันไปไม่ถึงหรอก ทำด้วยความหลงทั้งนั้น ถ้าคนมีบุญมีกุศลรู้จักฝักใฝ่ รู้จักวิธีการแล้วกายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม กายเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร จะพิจารณาตัวเอง ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี จนล้นออกไปสู่หมู่ สู่คณะ สู่สังคม
ถ้าคนเรามีความเป็นระเบียบอยู่ในตัวอยู่ในใจของเรา ระเบียบทั้งสมมติภายนอก ความเป็นระเบียบความสะอาดก็จัดเข้าไปเรื่อยๆ ระเบียบของกาย ของวาจา ระเบียบของใจ แต่ส่วนมากก็จัดระเบียบได้ระดับลึกไม่ถึงใจเท่าไร เพราะว่าใจยังเกิด ใจยังหลงความคิด หลงขันธ์ห้า กำลังสติยังไม่เร็วไว เพียงแค่การเจริญการสร้างก็ยังไม่ต่อเนื่อง มันก็ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ แต่เป็นการเกิดอยู่ พระเราก็เยอะ ชีเราก็เยอะ ถ้าไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา มันก็เป็นภาระที่หนัก ไม่ใช่ว่าไม่หนักนะ หนัก เพียงแค่เรื่องที่พักที่อยู่ที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่กินนี่ก็ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรดีก็ลำบากอยู่ รายใช้รายจ่ายแต่ละวันแต่ละเดือนนี่ก็หนัก ก็อาศัยแรงบุญของทุกคน เพราะเราหาไม่เป็น ไม่ใช่วิธีหนทางของเรา ให้มาด้วยแรงบุญ แล้วก็บริหารด้วยแรงบุญด้วยสติด้วยปัญญา จะให้ไปดิ้นรนแสวงหา ไม่เอา ไม่ทำ
ทุกคนต้องช่วยพากันประหยัดมัธยัสถ์ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ให้พากันทำ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดี อานิสงส์บุญของเรามีเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนอะไรยากเลย เทวดาอนุเคราะห์ให้หมดไม่ได้ลำบาก อานิสงส์บุญของเรามากเท่าไร เทวดาก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามา ทั้งเทวดาเดินดิน ทั้งเทวดาที่ไม่มีกายเนื้อ เขาคอยดูแลเราอยู่ อุปัฏฐากอุปถัมภ์เราอยู่ ปรารถนาจะทำอะไรก็ไม่ได้ลำบาก ถ้าเรามีบุญเพียงพอ ถ้าเราไม่มี มันก็ดิ้นรน ยิ่งอดยิ่งอยาก ยิ่งลำบาก ถ้าอานิสงส์บุญของเราเพียงพอ ไม่อดไม่อยาก ไม่ลำบาก มีแต่ล้นแต่เหลือ ไม่ต้องกลัวอดตาย คนเราเกิดมาเหมือนกัน แต่วิบากกรรมอาจจะต่างกัน ก็ต้องมาแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามเอา
พระเราก็พยายามอะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญ เราก็ช่วยกันทำ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน ดูแล ช่วยกันดูแลความสะอาด ไม่ว่าที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ตรงไหนพอทำได้เราก็รีบทำ ในป่าเศษขยะเล็กๆ น้อยๆ เศษกิ่งไม้ มองบนมองล่าง ว่ากิ่งไม้กิ่งไหนมันจะหล่นทับหัวเรา ตรงไหนไม่ดีแล้วก็รีบช่วยกัน จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่ความเสียสละไม่มี มันก็จะไปรู้ได้อย่างไร ไปเห็นได้อย่างไร เสียสละระดับสมมติก็ยังไม่มี เสียสละกิเลสภายในมันก็ยิ่งยากห่างไกลไปอีก มันก็ต้องประกอบกัน ควบคู่กัน
เหมือนกับต้นไม้มีทั้งเปลือก มีทั้งแก่น มีทั้งกระพี้ เขาก็พิงอาศัยกันอยู่ เราจะไปเอาตั้งแต่แก่น ไม่เอากระพี้ มันก็ไม่ได้ พอเขาอาศัยกันอยู่ มันต้องครบบริบูรณ์หมด เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้าน ก็ต้องมีบันได มีราวบันได จะมีตั้งแต่บ้านไม่มีบันได ไม่มีราวบันไดมันก็ขึ้นไม่ได้ เหมือนกับการประพฤติปฏิบัติธรรมนั่นแหละ ตั้งแต่ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ มันเป็นอัตโนมัติหมด ถ้าเราเข้าใจ
ตั้งใจรับพร