หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 73
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 73
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 73
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มิถุนายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หลวงพ่อก็พูดก็ย้ำก็เตือนทุกคน ให้พยายามทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณ กายเนื้อของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้วิเคราะห์ใจของเราแล้วหรือยัง นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รู้จักวิธีอุบายแนวทางแล้วก็พากันไปทำ ไปสร้าง
การเจริญสติ ลักษณะของความรู้สึกรับรู้ เวลาลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัวหรือว่าสร้างสติลงอยู่ที่กายของเรา ส่วนใจของเรานั้น บางทีเขาก็คิดไปนู่นคิดไปนี่ บางทีเขาก็ปกติ เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือใจ ลึกลงไป ใจกับอาการของใจอีก ทุกคนมีศรัทธา ทุกคนมีบุญ แสวงหาบุญ แสวงหาธรรม แสวงหาตัวตนของเรา ถ้าแสวงหาไม่ถูกที่ถูกทางก็ยากที่จะเข้าใจ แสวงหาจิตวิญญาณของตัวเราเองก็ลงอยู่ที่กายของเรานั่นแหละ จะไปแสวงหานอกกาย ไม่มีวันเจอ
แนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย เอามาแจงให้ทุกคนได้ทราบกัน การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิต การแยกรูปแยกนาม การปล่อยการวาง ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องหลักของอริยสัจ การเข้าถึงตรงนั้น การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เขาเกิดยังไง ไปอย่างไร มาอย่างไร เราต้องพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเรา
ความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง ทุกคนหลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด เพียงแค่การเกิดนั่นแหละหลง หลงเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อมาห่อหุ้ม เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความหลง แล้วก็ทำความเข้าใจกับกายก้อนเนื้อของเรา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีไม่มากหรอกถ้าคนเราจะฝักใฝ่สนใจจริงๆ
แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่ไปหาสิ่งภายนอกมาห่อหุ้มมาปกปิด ไปหาอันอื่นมาเป็นที่พึ่ง ได้พึ่งคนนู้นบ้างพึ่งคนนี้บ้าง ไปพึ่งสิ่งนู้นบ้างพึ่งสิ่งนี้บ้าง อันนั้นก็เป็นที่พึ่งชั่วครั้งชั่วคราวของสมมติ คือปัจจัยสี่ ทีนี้ทางด้านวิมุตติ ทางด้านจิตใจ เราก็ต้องเจริญสติเข้าเป็นที่พึ่ง เป็นเพื่อนของใจ แล้วก็ทำความเข้าใจให้เขารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกเรื่อง เขาถึงจะปล่อยจะวาง แล้วก็ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี
เราห้ามตาให้ดูก็ไม่ได้ ห้ามหูให้ฟังก็ไม่ได้ เราต้องแจงต้องแยกรูป รส กลิ่น เสียงออกจากใจของเรา ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ใจลึกลงไป ใจของเราต้องแยกออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน ส่วนกายเป็นก้อนรูปนี่ยกไว้อีกต่างหาก ส่วนสี่ส่วนเป็นนามธรรม มีตัววิญญาณอยู่ ท้ายสุด เขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินดูรู้ให้เท่าทันหรือไม่ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ
พยายามนะ พยายามดำเนินเอา เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว ธรรมก็อยู่ที่เรานี่แหละ กายของเรานี่แหละก้อนธรรม มีเรื่องเดียวเท่านั้นคือต้องสะสางใจของเราให้ถึงจุดหมาย คือ ความไม่เกิด คลายความหลง ละกิเลส แล้วก็ดับความเกิดออกให้หมด มีเรื่องเดียว ไม่มีเรื่องอะไรมาก ถ้าพูดนอกเรื่องก็เรื่องเรื่อยเฉื่อยไป ออกนอกใจของตัวเอง ถ้าเรารู้ฐานของใจของเรา เราก็แก้ไขใจของเรา มันก็สั้นลงๆๆ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนหรอก ลงที่กาย ลงที่ฐานของใจของเรานั่นแหละ ว่าขณะนี้ใจปกติ ใจสงบ หรือว่าใจเกิดความกังวล เกิดความฟุ้งซ่าน หรือว่าใจเกิดกิเลส
เราบริหารกายบริหารใจของเราได้ถูกต้องหรือไม่ เราบริหารสมมติ ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ มันเกี่ยวเนื่องกันหมด เราจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่สนใจเรื่องโลกก็ไม่ได้ เพราะว่าโลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน จะเอาตั้งแต่ใจหรือไม่สนใจเรื่องกายของตัวเองก็ไม่ได้ เพราะว่าใจกับกายเขาก็อาศัยกันอยู่ ให้เรารู้ด้วยการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผล แล้วก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ทำตามหน้าที่ให้ดี แต่ต้องคลายความหลง แยกรูปแยกนาม เดินปัญญาให้ได้เสียก่อน กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด
คนเราก็สร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีมาต่างกัน แต่ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เรามาสร้างเอาใหม่ เราอยากจะร่ำรวย เราก็ขยันหมั่นเพียร เราอยากจะยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พยายามขยันหมั่นเพียรทำสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ของสมมติ เรียกว่าบุญ บุญของสมมติ บุญระดับของสมมติมันก็เกื้อหนุนกันอยู่ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้าน เราก็ต้องอาศัยราวบันไดอาศัยลูกบันไดขึ้นถึงตัวบ้าน ถ้าขึ้นถึงตัวบ้านแล้วเราจะลงมาข้างล่างเราก็อาศัยราวบันได แต่อาศัยด้วยสติด้วยปัญญา เหมือนกันหมด การปฏิบัติจิต การละกิเลส การทำความเพียร ดูแต่ละวันจิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง มีความอ่อนน้อม จิตใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตใจของเรามีความโกรธ เราก็ละความโกรธ
การได้ยินได้ฟังมีกันเต็มเปี่ยม การที่จัดการกับใจของเราเวลาใจเกิด เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ตรงนี้แหละ ไม่ค่อยจะทันกันเท่าไร กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็เขาอยู่ด้วยกันมานาน ถ้าพูดในหลักธรรม กายนี่ก็คือขันธมาร จิตมารก็มี จิตหลอกตัวเอง สติปัญญาหลอกตัวเอง ถ้ากำลังสติไม่ชัดเจน ถ้ากำลังสติไม่ต่อเนื่อง หาเหตุหาผล แจงให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริงไม่ได้ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาหลอกเราขณะตื่นตัวอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ เขาก็ไปหลอกในนิมิตอีก สารพัดอย่าง กำลังสติปัญญาของเราต้องเฉียบแหลม เร็วไว มั่นคง ทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ถ้าพูดในโลกๆ เราก็ ขณะทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกมันก็ยาก แต่ในหลักธรรม ถ้าเราเจริญสติเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่าควบคุมจิตของเราได้ จนกว่าจิตของเราแยกรูปแยกนามได้ หมั่นพร่ำสอนจิตของเราได้ กำลังสติของเราจะเป็นมหาสติ กำลังสติของเราจะเป็นมหาปัญญา จนเป็นเอง จนเป็นอัตโนมัตินั่นแหละ เขาถึงเรียกว่า รู้ตัว รู้ใจ อยู่ปัจจุบันธรรม รู้ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก มันจะเป็นอัตโนมัติ ขณะที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เพียงแค่สร้างกับรักษานี่ก็ยังขาดตอน ก็ยังล้มๆ เหลวๆ ส่วนมากจะลืม เราก็ต้องพยายามทั้งที่ใจเป็นบุญ
พยายามวิเคราะห์พิจารณาให้ชัดเจนกัน อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาทั้งภายนอกภายใน ให้ได้หมดทุกอย่าง ทั้งบุญภายนอกเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ทั้งด้านสำรวจจิต การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปกติ ลักษณะของจิตที่สงบ กายวิเวก ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราต้องพยายามศึกษา แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าอยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง หรือไม่อยาก ไม่อยากหรือว่าผลักไสอีก เราก็ต้องพยายามดูรู้ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มิถุนายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หลวงพ่อก็พูดก็ย้ำก็เตือนทุกคน ให้พยายามทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณ กายเนื้อของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้วิเคราะห์ใจของเราแล้วหรือยัง นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รู้จักวิธีอุบายแนวทางแล้วก็พากันไปทำ ไปสร้าง
การเจริญสติ ลักษณะของความรู้สึกรับรู้ เวลาลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัวหรือว่าสร้างสติลงอยู่ที่กายของเรา ส่วนใจของเรานั้น บางทีเขาก็คิดไปนู่นคิดไปนี่ บางทีเขาก็ปกติ เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือใจ ลึกลงไป ใจกับอาการของใจอีก ทุกคนมีศรัทธา ทุกคนมีบุญ แสวงหาบุญ แสวงหาธรรม แสวงหาตัวตนของเรา ถ้าแสวงหาไม่ถูกที่ถูกทางก็ยากที่จะเข้าใจ แสวงหาจิตวิญญาณของตัวเราเองก็ลงอยู่ที่กายของเรานั่นแหละ จะไปแสวงหานอกกาย ไม่มีวันเจอ
แนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย เอามาแจงให้ทุกคนได้ทราบกัน การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิต การแยกรูปแยกนาม การปล่อยการวาง ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องหลักของอริยสัจ การเข้าถึงตรงนั้น การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เขาเกิดยังไง ไปอย่างไร มาอย่างไร เราต้องพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเรา
ความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง ทุกคนหลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด เพียงแค่การเกิดนั่นแหละหลง หลงเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อมาห่อหุ้ม เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความหลง แล้วก็ทำความเข้าใจกับกายก้อนเนื้อของเรา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีไม่มากหรอกถ้าคนเราจะฝักใฝ่สนใจจริงๆ
แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่ไปหาสิ่งภายนอกมาห่อหุ้มมาปกปิด ไปหาอันอื่นมาเป็นที่พึ่ง ได้พึ่งคนนู้นบ้างพึ่งคนนี้บ้าง ไปพึ่งสิ่งนู้นบ้างพึ่งสิ่งนี้บ้าง อันนั้นก็เป็นที่พึ่งชั่วครั้งชั่วคราวของสมมติ คือปัจจัยสี่ ทีนี้ทางด้านวิมุตติ ทางด้านจิตใจ เราก็ต้องเจริญสติเข้าเป็นที่พึ่ง เป็นเพื่อนของใจ แล้วก็ทำความเข้าใจให้เขารู้เห็นตามความเป็นจริงทุกเรื่อง เขาถึงจะปล่อยจะวาง แล้วก็ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี
เราห้ามตาให้ดูก็ไม่ได้ ห้ามหูให้ฟังก็ไม่ได้ เราต้องแจงต้องแยกรูป รส กลิ่น เสียงออกจากใจของเรา ทวารทั้งหกเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ใจลึกลงไป ใจของเราต้องแยกออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน ส่วนกายเป็นก้อนรูปนี่ยกไว้อีกต่างหาก ส่วนสี่ส่วนเป็นนามธรรม มีตัววิญญาณอยู่ ท้ายสุด เขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินดูรู้ให้เท่าทันหรือไม่ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ
พยายามนะ พยายามดำเนินเอา เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว ธรรมก็อยู่ที่เรานี่แหละ กายของเรานี่แหละก้อนธรรม มีเรื่องเดียวเท่านั้นคือต้องสะสางใจของเราให้ถึงจุดหมาย คือ ความไม่เกิด คลายความหลง ละกิเลส แล้วก็ดับความเกิดออกให้หมด มีเรื่องเดียว ไม่มีเรื่องอะไรมาก ถ้าพูดนอกเรื่องก็เรื่องเรื่อยเฉื่อยไป ออกนอกใจของตัวเอง ถ้าเรารู้ฐานของใจของเรา เราก็แก้ไขใจของเรา มันก็สั้นลงๆๆ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหนหรอก ลงที่กาย ลงที่ฐานของใจของเรานั่นแหละ ว่าขณะนี้ใจปกติ ใจสงบ หรือว่าใจเกิดความกังวล เกิดความฟุ้งซ่าน หรือว่าใจเกิดกิเลส
เราบริหารกายบริหารใจของเราได้ถูกต้องหรือไม่ เราบริหารสมมติ ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ มันเกี่ยวเนื่องกันหมด เราจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่สนใจเรื่องโลกก็ไม่ได้ เพราะว่าโลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน จะเอาตั้งแต่ใจหรือไม่สนใจเรื่องกายของตัวเองก็ไม่ได้ เพราะว่าใจกับกายเขาก็อาศัยกันอยู่ ให้เรารู้ด้วยการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผล แล้วก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ทำตามหน้าที่ให้ดี แต่ต้องคลายความหลง แยกรูปแยกนาม เดินปัญญาให้ได้เสียก่อน กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด
คนเราก็สร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีมาต่างกัน แต่ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เรามาสร้างเอาใหม่ เราอยากจะร่ำรวย เราก็ขยันหมั่นเพียร เราอยากจะยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พยายามขยันหมั่นเพียรทำสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ของสมมติ เรียกว่าบุญ บุญของสมมติ บุญระดับของสมมติมันก็เกื้อหนุนกันอยู่ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้าน เราก็ต้องอาศัยราวบันไดอาศัยลูกบันไดขึ้นถึงตัวบ้าน ถ้าขึ้นถึงตัวบ้านแล้วเราจะลงมาข้างล่างเราก็อาศัยราวบันได แต่อาศัยด้วยสติด้วยปัญญา เหมือนกันหมด การปฏิบัติจิต การละกิเลส การทำความเพียร ดูแต่ละวันจิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง มีความอ่อนน้อม จิตใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตใจของเรามีความโกรธ เราก็ละความโกรธ
การได้ยินได้ฟังมีกันเต็มเปี่ยม การที่จัดการกับใจของเราเวลาใจเกิด เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ตรงนี้แหละ ไม่ค่อยจะทันกันเท่าไร กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็เขาอยู่ด้วยกันมานาน ถ้าพูดในหลักธรรม กายนี่ก็คือขันธมาร จิตมารก็มี จิตหลอกตัวเอง สติปัญญาหลอกตัวเอง ถ้ากำลังสติไม่ชัดเจน ถ้ากำลังสติไม่ต่อเนื่อง หาเหตุหาผล แจงให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริงไม่ได้ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาหลอกเราขณะตื่นตัวอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ เขาก็ไปหลอกในนิมิตอีก สารพัดอย่าง กำลังสติปัญญาของเราต้องเฉียบแหลม เร็วไว มั่นคง ทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ถ้าพูดในโลกๆ เราก็ ขณะทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกมันก็ยาก แต่ในหลักธรรม ถ้าเราเจริญสติเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่าควบคุมจิตของเราได้ จนกว่าจิตของเราแยกรูปแยกนามได้ หมั่นพร่ำสอนจิตของเราได้ กำลังสติของเราจะเป็นมหาสติ กำลังสติของเราจะเป็นมหาปัญญา จนเป็นเอง จนเป็นอัตโนมัตินั่นแหละ เขาถึงเรียกว่า รู้ตัว รู้ใจ อยู่ปัจจุบันธรรม รู้ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก มันจะเป็นอัตโนมัติ ขณะที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เพียงแค่สร้างกับรักษานี่ก็ยังขาดตอน ก็ยังล้มๆ เหลวๆ ส่วนมากจะลืม เราก็ต้องพยายามทั้งที่ใจเป็นบุญ
พยายามวิเคราะห์พิจารณาให้ชัดเจนกัน อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาทั้งภายนอกภายใน ให้ได้หมดทุกอย่าง ทั้งบุญภายนอกเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ทั้งด้านสำรวจจิต การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปกติ ลักษณะของจิตที่สงบ กายวิเวก ใจวิเวกเป็นอย่างไร เราต้องพยายามศึกษา แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าอยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง หรือไม่อยาก ไม่อยากหรือว่าผลักไสอีก เราก็ต้องพยายามดูรู้ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา