หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 30

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 30
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 30
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 30
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 มีนาคม 2556

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติทำใจของเราให้สงบ เจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้ทำความเข้าใจกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ ใจก็อยากจะทำบุญ ไปทำบุญที่นั่นบ้าง ทำบุญที่นี่บ้าง ใจปรารถนาอยากจะถึงความสงบ ความบริสุทธิ์ความเกิดของใจนั่นแหละ เขาปิดบางอำพรางตัวเขาเอาไว้หมด ทั้งที่ใจเขาก็ฝักใฝ่ในบุญ

ในหลักธรรมท่านให้มาเจริญสติให้มากๆ ให้ต่อเนื่อง แล้วก็ทำความเข้าใจว่ากายของเรานี่เป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ซึ่งมาสร้างภพสร้างชาติของมนุษย์ มาหลง เพียงแค่ความเกิด เขาก็หลง การปรุงการแต่ง เขาก็ปิดบังอำพรางตัวของวิญญาณหรือว่าตัวของใจเอาไว้หมด

เราต้องมาเจริญสติเข้าไปหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่ารอบรู้ในกองสังขาร ว่าเรื่องอะไรบ้างในกายของเรา เขาถึงจะคลายความหลงได้ เพียงแค่คลายความหลง แต่การละกิเลสจากใจ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ดับความเกิดของใจ หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่ ไปพิจารณา ไปทำหน้าที่แทนจนเป็นปัญญาได้ ต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด อาศัยกาล อาศัยเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างประกอบกัน ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย เราอยากจะได้เลยทีเดียวก็ไม่ได้หรอก

เราก็ต้องอาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง อาศัยการสร้างสะสมบุญบารมี บุญเก่าก็มีมาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บุญใหม่เราก็สร้าง ความเสียสละของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอดทนอดกลั้น สัจจะความเพียร เพียรให้ถูกทาง เพียรให้ถูกวิธี สำเหนียกน้อมเข้าไปดู รู้กายของเราอยู่ตลอดเวลา คอยสร้างสะสมตบะบารมีมาเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็ม ถ้าเต็มแล้วอยู่คนเดียวก็ต้องรู้ ถ้าใจของเรามีความอิ่ม ความทะเยอทะยานอยาก ไม่มีความโลภ ความโกรธเบาบางลงไป กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเบาบางลงไป ก็เหลือตั้งแต่สติปัญญาบริหารกาย จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหละ

พวกเรามีโอกาส พวกเรามีบุญมีวาสนาพอที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็พยายามสร้างสะสมบุญกัน วันนี้วันที่ 14 ลูกพระลูกเณรก็จะได้มาบวช มาสร้างสะสมบุญบารมีกัน ได้เท่าไรก็ดี ปิดภาคเรียนพากันมาบวช มีศรัทธา มีอานิสงส์จากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เอาลูกเอาหลานเข้ามาฝากมาบวช ถึงจะเดินปัญญาไม่ได้ ก็เป็นการสร้างสะสมบุญ เป็นการสร้างสะสมบารมี ให้เด็กเอาไว้ เมื่อเติบโตขึ้นไปถึงเวลาเขาก็จะเข้าใจในสิ่งที่เขาได้เข้ามา ก็จะได้น้อมดูตั้งแต่เป็นเด็ก พ่อแม่ปู่ย่าตายาย พาทำบุญพาให้ทาน พาเข้าวัด ถึงจะไม่รู้ความหมาย เมื่อเขาได้ศึกษาเล่าเรียน ทำความเข้าใจกับปัญญาทางโลกียะ ทำความเข้าใจกับปัญญา น้อมเข้าไปรู้ลักษณะหน้าตาอาการของปัญญาที่แท้จริง

เขาก็จะเข้าถึงความหมายในสิ่งที่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ฝากทรัพย์ภายในไว้ให้เด็กๆ เราอย่าไปมองข้าม เราอย่าไปมองข้าม หมั่นฝากฝังเอาไว้ ความเสียสละบ้าง ความอดทนอดกลั้น การให้อภัยทาน อโหสิกรรม ความขยันหมั่นเพียร ฝึกหัดให้รู้จักรับผิดชอบในรอบกายของเราเสียก่อน ก็จะล้นออกไป ไม่ใช่ว่าสร้างแต่ความเกียจคร้าน ถ้าคนเรามีความเกียจคร้าน อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์ อยู่หลายคนก็เป็นทุกข์ อยู่กับหมู่อยู่กับคณะก็เป็นภาระ ให้กับคนอื่น เราจงพยายามยังความขยันหมั่นเพียร รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักทำให้มีให้เกิดขึ้น เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยสมมติ อาศัยโลกธรรมอยู่ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แล้วก็มาบริหารตรงนี้อยู่ เราต้องทำ เจริญสติเข้าไปแจง แยกแยะให้ละเอียด ถึงอายุของเรายังมีไม่มาก ต่อไปในวันข้างหน้า สิ่งที่พวกเราได้เข้ามาทำนี่แหละ จะเป็นเข้าพกเข้าห่อเกื้อหนุนจนกว่าจิตใจของเราจะหลุดพ้นจากความยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งต่างๆ

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามนะ ส่วนพระที่บวชใหม่ หรือว่าลูกเณรที่บวชใหม่ หลวงพ่อก็ได้มอบภาระ ให้กับทางท่านอาจารย์ต้า หรือทางท่านอาจารย์บอม อาจารย์ต๋องช่วยกันดูแล ทางด้านคุณโต้งก็ช่วยกันดูแล เด็กๆ ลูกหลานของเรา มาฝึกได้เท่าไรก็ดี ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ธรรมดาแหละ ค่อยฝึกค่อยเป็นค่อยไป แม้แต่ผู้ใหญ่ของเราก็ยังฝึกยากอยู่ ค่อยฝึกค่อยเป็นค่อยไป เอาทีละเล็กทีละน้อย ในหลักของความเป็นจริง ถ้าเราไม่ฝึกเราไม่มีใครช่วยฝึกเราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง แม้ตั้งแต่ธรรมะ พระพุทธองค์ก็ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย พวกท่านจะเดินตามหรือไม่เดินตามก็เป็นเรื่องเป็นหน้าที่ของพวกท่าน ถ้าเดินตามก็เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ หมดความสงสัย หมดความลังเล ท่านถึงบอกให้เชื่อ เดินตามทางนี้เสียก่อนนะ

ให้ถึงจุดหมายจะเป็นลักษณะอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนี้ ท่านบัญญัติท่านชี้แนะ แจกแจกเอาไว้หมด พวกเราจะเดินตามหรือไม่ ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราหรือไม่ ตรงนี้แหละสำคัญไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้คนโน้น เขาบังคับคนนี้เขาบังคับ คนฉลาดไม่ให้คนอื่นเขาบังคับหรอก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ ไปชอบให้คนโน้น เขาบังคับคนนี้เขาบังคับ ไปไม่ถึงไหน คนฉลาดฟังนิดเดียว แล้วก็ยังให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวเอง แล้วก็เดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง

การละกิเลสเป็นอย่างนี้นะ กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้นะ อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ลักษณะวิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัว การเจริญสติ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ อยู่คนเดียวก็วิเคราะห์ใจ วิเคราะห์เอาความเป็นกลาง เอาความโล่ง ความโปร่ง ไม่เข้าข้างตัวเอง เข้าข้างคนอื่นเป็นเครื่องตัดสิน ขอให้เรารู้ลักษณะของใจ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาก็ชัดเจน

เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินของตัวเราเอง ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ไม่ใช่ว่าธรรมะจะไปอยู่กับคนโน้น ธรรมะก็อยู่อาจารย์องค์โน้น สถานที่โน้น สถานที่นี่ เราพยายามสร้างธรรมให้เกิดขึ้นที่ใจของเรานั้น มันถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไปที่นู่น ก็คนนู้นเป็นอย่างนี้ วัดโน้นเป็นอย่างนี้ อาจารย์โน้นเป็นอย่างนี้ อาจารย์นี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น ก็กิเลสของเรานั่นแหละ ไม่ใช่กิเลสของคนอื่นหรอก ก็มีแต่ของเราทั้งนั้น เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ก็ต้องพยายาม

หลวงพ่อก็จะได้มอบภาระหน้าที่ให้ทางอาจารย์ต้าช่วยดูแล หมั่นพร่ำสอนชี้แนะแนวทางให้ พาฝึกหัดปฏิบัติ คงจะมีวิบากกรรมต่อกันล่ะเนาะ แต่ก่อนก็เป็นเณรน้อย ออกจากโรงเรียนก็ไปบวชเป็นเณร ก็เหมือนกัน เป็นเหมือนตั้งสมัยอายุน้อยๆ ก็อย่างเดียวกันนี่แหละ ไปบวชที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง จนเรียนจบแล้วก็ตัดสินใจออกมาบวช ก็ได้สอนเด็กต่อ ก็คงจะเป็นวิบากกรรมตรงนั้นแหละมั้ง เชื่อมโยงกันมาให้ได้ประโยชน์

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง