หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 91
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 91
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 91
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย ก่อนที่จะขบจะฉันกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องในชีวิต เราต้องพิจารณาอะไรคือใจ อะไรคือกาย อะไรสมมติ อะไรวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม
วันนี้ก็เป็นวันที่เท่าไรนะ 19 หรือ วันที่ 19 วันศุกร์ที่ 19 วันศุกร์ วันที่ 20 ก็จะได้บวชพระบวชนาคหลายรูปหลายคนมารวมกันทั้งใกล้ ทั้งไกล มีโอกาสก็ขอเชิญพี่น้องเรามา มีอานิสงส์มาบวชร่วมกัน มาอนุโมทนาในการบวช ที่พักที่อาศัยของเราก็คับแคบอยู่ อยู่ตรงไหนพออยู่ได้ก็พากันอยู่ อย่าไปกังวลอะไรมากมาย เรามาศึกษาชีวิตของเรา ตามความเป็นจริงนั้นทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาก่อน แต่ความไม่เข้าใจ ความไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็เลยไม่รู้เรื่องจิตเรื่องวิญญาณในกายของตัวเราเอง รู้อยู่แต่ไม่เห็นแต่การละการดับไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจ แต่การแสวงหานั้นมีอยู่ตลอด การแสวงหาการดิ้นรนแต่เป็นการแสวงหาการดิ้นรนที่เกิดจากตัววิญญาณไปเสีย มันก็เลยปกปิดตัวของเขาเอาไว้
ตามหลักความเป็นจริง เราต้องมาสร้างความรู้ตัวใหม่ให้ต่อเนื่อง เข้าไปอบรมใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเราทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ทำหน้าที่อย่างไร แม้แต่จะขบจะฉัน เราก็ต้องดูว่ากายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก แต่ส่วนมากไม่ค่อยสนใจ เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ก็เลยพลาดโอกาสทรัพย์อันใหญ่ อยากจะได้ทรัพย์อันใหญ่อันสูง แต่ไม่เข้าใจวิธีการ ก็เลยห่างไกลเสีย ยิ่งคนทั่วไปก็ยิ่งห่างไกลอีก
แต่การทำบุญให้ทานมีอยู่ การเข้าหาพระหาวัดหาครูบาอาจารย์ ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไปหาหลวงปู่หลวงตา เข้าหาพระอาจารย์โน่นอาจารย์นี่ ท่านอาจารย์ว่าอย่างนั้น พอไปเจอหน้าท่านอาจารย์ก็บอกท่านอาจารย์ หวยจะออกเท่าไหร่ ไปเสียอย่างนั้น รดน้ำมนต์ให้หน่อย ดูดวงให้หน่อย มันทำไมฉลาดจังก็ไม่รู้นะ พระก็ยิ่งฉลาดกว่าอีกมาดูเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ สะเดาะเคราะห์ รดน้ำมนต์ ยิ่งปกปิดห่างไกลกันไปใหญ่ แทนที่จะหาครูบาอาจารย์ ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร การดำเนินอย่างไร การละกิเลสอย่างไร การเจริญสติอย่างไร มันถึงจะถูกต้อง
บวชมาก็ผิดไปหมดเลย โยมก็หลง พระก็ยิ่งหลงไปใหญ่ ห่างไกลกันไปใหญ่ ไปรดน้ำมูกน้ำมนต์ มันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แต่เป็นความหลงอยู่ในระดับของสมมติ ทำให้หลงงมงายกันไปอีก ก็ทำให้จิตสบายอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทางดับทุกข์ ไม่ใช่ทางหลุดพ้นที่แท้จริง เราต้องพยายามขัดเกลากิเลสตัวเราว่ากิเลสมันเกิดยังไง ความเกิดมันหลงมาแล้ว ความเกิดมันหลงมาแล้วถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ถ้าไม่หลงไม่เกิด ทีนี้มันเกิดทางวิญญาณ ตั้งแต่เช้ามามันเกิดไม่รู้จะกี่ครั้งกี่เที่ยว แต่เวลานี้มันเกิดในกองกุศล เกิดในบุญในกุศลก็ได้ถึงได้พากันมาวัดๆ
แต่ในหลักธรรมนะ เพียงแค่ความเกิดก็หลงแล้ว เราไม่ให้จิตวิญญาณของเราเกิด มาทำความเข้าใจ แต่เขาเกิดมาแล้วแหละ เขาเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์นี่แหละ หลงอะไรในกายเนื้อของเรา ในขันธ์ห้าของเรา เราต้องแจงให้ออก ถ้าแจงไม่ออกก็ไม่รู้ความเป็นจริง พากันอยากได้บุญ อยากทำบุญ อันนี้ก็มีกันเต็มเปี่ยมแต่เราต้องรู้ต้องเห็น ต้องให้เข้าถึงจริงๆ ถึงจะมองมองออกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร คําว่าอัตตาของพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อนัตตาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร
ถ้าพูดถึงเรื่องวิญญาณ โน่นไปเอาผีอยู่ในป่าโน่น วิญญาณ ทั้งที่วิญญาณอยู่ในกายของเรานั้นมีอยู่ วิธีไหนที่จะเข้าไปถึง การควบคุมวิญญาณ การควบคุมใจ อยู่ในระดับไหนต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ การทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่นหรอก มาทำความเข้าใจ อะไรหลวงตา เราทำความเข้าใจแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเรารู้ความจริงเมื่อไหร่ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ถ้าเขารู้ความจริง กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ว่าไงสมาทานตลอดชีวิต บั้นปลายในชีวิต มาแสวงหาธรรมสร้างทรัพย์ภายในให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจของเราเกิดความอยาก เราก็ละความอยาก ใจของเราปรุงแต่ง เราก็ดับการปรุงแต่ง เขาก็ไม่เกิด แต่จะไปแสวงหาที่โน่นที่นี่นี่ตัวเราหลอกตัวเราอยู่ตลอดเวลายังไม่รู้จัก แล้วก็ไปภายนอกหลอกเข้าไปอีก มันสลับทับถมกันจริงๆ
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือเปล่า ความเสียสละของเรามีหรือเปล่า ความรับผิดชอบของเราเต็มที่หรือไม่ เพียงแค่ระดับสมมตินะ เรายังสมมติของเราให้อยู่ดี มีความสุขไม่ได้ลําบากทางด้านสมมติแล้วหรือยัง แล้วก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจอีก หยุดการดิ้นรนแสวงหาสมมติ ความขยันหมั่นเพียร อีกอย่างหนึ่งนั้นเราจะไปว่ากันไม่ได้หรอก เพราะว่าแต่ละบุคคลวิบากกรรมไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมามาก
แต่ความหลงมีกันทุกคน แต่จะหลงมากลงน้อย หลงอยู่ในระดับสมมติ แต่ในระดับวิมุตตินั้นต้องแยกต้องคลาย ต้องรู้ตัววิญญาณในขันธ์ห้า รู้ต้นเหตุ เขาเกิดยังไงลักษณะตัวตนความว่างเป็นยังไง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าเขาก็จะยกธงข่าวง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาแก้ไขเหมือนกัน ส่วนมากก็ไปปฏิบัติธรรมกันที่โน่นที่นี่มามากมาย อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่ว่าไม่ดี เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาก็วิบากกรรมไปที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไปสร้างเข้าพกสร้างเข้าห่อ สร้างตบะบารมีของตัวเอง จนกว่ากําลังสติปัญญาจะแก่กล้า ตบะบารมีจะแก่กล้า ถ้าเข้าใจแนวทาง ถ้ารู้จักแนวทางแล้วอยู่คนเดียวก็ย่อมจะเข้าใจ
ตราบใดที่ยังดำเนินอยู่ เป็นสิ่งที่ดีหมด ไม่ใช่ว่าไม่ดี ในหลักธรรมดำกับขาวก็เหมือนกัน ชั่วกับดีก็เหมือนกัน แต่มันไปคนละฝ่ายเท่านั้นเอง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายทุกข์อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสุข ในหลักธรรมท่านก็ให้ละทั้งสอง แต่ให้ทำสิ่งดีแต่ไม่หลง ไม่ยึดไม่ติดให้อยู่เหนือ ซึ่งเราว่าอยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม รู้จักหนทางชีวิตก็ต้องรู้จักกรรม กรรมมันก็มีหลายระดับอีก
ส่วนมากก็ไปโทษเอาคนโน้นคนนี้ว่าไม่ดี เดินไปเตะบันไดก็บันไดมันไม่ดี ฉลาด มาวัดก็เจ้าคุณเป็นอย่างนั้นเจ้าคุณเป็นอย่างนี้ แทนที่อะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขให้มันดีเสีย มันก็จะดี มาแก้ไขใจ แก้ไขกายของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ให้เป็นภาระตัวเอง ภาระคนอื่น ภาระสถานที่ ให้เป็นความรับผิดชอบ อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ขณะที่ยังมีลมหายใจ ก็พยายามสร้างประโยชน์สร้างคุณงามความดี
ยิ่งนักบวชแล้วก็ต้องเพิ่มความขยันหมั่นเพียร อย่าไปเกียจคร้าน ไม่อยากจะไปบังคับใคร ไปเคี่ยวเข็ญใคร บอกให้ฟัง เล่าให้ฟัง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การทำภาระหน้าที่การงาน เอาการงานเป็นการปฏิบัติ เป็นการฝึก เพราะคนเราก็ยังอยู่กับสมมติทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ถ้าเกียจคร้านแล้วไปใช้กับชีวิตไปที่ไหนก็ตกอับ ตั้งแต่ตัวเองก็ยังใช้ตัวเองไม่ได้บอกตัวเองไม่ได้
ในหลักธรรมท่านให้สอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง พิจารณาตัวเราตัวเองตลอดเวลา ในขั้นหยาบ ขั้นละเอียด มีหมดนั่นแหละ เพราะว่าพระพุทธองค์ท่านค้นพบชี้เหตุชี้ผล ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้หมดความสงสัยได้ด้วยนั่นแหละจึงประเสริฐใหญ่ สมมติก็ไม่ได้ลําบาก มีอะไรก็ช่วยกัน วันที่ วันจันทร์แล้วก็ได้เป็นวันปวารณาเข้าพรรษากัน ก็มีท่านผู้ใจบุญได้ไถ่ชีวิตโค ก็ประมาณ 2-3 คู่ ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ ใกล้ใกล้เกือบแล้วแหละ ศาลาโรงทานก็เกือบจะเสร็จแล้วแหละ หลังคาเสร็จอะไรเสร็จก็เหลือตั้งแต่พื้น มีโอกาสเราก็ได้มาร่วมบุญสร้างบุญ สนุกสร้างบุญ บุญสมมติเราก็ทำกันมากมาย ทำอย่างเต็มที่ เกิดมาสร้างบุญแล้วสร้างให้เต็มที่ แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ปล่อยทิ้ง พยายามเก็บให้หมด เก็บอะไรที่จะเป็นบุญเป็นกุศล เพื่อให้เกิดประโยชน์ ประหยัดมัธยัสถ์ ขยันหมั่นเพียร รู้จักรับผิดชอบ ไม่ใช่สุรุ่ยสุร่าย มีอะไรเราก็ช่วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกันนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย สำเหนียกน้อมกระตุ้นความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็พยายามลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ กายของเราก็ตั้งมั่นขึ้น ใจของเราคิดปรุงแต่งต่างๆ เขาก็จะหยุด
ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ นั่นแหละเขาเรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชิน ความรู้ตัวทั่วพร้อมก็จะมีก็จะเกิดขึ้นที่กายของเรา ส่วนการเกิดของใจของวิญญาณนั้นมีกันทุกคน ขณะที่เรามีความรู้ตัวอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เราก็จะรู้เท่าทันการเกิดของใจ การเกิดของความคิด
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรานี่มีไม่ต่อเนื่อง ไม่มีกําลังพอที่จะรู้เท่าทันตรงนั้น ก็เลยไม่รู้ความจริงของชีวิต ไม่รู้ความจริง ว่าวิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร ส่วนมากเขาเกิดได้ครึ่ง ได้กลาง ได้ปลายแล้ว เราถึงรู้เท่าทัน บางทีก็ไม่ดับ บางทีก็ส่งเสริมไปเลย ในหลักธรรม ท่านให้รู้ความเป็นจริงว่า กายของเราก้อนนี้ที่ว่ามีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องเห็นตั้งแต่การเกิด กองรูปก็อยู่ส่วนกองรูป ส่วนกองนาม กองความคิด กองอารมณ์ต่างๆ ซึ่งมีวิญญาณเป็นตัวสุดท้าย เป็นลักษณะหน้าตาอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจหมด ชี้เหตุ สติปัญญาของเราต้องเห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ ถ้าไม่เห็นการเกิดการดับ ไม่รู้ลักษณะของจิตวิญญาณจริงๆ มันก็ปฏิบัติอยู่เพียงแค่คุณงามความดี ไม่ได้คลายตัวจิตออกรับรู้ในสิ่งต่างๆ แล้วเขาก็ละกิเลสออก จากใจของเราให้ได้จริงๆ
เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยชี้เหตุชี้ผล จนจิตของเรามองเห็นความเป็นจริงได้ทุกอย่าง จนเขาเกิดความเบื่อหน่ายในทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ ถึงละกิเลสออกให้หมดจด ดับความเกิดจนอุเบกขาได้นั่นแหละ มันต้องห้ำหั่นกันด้วยการสร้างตบะสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา อยากมี อยากเป็น อยากคิด อยากไป อยากมา ไม่อยากไป ไม่อยากมา สารพัดอย่าง แต่คนทั่วไปส่งเสริมความอยาก อยากมี อยากร่ำอยากรวย ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากจน สารพัดมันกลับกันไปหมดเลยทีเดียว กับมีตั้งแต่ดิ้นรน แสวงหากิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเรา
ในหลักธรรมท่านให้แสวงหาอยู่ แสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา หาด้วยเหตุด้วยผล อันนี้มันพูดง่าย แต่เราต้องค้นให้ถึงต้นเหตุจริงๆ มองเห็นเหตุเห็นผลจริงๆ ได้เท่าไรก็เอา อย่าว่าไม่ทำ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เพราะว่าทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้พบพระพุทธศาสนาอีกด้วย ต้องพยายามดำเนินให้รู้แจ้งเห็นจริง นําพระพุทธศาสนามาไว้ที่ใจของเรา เพราะว่าใจของเราเป็นผู้รู้มาก่อน เป็นธาตุรู้มาก่อน แต่ความหลงทำให้เขาเกิด ยิ่งการแสวงหาธรรม ถ้าตัวใจแสวงหามันก็ยิ่งปิดกั้นตัวเองหมด เราต้องเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรานี่ไม่สร้างกันให้ต่อเนื่องกันเลย มันจะไปรู้ได้อย่างไร มันก็รู้ตั้งแต่ปลายเหตุ ไปแก้ไขตั้งแต่ปลายเหตุยิ่ง ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แต่ละวันตื่นขึ้นมารู้จักควบคุมกาย ควบคุมวาจา แล้วก็ควบคุมใจ จัดระบบระเบียบของกายของวาจาของใจ
ลองดูสิ ลองอดพูด อดคิด สังเกตดูความคิดว่ามันเป็นยังไง มายังไง แต่ละวัน ลักษณะของสติรู้ตัว อยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ว่าแต่ก่อนนั้นสติปัญญาตัวนี้ไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากขันธ์ห้า เกิดจากวิญญาณ ซึ่งอยู่ในกายของเรา ซึ่งปกปิดตัวเองเอาไว้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เหลือเหตุเหลือวิสัยหรอก เราต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องขยันหมั่นเพียรกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจน ลองดูสิ ทำใจให้สงบ ทำใจให้โล่งให้ว่าง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย ก่อนที่จะขบจะฉันกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องในชีวิต เราต้องพิจารณาอะไรคือใจ อะไรคือกาย อะไรสมมติ อะไรวิมุตติ อะไรคือโลกธรรม
วันนี้ก็เป็นวันที่เท่าไรนะ 19 หรือ วันที่ 19 วันศุกร์ที่ 19 วันศุกร์ วันที่ 20 ก็จะได้บวชพระบวชนาคหลายรูปหลายคนมารวมกันทั้งใกล้ ทั้งไกล มีโอกาสก็ขอเชิญพี่น้องเรามา มีอานิสงส์มาบวชร่วมกัน มาอนุโมทนาในการบวช ที่พักที่อาศัยของเราก็คับแคบอยู่ อยู่ตรงไหนพออยู่ได้ก็พากันอยู่ อย่าไปกังวลอะไรมากมาย เรามาศึกษาชีวิตของเรา ตามความเป็นจริงนั้นทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาก่อน แต่ความไม่เข้าใจ ความไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็เลยไม่รู้เรื่องจิตเรื่องวิญญาณในกายของตัวเราเอง รู้อยู่แต่ไม่เห็นแต่การละการดับไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจ แต่การแสวงหานั้นมีอยู่ตลอด การแสวงหาการดิ้นรนแต่เป็นการแสวงหาการดิ้นรนที่เกิดจากตัววิญญาณไปเสีย มันก็เลยปกปิดตัวของเขาเอาไว้
ตามหลักความเป็นจริง เราต้องมาสร้างความรู้ตัวใหม่ให้ต่อเนื่อง เข้าไปอบรมใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเราทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ทำหน้าที่อย่างไร แม้แต่จะขบจะฉัน เราก็ต้องดูว่ากายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก แต่ส่วนมากไม่ค่อยสนใจ เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ก็เลยพลาดโอกาสทรัพย์อันใหญ่ อยากจะได้ทรัพย์อันใหญ่อันสูง แต่ไม่เข้าใจวิธีการ ก็เลยห่างไกลเสีย ยิ่งคนทั่วไปก็ยิ่งห่างไกลอีก
แต่การทำบุญให้ทานมีอยู่ การเข้าหาพระหาวัดหาครูบาอาจารย์ ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไปหาหลวงปู่หลวงตา เข้าหาพระอาจารย์โน่นอาจารย์นี่ ท่านอาจารย์ว่าอย่างนั้น พอไปเจอหน้าท่านอาจารย์ก็บอกท่านอาจารย์ หวยจะออกเท่าไหร่ ไปเสียอย่างนั้น รดน้ำมนต์ให้หน่อย ดูดวงให้หน่อย มันทำไมฉลาดจังก็ไม่รู้นะ พระก็ยิ่งฉลาดกว่าอีกมาดูเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ สะเดาะเคราะห์ รดน้ำมนต์ ยิ่งปกปิดห่างไกลกันไปใหญ่ แทนที่จะหาครูบาอาจารย์ ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร การดำเนินอย่างไร การละกิเลสอย่างไร การเจริญสติอย่างไร มันถึงจะถูกต้อง
บวชมาก็ผิดไปหมดเลย โยมก็หลง พระก็ยิ่งหลงไปใหญ่ ห่างไกลกันไปใหญ่ ไปรดน้ำมูกน้ำมนต์ มันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แต่เป็นความหลงอยู่ในระดับของสมมติ ทำให้หลงงมงายกันไปอีก ก็ทำให้จิตสบายอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทางดับทุกข์ ไม่ใช่ทางหลุดพ้นที่แท้จริง เราต้องพยายามขัดเกลากิเลสตัวเราว่ากิเลสมันเกิดยังไง ความเกิดมันหลงมาแล้ว ความเกิดมันหลงมาแล้วถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ถ้าไม่หลงไม่เกิด ทีนี้มันเกิดทางวิญญาณ ตั้งแต่เช้ามามันเกิดไม่รู้จะกี่ครั้งกี่เที่ยว แต่เวลานี้มันเกิดในกองกุศล เกิดในบุญในกุศลก็ได้ถึงได้พากันมาวัดๆ
แต่ในหลักธรรมนะ เพียงแค่ความเกิดก็หลงแล้ว เราไม่ให้จิตวิญญาณของเราเกิด มาทำความเข้าใจ แต่เขาเกิดมาแล้วแหละ เขาเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์นี่แหละ หลงอะไรในกายเนื้อของเรา ในขันธ์ห้าของเรา เราต้องแจงให้ออก ถ้าแจงไม่ออกก็ไม่รู้ความเป็นจริง พากันอยากได้บุญ อยากทำบุญ อันนี้ก็มีกันเต็มเปี่ยมแต่เราต้องรู้ต้องเห็น ต้องให้เข้าถึงจริงๆ ถึงจะมองมองออกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร คําว่าอัตตาของพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อนัตตาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร
ถ้าพูดถึงเรื่องวิญญาณ โน่นไปเอาผีอยู่ในป่าโน่น วิญญาณ ทั้งที่วิญญาณอยู่ในกายของเรานั้นมีอยู่ วิธีไหนที่จะเข้าไปถึง การควบคุมวิญญาณ การควบคุมใจ อยู่ในระดับไหนต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ การทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่นหรอก มาทำความเข้าใจ อะไรหลวงตา เราทำความเข้าใจแล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเรารู้ความจริงเมื่อไหร่ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ถ้าเขารู้ความจริง กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ว่าไงสมาทานตลอดชีวิต บั้นปลายในชีวิต มาแสวงหาธรรมสร้างทรัพย์ภายในให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจของเราเกิดความอยาก เราก็ละความอยาก ใจของเราปรุงแต่ง เราก็ดับการปรุงแต่ง เขาก็ไม่เกิด แต่จะไปแสวงหาที่โน่นที่นี่นี่ตัวเราหลอกตัวเราอยู่ตลอดเวลายังไม่รู้จัก แล้วก็ไปภายนอกหลอกเข้าไปอีก มันสลับทับถมกันจริงๆ
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือเปล่า ความเสียสละของเรามีหรือเปล่า ความรับผิดชอบของเราเต็มที่หรือไม่ เพียงแค่ระดับสมมตินะ เรายังสมมติของเราให้อยู่ดี มีความสุขไม่ได้ลําบากทางด้านสมมติแล้วหรือยัง แล้วก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจอีก หยุดการดิ้นรนแสวงหาสมมติ ความขยันหมั่นเพียร อีกอย่างหนึ่งนั้นเราจะไปว่ากันไม่ได้หรอก เพราะว่าแต่ละบุคคลวิบากกรรมไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาดี บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมามาก
แต่ความหลงมีกันทุกคน แต่จะหลงมากลงน้อย หลงอยู่ในระดับสมมติ แต่ในระดับวิมุตตินั้นต้องแยกต้องคลาย ต้องรู้ตัววิญญาณในขันธ์ห้า รู้ต้นเหตุ เขาเกิดยังไงลักษณะตัวตนความว่างเป็นยังไง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าเขาก็จะยกธงข่าวง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาแก้ไขเหมือนกัน ส่วนมากก็ไปปฏิบัติธรรมกันที่โน่นที่นี่มามากมาย อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่ว่าไม่ดี เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาก็วิบากกรรมไปที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไปสร้างเข้าพกสร้างเข้าห่อ สร้างตบะบารมีของตัวเอง จนกว่ากําลังสติปัญญาจะแก่กล้า ตบะบารมีจะแก่กล้า ถ้าเข้าใจแนวทาง ถ้ารู้จักแนวทางแล้วอยู่คนเดียวก็ย่อมจะเข้าใจ
ตราบใดที่ยังดำเนินอยู่ เป็นสิ่งที่ดีหมด ไม่ใช่ว่าไม่ดี ในหลักธรรมดำกับขาวก็เหมือนกัน ชั่วกับดีก็เหมือนกัน แต่มันไปคนละฝ่ายเท่านั้นเอง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายทุกข์อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสุข ในหลักธรรมท่านก็ให้ละทั้งสอง แต่ให้ทำสิ่งดีแต่ไม่หลง ไม่ยึดไม่ติดให้อยู่เหนือ ซึ่งเราว่าอยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม รู้จักหนทางชีวิตก็ต้องรู้จักกรรม กรรมมันก็มีหลายระดับอีก
ส่วนมากก็ไปโทษเอาคนโน้นคนนี้ว่าไม่ดี เดินไปเตะบันไดก็บันไดมันไม่ดี ฉลาด มาวัดก็เจ้าคุณเป็นอย่างนั้นเจ้าคุณเป็นอย่างนี้ แทนที่อะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขให้มันดีเสีย มันก็จะดี มาแก้ไขใจ แก้ไขกายของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ให้เป็นภาระตัวเอง ภาระคนอื่น ภาระสถานที่ ให้เป็นความรับผิดชอบ อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ขณะที่ยังมีลมหายใจ ก็พยายามสร้างประโยชน์สร้างคุณงามความดี
ยิ่งนักบวชแล้วก็ต้องเพิ่มความขยันหมั่นเพียร อย่าไปเกียจคร้าน ไม่อยากจะไปบังคับใคร ไปเคี่ยวเข็ญใคร บอกให้ฟัง เล่าให้ฟัง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การทำภาระหน้าที่การงาน เอาการงานเป็นการปฏิบัติ เป็นการฝึก เพราะคนเราก็ยังอยู่กับสมมติทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ถ้าเกียจคร้านแล้วไปใช้กับชีวิตไปที่ไหนก็ตกอับ ตั้งแต่ตัวเองก็ยังใช้ตัวเองไม่ได้บอกตัวเองไม่ได้
ในหลักธรรมท่านให้สอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง พิจารณาตัวเราตัวเองตลอดเวลา ในขั้นหยาบ ขั้นละเอียด มีหมดนั่นแหละ เพราะว่าพระพุทธองค์ท่านค้นพบชี้เหตุชี้ผล ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้หมดความสงสัยได้ด้วยนั่นแหละจึงประเสริฐใหญ่ สมมติก็ไม่ได้ลําบาก มีอะไรก็ช่วยกัน วันที่ วันจันทร์แล้วก็ได้เป็นวันปวารณาเข้าพรรษากัน ก็มีท่านผู้ใจบุญได้ไถ่ชีวิตโค ก็ประมาณ 2-3 คู่ ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชกัน มีอะไรก็ช่วยกันทำ ใกล้ใกล้เกือบแล้วแหละ ศาลาโรงทานก็เกือบจะเสร็จแล้วแหละ หลังคาเสร็จอะไรเสร็จก็เหลือตั้งแต่พื้น มีโอกาสเราก็ได้มาร่วมบุญสร้างบุญ สนุกสร้างบุญ บุญสมมติเราก็ทำกันมากมาย ทำอย่างเต็มที่ เกิดมาสร้างบุญแล้วสร้างให้เต็มที่ แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ปล่อยทิ้ง พยายามเก็บให้หมด เก็บอะไรที่จะเป็นบุญเป็นกุศล เพื่อให้เกิดประโยชน์ ประหยัดมัธยัสถ์ ขยันหมั่นเพียร รู้จักรับผิดชอบ ไม่ใช่สุรุ่ยสุร่าย มีอะไรเราก็ช่วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกันนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย สำเหนียกน้อมกระตุ้นความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความรู้สึกไม่ชัดเจนเราก็พยายามลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ กายของเราก็ตั้งมั่นขึ้น ใจของเราคิดปรุงแต่งต่างๆ เขาก็จะหยุด
ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ นั่นแหละเขาเรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชิน ความรู้ตัวทั่วพร้อมก็จะมีก็จะเกิดขึ้นที่กายของเรา ส่วนการเกิดของใจของวิญญาณนั้นมีกันทุกคน ขณะที่เรามีความรู้ตัวอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เราก็จะรู้เท่าทันการเกิดของใจ การเกิดของความคิด
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรานี่มีไม่ต่อเนื่อง ไม่มีกําลังพอที่จะรู้เท่าทันตรงนั้น ก็เลยไม่รู้ความจริงของชีวิต ไม่รู้ความจริง ว่าวิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร ส่วนมากเขาเกิดได้ครึ่ง ได้กลาง ได้ปลายแล้ว เราถึงรู้เท่าทัน บางทีก็ไม่ดับ บางทีก็ส่งเสริมไปเลย ในหลักธรรม ท่านให้รู้ความเป็นจริงว่า กายของเราก้อนนี้ที่ว่ามีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องเห็นตั้งแต่การเกิด กองรูปก็อยู่ส่วนกองรูป ส่วนกองนาม กองความคิด กองอารมณ์ต่างๆ ซึ่งมีวิญญาณเป็นตัวสุดท้าย เป็นลักษณะหน้าตาอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจหมด ชี้เหตุ สติปัญญาของเราต้องเห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ ถ้าไม่เห็นการเกิดการดับ ไม่รู้ลักษณะของจิตวิญญาณจริงๆ มันก็ปฏิบัติอยู่เพียงแค่คุณงามความดี ไม่ได้คลายตัวจิตออกรับรู้ในสิ่งต่างๆ แล้วเขาก็ละกิเลสออก จากใจของเราให้ได้จริงๆ
เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยชี้เหตุชี้ผล จนจิตของเรามองเห็นความเป็นจริงได้ทุกอย่าง จนเขาเกิดความเบื่อหน่ายในทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ ถึงละกิเลสออกให้หมดจด ดับความเกิดจนอุเบกขาได้นั่นแหละ มันต้องห้ำหั่นกันด้วยการสร้างตบะสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา อยากมี อยากเป็น อยากคิด อยากไป อยากมา ไม่อยากไป ไม่อยากมา สารพัดอย่าง แต่คนทั่วไปส่งเสริมความอยาก อยากมี อยากร่ำอยากรวย ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากจน สารพัดมันกลับกันไปหมดเลยทีเดียว กับมีตั้งแต่ดิ้นรน แสวงหากิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเรา
ในหลักธรรมท่านให้แสวงหาอยู่ แสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา หาด้วยเหตุด้วยผล อันนี้มันพูดง่าย แต่เราต้องค้นให้ถึงต้นเหตุจริงๆ มองเห็นเหตุเห็นผลจริงๆ ได้เท่าไรก็เอา อย่าว่าไม่ทำ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เพราะว่าทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้พบพระพุทธศาสนาอีกด้วย ต้องพยายามดำเนินให้รู้แจ้งเห็นจริง นําพระพุทธศาสนามาไว้ที่ใจของเรา เพราะว่าใจของเราเป็นผู้รู้มาก่อน เป็นธาตุรู้มาก่อน แต่ความหลงทำให้เขาเกิด ยิ่งการแสวงหาธรรม ถ้าตัวใจแสวงหามันก็ยิ่งปิดกั้นตัวเองหมด เราต้องเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรานี่ไม่สร้างกันให้ต่อเนื่องกันเลย มันจะไปรู้ได้อย่างไร มันก็รู้ตั้งแต่ปลายเหตุ ไปแก้ไขตั้งแต่ปลายเหตุยิ่ง ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แต่ละวันตื่นขึ้นมารู้จักควบคุมกาย ควบคุมวาจา แล้วก็ควบคุมใจ จัดระบบระเบียบของกายของวาจาของใจ
ลองดูสิ ลองอดพูด อดคิด สังเกตดูความคิดว่ามันเป็นยังไง มายังไง แต่ละวัน ลักษณะของสติรู้ตัว อยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ว่าแต่ก่อนนั้นสติปัญญาตัวนี้ไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากขันธ์ห้า เกิดจากวิญญาณ ซึ่งอยู่ในกายของเรา ซึ่งปกปิดตัวเองเอาไว้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เหลือเหตุเหลือวิสัยหรอก เราต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องขยันหมั่นเพียรกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจน ลองดูสิ ทำใจให้สงบ ทำใจให้โล่งให้ว่าง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง