หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 80
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 80
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 80
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 มิถุนายน 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญ เพียงแค่ทำให้ต่อเนื่อง พวกเราก็อาจจะทำอยู่ อาจจะรู้อยู่ แต่ไม่ต่อเนื่อง แล้วก็ไม่ทำความเข้าใจ รู้ลักษณะของใจที่ปกติ ใจที่เกิด ใจที่ก่อตัว ใจเกิดกิเลสเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร การควบคุมใจเป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งานได้หรือไม่ ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมารู้เท่าทันใจของเราแล้วหรือยัง รู้เท่าทันความคิด อารมณ์ ซึ่งเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเองแล้วหรือยัง
เป็นเรื่องของเราทุกคนเลยทีเดียว อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ เราชนะตัวเราแล้ว เราชนะหมด ทำความเข้าใจทุกอย่างในจิตวิญญาณของเรา อันนี้กายเนื้อเป็นส่วนรูป ตัววิญญาณ ซึ่งเป็นนามธรรมเขาเกิดอย่างไร ทำไมตัวใจหรือว่าวิญญาณถึงเกิด ทำไมวิญญาณถึงหลง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขตัวเราให้เราได้เลยนอกจากตัวเราเอง
ตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ จิตใจของเรามีความอ่อนโยน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง เราก็ต้องวิเคราะห์ตัวเรา อย่าไปวิเคราะห์นอกกาย วิเคราะห์ในกายในใจของเราให้เห็น แล้วก็ล้นออกไปสู่ภายนอกเองนั่นแหละ แต่ส่วนมากจะไปมองหาภายนอกกันเสียก่อน ทั้งภายนอกภายในเขาก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ จะไปทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ นอกจากจะหมดสภาวะของเขา นอกจากจะหมดวิบากกรรมของเขา เหมือนกับต้นไม้ก็ต้องมีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น ถ้ามีตั้งแต่แก่น ไม่มีเปลือก ไม่มีกระพี้ ต้นไม้ก็ตาย
กายของเราก็เหมือนกัน ใจของเรามันหลงมา ถึงได้มาสร้างภพของมนุษย์ แล้วก็มายึดมาติด เราต้องมาเจริญสติ มาหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริงแล้วก็คลายความยึดมั่นถือมั่น โน่นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วาง ถึงจะได้สละกายก้อนนี้จริงๆ แต่ให้เราวางด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามความเป็นจริง ใจของเราก็จะไม่ได้ทุกข์ได้เครียดมากมาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราทำความเข้าใจ เราก็อยู่กับกิเลสนั่นแหละ เราใช้การใช้งาน กิเลสจะเกิดเราก็รู้จักดับ บริหารด้วยปัญญา เหมือนกับเราหิวข้าว เหมือนกับเราอยากข้าว เราไม่ได้รับประทานด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิตวิญญาณ แต่กายของเราหิว เราก็ต้องเอาสติปัญญาของเราแสวงหาอาหารมาให้กายของเรา
ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามอย่าไปดูนะ ก็ไม่ได้ หูก็มีหน้าที่ฟัง เราอย่าห้าม เราอย่าไปห้ามว่าอย่าไปฟังนะ ก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง เราต้องไปดูที่ตัววิญญาณ รู้เท่าทันตัววิญญาณของเรา เวลาตากระทบรูป วิญญาณ หรือว่าใจของเราเกิดกิเลสหรือไม่ เห็นรูปสวย รูปงาม ใจของเราเกิดความยินดียินร้าย หรือว่าเกิดความอยากหรือไม่ หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน ฟังได้ ดูได้ มีได้ เป็นได้ แต่ให้มีให้เป็นด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ แล้วก็บริหารด้วยปัญญาให้ใจรับรู้ จะมีมากมีน้อย เอามากเอาน้อย เป็นเรื่องของปัญญา
อันนี้ที่เล่าให้ฟังที่พูดให้ฟังอันนี้เป็นแค่เพียงปลายเหตุ เราต้องดูรู้ฐานของต้นเหตุให้เจอเสียก่อนว่าจิตใจแต่ละวันๆ มีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ มีความขยันหมั่นเพียร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเราเอง รู้จักขวนขวาย รู้จักสนใจ รู้จักแสวงหา รู้เห็นการเกิดการดับตั้งแต่เริ่มก่อตัว ความอยาก ความไม่อยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา อย่าไปถกเถียงกันเลย เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผลภายในของเรา พิจารณาตัวเรา แก้ไขตัวเรา
เราห้ามคนอื่นเขาพูดไม่ได้หรอก อย่าไปพูดอย่างนั้น อย่าไปว่าอย่างนั้น อย่าไปว่าอย่างนี้ เราห้ามไม่ได้ เรามาห้ามใจของเรา มาแก้ไขใจของเรา มองบน มองล่าง มองกลางใจของตัวเราเองตลอดเวลา อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ สมมติว่าเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา อันนั้นก็เพียงแค่สมมติ ในหลักธรรมแล้วมองเห็นแต่ใจของเรา ปล่อยวาง ว่าง ดับความเกิด แล้วก็มองเห็นแต่ความว่าง โลกนี้ก็มีตั้งแต่ความว่าง มีตั้งแต่ธาตุ มีตั้งแต่ธาตุ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สมมติว่าเป็นหญิงเป็นชาย เป็นโน่นเป็นนี่ อันนี้เราต้องรู้รายละเอียดของจิตวิญญาณ คลายวิญญาณของเราให้ได้เสียก่อน เราถึงจะเข้าถึงความหมายในสิ่งที่หลวงพ่อพูดได้
แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ พยายามพากันหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล เป็นข้าวพกข้าวห่อ ตราบใดที่ใจของเรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องสร้างอานิสงส์แห่งบุญเอาไว้ อย่าไปประมาทบุญ ก็เปรียบเสมือนกับเสบียงกรัง เข้าพกเข้าห่อของเรา ถึงเราหลุดพ้นหรือว่าใจของเราละกิเลสได้หมดจด เราก็ต้องยังสร้างบุญสร้างกุศลอยู่เหมือนเดิมเพื่อยังประโยชน์ให้เต็มที่ แต่ไม่หลงไม่ยึดเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 มิถุนายน 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง เพียงแค่เจริญ เพียงแค่ทำให้ต่อเนื่อง พวกเราก็อาจจะทำอยู่ อาจจะรู้อยู่ แต่ไม่ต่อเนื่อง แล้วก็ไม่ทำความเข้าใจ รู้ลักษณะของใจที่ปกติ ใจที่เกิด ใจที่ก่อตัว ใจเกิดกิเลสเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร การควบคุมใจเป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งานได้หรือไม่ ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมารู้เท่าทันใจของเราแล้วหรือยัง รู้เท่าทันความคิด อารมณ์ ซึ่งเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเองแล้วหรือยัง
เป็นเรื่องของเราทุกคนเลยทีเดียว อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ เราชนะตัวเราแล้ว เราชนะหมด ทำความเข้าใจทุกอย่างในจิตวิญญาณของเรา อันนี้กายเนื้อเป็นส่วนรูป ตัววิญญาณ ซึ่งเป็นนามธรรมเขาเกิดอย่างไร ทำไมตัวใจหรือว่าวิญญาณถึงเกิด ทำไมวิญญาณถึงหลง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขตัวเราให้เราได้เลยนอกจากตัวเราเอง
ตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ จิตใจของเรามีความอ่อนโยน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง เราก็ต้องวิเคราะห์ตัวเรา อย่าไปวิเคราะห์นอกกาย วิเคราะห์ในกายในใจของเราให้เห็น แล้วก็ล้นออกไปสู่ภายนอกเองนั่นแหละ แต่ส่วนมากจะไปมองหาภายนอกกันเสียก่อน ทั้งภายนอกภายในเขาก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ จะไปทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ นอกจากจะหมดสภาวะของเขา นอกจากจะหมดวิบากกรรมของเขา เหมือนกับต้นไม้ก็ต้องมีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น ถ้ามีตั้งแต่แก่น ไม่มีเปลือก ไม่มีกระพี้ ต้นไม้ก็ตาย
กายของเราก็เหมือนกัน ใจของเรามันหลงมา ถึงได้มาสร้างภพของมนุษย์ แล้วก็มายึดมาติด เราต้องมาเจริญสติ มาหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริงแล้วก็คลายความยึดมั่นถือมั่น โน่นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้วาง ถึงจะได้สละกายก้อนนี้จริงๆ แต่ให้เราวางด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามความเป็นจริง ใจของเราก็จะไม่ได้ทุกข์ได้เครียดมากมาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราทำความเข้าใจ เราก็อยู่กับกิเลสนั่นแหละ เราใช้การใช้งาน กิเลสจะเกิดเราก็รู้จักดับ บริหารด้วยปัญญา เหมือนกับเราหิวข้าว เหมือนกับเราอยากข้าว เราไม่ได้รับประทานด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิตวิญญาณ แต่กายของเราหิว เราก็ต้องเอาสติปัญญาของเราแสวงหาอาหารมาให้กายของเรา
ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็ทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามอย่าไปดูนะ ก็ไม่ได้ หูก็มีหน้าที่ฟัง เราอย่าห้าม เราอย่าไปห้ามว่าอย่าไปฟังนะ ก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง เราต้องไปดูที่ตัววิญญาณ รู้เท่าทันตัววิญญาณของเรา เวลาตากระทบรูป วิญญาณ หรือว่าใจของเราเกิดกิเลสหรือไม่ เห็นรูปสวย รูปงาม ใจของเราเกิดความยินดียินร้าย หรือว่าเกิดความอยากหรือไม่ หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน ฟังได้ ดูได้ มีได้ เป็นได้ แต่ให้มีให้เป็นด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ แล้วก็บริหารด้วยปัญญาให้ใจรับรู้ จะมีมากมีน้อย เอามากเอาน้อย เป็นเรื่องของปัญญา
อันนี้ที่เล่าให้ฟังที่พูดให้ฟังอันนี้เป็นแค่เพียงปลายเหตุ เราต้องดูรู้ฐานของต้นเหตุให้เจอเสียก่อนว่าจิตใจแต่ละวันๆ มีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ มีความขยันหมั่นเพียร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเราเอง รู้จักขวนขวาย รู้จักสนใจ รู้จักแสวงหา รู้เห็นการเกิดการดับตั้งแต่เริ่มก่อตัว ความอยาก ความไม่อยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา อย่าไปถกเถียงกันเลย เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผลภายในของเรา พิจารณาตัวเรา แก้ไขตัวเรา
เราห้ามคนอื่นเขาพูดไม่ได้หรอก อย่าไปพูดอย่างนั้น อย่าไปว่าอย่างนั้น อย่าไปว่าอย่างนี้ เราห้ามไม่ได้ เรามาห้ามใจของเรา มาแก้ไขใจของเรา มองบน มองล่าง มองกลางใจของตัวเราเองตลอดเวลา อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ สมมติว่าเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา อันนั้นก็เพียงแค่สมมติ ในหลักธรรมแล้วมองเห็นแต่ใจของเรา ปล่อยวาง ว่าง ดับความเกิด แล้วก็มองเห็นแต่ความว่าง โลกนี้ก็มีตั้งแต่ความว่าง มีตั้งแต่ธาตุ มีตั้งแต่ธาตุ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สมมติว่าเป็นหญิงเป็นชาย เป็นโน่นเป็นนี่ อันนี้เราต้องรู้รายละเอียดของจิตวิญญาณ คลายวิญญาณของเราให้ได้เสียก่อน เราถึงจะเข้าถึงความหมายในสิ่งที่หลวงพ่อพูดได้
แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ พยายามพากันหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล เป็นข้าวพกข้าวห่อ ตราบใดที่ใจของเรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องสร้างอานิสงส์แห่งบุญเอาไว้ อย่าไปประมาทบุญ ก็เปรียบเสมือนกับเสบียงกรัง เข้าพกเข้าห่อของเรา ถึงเราหลุดพ้นหรือว่าใจของเราละกิเลสได้หมดจด เราก็ต้องยังสร้างบุญสร้างกุศลอยู่เหมือนเดิมเพื่อยังประโยชน์ให้เต็มที่ แต่ไม่หลงไม่ยึดเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ