หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 59
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 59
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 59
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 เมษายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา ดูความอยาก รู้ความอยากกับความหิว ความหิวเกิดขึ้นที่กาย ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ เรารู้ให้ชัดเจน ถ้าใจเกิดความอยากก็รู้จักหยุด รู้จักระงับยับยั้ง พิจารณาด้วยสติปัญญาให้ทันท่วงที ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราตั้งมั่นแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มทุกอิริยาบถ ผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องฝึกตั้งแต่ตื่นขึ้น รู้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ความรู้ตัวจะลุก จะก้าว จะเดิน กายเคลื่อนไหวตั้งแต่ก้าวแรก
ตื่นขึ้นมารู้ลมหายใจตั้งแต่กายยังไม่ลุกจากที่ รู้ตัวแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ความปกติของใจ การก่อตัวของใจ รู้จักควบคุม การก่อตัวของขันธ์ห้าเขาก่อตัวอย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจะไปฝึกเฉพาะเวลาตั้งใจฝึก อันนั้นมันยังไม่ใช่ ต้องรู้ตัวทุกขณะ ความรู้ตัวเราพลั้งเผลอเริ่มใหม่ เริ่มอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ทำความเข้าใจกับคำว่าปัจจุบันธรรมให้ได้ให้ชัดเจน
ใจเกิดความอยาก การปรุงการแต่งนิดเดียว แล้วก็หยุด เห็นอาการของใจ อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม อันนี้ส่วนของสมมติโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจของเรา ส่วนมากก็ไปโทษ ไปโทษภายนอกว่าเขามารบกวนเรา เสียงก็มารบกวน รูปก็มารบกวน ที่ไหนได้ใจของเราส่งออกไปรับเอา ไม่รับรู้อยู่ภายใน อะไรมันขาดตกบกพร่อง เราก็พยายามสร้างขึ้นมา ความเกียจคร้านของเรามี เราพยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความเสียสละ สร้างความรับผิดชอบ ทำความเข้าใจจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นรับผิดชอบ รับผิดชอบส่วนตัวเราก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม จนล้นออกไปทั่ว เท่าที่กำลังสติปัญญาของเราจะล้นออกไป ต้องพยายามกัน
เมื่อวานนี้พายุก็ลมแรง แรงมากนะพัดต้นไม้กิ่งไม้หักไปเยอะ ช่วยกันเก็บช่วยกันดูแล พายุรุนแรงแล้วก็เหตุเภทภัยก็รุนแรง หลายประเทศ หลายประเทศเห็นว่าแผ่นดินถล่มก็ตายกันไปหลายร้อย ทั้งจีน ทั้งพายุ ทั้งไอ้แผ่นดินถล่ม ทั้งตึกถล่ม เห็นข่าวกัน ตายไปหลายร้อยหลายพัน นั่นแหละมันเป็นเหตุ เหตุเภทภัยธรรมชาติ แต่คนเราไม่มีเหตุก็ฆ่ากันตีกัน ยิงกันถล่มกัน ประเทศไทยเราทางภาคใต้เห็นวางระเบิดกัน ตายกันไปแทบทุกวัน เพราะว่าความหลงความหลง แล้วก็ยกให้เป็นกรรม บางทีอาจจะไม่มีกรรมต่อกันในปัจจุบัน อาจจะเคยมีกรรมต่อกัน เคยฆ่ากันตีกันตั้งแต่ภพก่อนๆ มา เขามาเจอกัน ตีกันอีกฆ่ากันอีก ก็ยกให้เป็นกรรม ไม่ฆ่ามันก็จะตายอยู่แล้ว แทนที่จะฆ่ากิเลสภายใน กลับไม่ฆ่า กลับไปฆ่ากันตีกัน ยกให้เป็นกรรมของเขา ถ้าไม่มีกรรมต่อกัน ไปอยู่ด้วยกันก็ทำอะไรกันไม่ได้
พระพุทธองค์ถึงยกให้เป็นกรรม มองให้เห็นเป็นกรรม แต่กรรมภายในที่เกิดจากใจของเรานี่ต้องพยายามทำความเข้าใจ ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจของเราถึงเกิด ขันธ์ห้าทำไมมาปรุงแต่งใจ หลงภายในแล้วก็หลงไปหมด ถ้าแยกแยะภายในได้ก็ละวางได้หมด ทีนี้เราจะละได้เด็ดขาดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ร่างกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ประกอบด้วยมาอะไรบ้าง ทำไมขันธ์ห้าถึงเป็นของหนักที่ท่านเจ้าคุณพาสวดพาท่องอยู่ขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้อ หนักเน้ออยู่อย่างนี้ ขันธ์ห้ามันมีอะไรบ้าง แจงออกไปสิ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่องกุศลอกุศล มีหลายเรื่อง
เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องกันสัก 3 นาที มันก็เลยรู้ไม่ทัน เอาตั้งแต่ปัญญาของโลกียะเข้าไปตัดสิน เข้าไปคิดเอา คิดเอาแล้วก็ส่งเสริม มันก็อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ ในหลักธรรมแล้วก็ต้องเจริญสติเข้าไปแยกไปคลายไปละออกให้มันหมด ปัญญาเป็นตัวเกิดทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง พยายามทำของยากให้เป็นของง่าย ส่วนมากจะทำของยากง่ายให้เป็นของยาก ก็เลยไม่ถึงฝั่งสักที มีตั้งแต่เลาะเลียบชายฝั่ง ก้าวข้ามไม่ถึงฝั่ง
เพียงแค่สมมติก็ยังไม่รู้จักทำความเข้าใจ เอาแต่งอมืองอเท้าเกียจคร้าน สมมติก็เลยไม่น่าอยู่ ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ยังไม่รู้จัก แสวงหาตั้งแต่ธรรมชาติแต่ไม่รู้จักธรรมชาติ ความเป็นระเบียบจากข้างในก็ออกข้างนอก พระพุทธองค์ท่านถึงได้ตั้งกฎตั้งข้อตั้งระเบียบเอาไว้ เรียกว่า วินัย เพื่อความเป็นระเบียบ เพื่อความสวยงามของหมู่ของคณะ เพื่อกำจัดกิเลส
ศีล วินัยต่างๆ ก็เพื่อที่จะกำจัดกิเลสหยาบกำจัดกิเลสละเอียด ก็เพื่อความสวยความงาม ถ้าไม่เข้าใจก็ไปหลงไปยึด ไปถือสีลัพพตปรามาสถือศีลงมงาย ไม่รู้จักศีล ถ้าเราเข้าใจเราก็เคารพศีลเพื่อความสวยความงาม ความเป็นระเบียบของหมู่ของคณะ ด้วยการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นสังคม ถ้าไม่เข้าใจก็หลงงมงายยึดถือแต่เปลือกกระพี้ แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็เคารพ ทำหน้าที่ ต้นไม้ก็อาศัยทั้งเปลือกทั้งกระพี้ถึงจะรักษาแก่นได้ คนเราไม่เคารพสมมติ สมมติก็วุ่นวาย
ท่านถึงได้วางระบบระเบียบเอาไว้เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ท่านก็คอยเพ่งโทษคอยนั่นเพื่อที่จะให้ระวัง จะลุกจะก้าว จะเดินจะนั่ง จะพูดจะจา ถ้าพูดไม่ดีก็ผิด จะลุก จะก้าว จะเดิน ไม่ระมัดระวังก็ผิด จะขบจะฉันก็ผิด พระเรานี้ต้องสำรวมให้มากๆ เวลาไปไหนมาไหนก็มีผ้าติดตัว เวลาแขกญาติโยมถวายของก็ให้เอาผ้ารับ มีผ้ารับ มีผ้าอาสนะ ผ้าปูนั่งปูนอน ต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ตลอดเวลา สมมติก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทางด้านวิมุตติมันจะไปรู้อะไรเรื่องอะไร เพียงแค่สมมติก็ความรับผิดชอบก็ไม่มี มันก็เลยยากที่จะให้ขัดเกลาตัวภายในได้เด็ดขาด แต่ก็ยังให้อยู่ในกรอบ อย่าไปนอกลู่ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าใช้ตัวเองไม่ได้ บอกตัวเองไม่ได้แล้วอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน เสียเวลาเปล่า
คนเราถ้าจะเอาแล้วฟังนิดเดียว การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การละกิเลส การควบคุมจิต ควบคุมกาย ควบคุมวาจา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ไปจัดการภายในของตัวเรา อะไรควรหรือไม่ควรอะไร เหมาะหรือไม่เหมาะ สมควรหรือไม่สมควร เมื่อคืนวานนี้ ไม่รู้ว่าใคร โยมผู้หญิงมาจากไหน ไปเดินนั่นนะเดินจงกรมอยู่บนอาสน์สงฆ์ ไม่รู้ควรหรือไม่ควร ที่ไหนมันควร ที่ไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา ถ้าเราเข้าใจเราดูที่ใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมานะ ตื่นขึ้นมารีบรู้ใจ รู้จักควบคุมใจควบคุมอารมณ์ รู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม ยิ่งเจริญสติไปมากเท่าไร ใจมันก็ยิ่ง เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน จนกว่าเขาจะคลายออกจากความคิด คลายออกจากอารมณ์
เพียงแค่แยกแค่คลายนั้นก็เพียงแค่มองเห็นทางนิดเดียวเท่านั้น การละ การดับ การขัดเกลากิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีกเยอะแยะที่จะตามมา ไม่ใช่ว่าฟังปุ๊บมันได้ปั๊บ ส่วนมากก็มีตั้งแต่เอาแต่ฟัง แต่การรู้ฐาน การละการดับมันไม่มี เอาแต่คุยกัน ได้คุยกันแล้วมันสนุกสนาน เสียเวลาเปล่า พระเราก็เหมือนกัน เอาการงานเป็นการปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังให้เกิดประโยชน์ ให้เอื้อเฟื้ออำนวยให้กายสมมติได้มีความสุข อุตส่าห์พยายามทำให้ทุกอย่าง ทั้งกาลทั้งเวลาที่ผ่านมา อาหารตาธรรมชาติ ทั้งปลูกต้นไม้ดูแลต้นไม้ทุกตารางนิ้ว ทั้งความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ไม่อยากจะไม่ให้ลำบาก อยากจะให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ สารพัดอย่าง ยังจะพากันมาเกียจคร้าน ขวางหูขวางตา ดูแล้วก็น่าสงสาร อะไรที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้พยายามรีบทำ
คนทั่วไปอยากจะหาตั้งแต่ความสุข แต่ไม่รู้สาเหตุ ความทุกข์เกิดขึ้นที่ไหนก็ดับมันที่นั่นแหละ เราดับทุกข์ได้ เราไม่ต้องการความสุขมันก็ได้เองนั่นแหละ เราขัดเกลากิเลสความอยากออกหมด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์มันก็ได้เองนั่นแหละ ไม่เอาทั้งสองอย่างนะทั้งทุกข์ทั้งสุข แต่เราก็ได้สุขเองนั่นแหละ ถ้าเราดับได้ละได้ การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ทางสมมติเรามีโอกาสได้มาสร้างร่วมกัน บุญระดับสมมติเราก็ทำ บุญระดับวิมุตติเราต้องขัดเกลากิเลส คลายความหลงให้ได้ทุกอย่างให้เต็มเปี่ยม ขณะที่กำลังกายยังแข็งแรง
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน รู้ให้ต่อเนื่องกันสักนิดก็ยังดี ใจของเราก็จะได้พักผ่อน กายของเราก็จะได้พักผ่อน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น เราพยายามทำบ่อยๆ แล้วก็พยายามหัดสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจบ่อยๆ ช่วงใหม่ๆ หรือว่าความไม่เคยชินจะพลั้งเผลอ แค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องไม่พลั้งเผลอ ตรงนี้เราก็ขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ แต่การเกิดของใจนั้นมีตลอด การเกิดของขันธ์ห้ากับใจเขารวมกันนั้นมีตลอด เพราะว่าตรงนี้มีกันทุกคน ถ้าใจไม่เกิด ถ้าไม่มีความหลงเขาก็ไม่เกิด เขาหลงเขาถึงเกิด เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ ในภพมนุษย์นี่มีขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ ถ้ากำลังสติของเราแยกไม่ได้ ตามดู รู้เห็นความเป็นจริงไม่ได้ทุกเรื่อง ใจเขาก็ไม่ยอมวางง่ายๆ เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะทำปุ๊บมันได้ปั๊บ กำลังสติปัญญาของเราต้องต่อเนื่อง รู้ด้วย เห็นด้วย แยกแยะได้ด้วย รู้จักลักษณะหน้าตาอาการของจิตของวิญญาณ อาการของความคิด แล้วรู้จักละกิเลส เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทนทุกเรื่อง
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ไปโต้เถียงคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้เลย ต้องรู้ด้วย เห็นด้วย ให้หมดความสงสัย ท่านบอกว่าเดินอย่างนี้ ทำอย่างนี้ รู้เห็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ท่านถึงบัญญัติเอาไว้ว่าขันธ์ห้าของเรานี้มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แล้วกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แยกรูปแยกนาม เข้าสู่หลักของอริยสัจ จนกว่าจะเข้าใจคำว่าอัตตาอนัตตา รู้เห็นความเป็นจริง ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เข้าสู่ความว่าง หน่วงเหนี่ยวความว่างเอาไว้เป็นอารมณ์
ทุกสิ่งทุกอย่างมีขั้นตอนหมดเลย เหมือนกับเราขึ้นตัวเรือน เราจะต้องอาศัยบันได บันไดต้อง 9 ขั้น 10 ขั้น ขึ้นถึงตัวเรือน เราจะไปกระโดดข้ามถึงตัวเรือนก็ไม่ได้ เราก็ทำความเข้าใจ แต่เขาก็เป็นลูกโซ่ในทางเส้นเดียวกัน ถ้าเข้าถึงตัวเรือนแล้วก็กำจัดกิเลสภายในตัวเรือนอีก ปัดกวาดทำความสะอาดอีก เราจะลงมาบนพื้นเราก็ลงมาด้วยสติด้วยปัญญา จนกว่าธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ ถ้าเราศึกษาให้ดีๆ จะเห็นอะไรดีๆ เยอะอยู่ในกายของเรา เราพยายามหมั่นสร้างตบะสร้างบารมี ถ้าอานิสงส์บุญบารมีของเราเต็ม อยู่คนเดียวเราก็เข้าใจ อยู่หลายคนเราก็เข้าใจ ขอให้เราทำให้ถูกวิธีถูกแนวทางเถอะ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าเอาทิฏฐิมานะ ความคิดเห็นด้วยอำนาจของกิเลสเข้ามาปิดกันตัวเอง
จงเจริญสติ แล้วก็เจริญพรหมวิหาร เห็นการเกิดการดับ รู้ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส รู้ลักษณะของใจที่ไม่เกิด เรารู้อยู่เฉพาะอยู่ในภาพรวม แต่เรายังแจงไม่ออก ยังแยกไม่ออก เพราะว่าสิ่งพวกนี้เป็นของละเอียดอ่อนมากทีเดียว กำลังสติปัญญาของเราต้องแหลมคมเร็วไว หาเหตุหาผล กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งเหมือนกัน กำลังสติของเรามีมากเท่าไรก็ไปเผาผลาญกิเลสของเรา มันยิ่งเต้นดิ้นเร่าร้อนมากมายขึ้นเป็นทวีคูณ จนกว่ามันจะยอมรับความเป็นจริง จนกว่ามันจะแยกแยะได้ วางได้ ยอมรับความเป็นจริงได้ สงบลงได้นั่นแหละ
แม้แต่การเกิดของใจ ละกิเลสออกหมด เราก็ดับความเกิดจนเขาไม่เกิดอีก จนวางอีกให้เป็นอิสรภาพอีก จนเหลือตั้งแต่กำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่องถึงจะอยู่อย่างมีความสงบความสุข แม้แต่หมดจดแล้วเราก็ยังสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมอีก ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีโอกาส โอกาสเปิดให้เราเต็มที่ สถานที่เปิดให้เราเต็มที่ มันยากที่จะได้เกิดมาในอัตภาพของมนุษย์ แล้วก็ยากที่จะได้เกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ยากที่จะได้ฝักใฝ่ ยากที่จะได้สนใจ ยากที่จะได้เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเราฝักใฝ่เราสนใจ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้รับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เตือน แค่เล่าให้ฟัง แค่เพียงกระตุ้นเท่านั้นนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 เมษายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา ดูความอยาก รู้ความอยากกับความหิว ความหิวเกิดขึ้นที่กาย ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ เรารู้ให้ชัดเจน ถ้าใจเกิดความอยากก็รู้จักหยุด รู้จักระงับยับยั้ง พิจารณาด้วยสติปัญญาให้ทันท่วงที ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราตั้งมั่นแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มทุกอิริยาบถ ผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องฝึกตั้งแต่ตื่นขึ้น รู้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ความรู้ตัวจะลุก จะก้าว จะเดิน กายเคลื่อนไหวตั้งแต่ก้าวแรก
ตื่นขึ้นมารู้ลมหายใจตั้งแต่กายยังไม่ลุกจากที่ รู้ตัวแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ความปกติของใจ การก่อตัวของใจ รู้จักควบคุม การก่อตัวของขันธ์ห้าเขาก่อตัวอย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจะไปฝึกเฉพาะเวลาตั้งใจฝึก อันนั้นมันยังไม่ใช่ ต้องรู้ตัวทุกขณะ ความรู้ตัวเราพลั้งเผลอเริ่มใหม่ เริ่มอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ทำความเข้าใจกับคำว่าปัจจุบันธรรมให้ได้ให้ชัดเจน
ใจเกิดความอยาก การปรุงการแต่งนิดเดียว แล้วก็หยุด เห็นอาการของใจ อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม อันนี้ส่วนของสมมติโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจของเรา ส่วนมากก็ไปโทษ ไปโทษภายนอกว่าเขามารบกวนเรา เสียงก็มารบกวน รูปก็มารบกวน ที่ไหนได้ใจของเราส่งออกไปรับเอา ไม่รับรู้อยู่ภายใน อะไรมันขาดตกบกพร่อง เราก็พยายามสร้างขึ้นมา ความเกียจคร้านของเรามี เราพยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความเสียสละ สร้างความรับผิดชอบ ทำความเข้าใจจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นรับผิดชอบ รับผิดชอบส่วนตัวเราก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม จนล้นออกไปทั่ว เท่าที่กำลังสติปัญญาของเราจะล้นออกไป ต้องพยายามกัน
เมื่อวานนี้พายุก็ลมแรง แรงมากนะพัดต้นไม้กิ่งไม้หักไปเยอะ ช่วยกันเก็บช่วยกันดูแล พายุรุนแรงแล้วก็เหตุเภทภัยก็รุนแรง หลายประเทศ หลายประเทศเห็นว่าแผ่นดินถล่มก็ตายกันไปหลายร้อย ทั้งจีน ทั้งพายุ ทั้งไอ้แผ่นดินถล่ม ทั้งตึกถล่ม เห็นข่าวกัน ตายไปหลายร้อยหลายพัน นั่นแหละมันเป็นเหตุ เหตุเภทภัยธรรมชาติ แต่คนเราไม่มีเหตุก็ฆ่ากันตีกัน ยิงกันถล่มกัน ประเทศไทยเราทางภาคใต้เห็นวางระเบิดกัน ตายกันไปแทบทุกวัน เพราะว่าความหลงความหลง แล้วก็ยกให้เป็นกรรม บางทีอาจจะไม่มีกรรมต่อกันในปัจจุบัน อาจจะเคยมีกรรมต่อกัน เคยฆ่ากันตีกันตั้งแต่ภพก่อนๆ มา เขามาเจอกัน ตีกันอีกฆ่ากันอีก ก็ยกให้เป็นกรรม ไม่ฆ่ามันก็จะตายอยู่แล้ว แทนที่จะฆ่ากิเลสภายใน กลับไม่ฆ่า กลับไปฆ่ากันตีกัน ยกให้เป็นกรรมของเขา ถ้าไม่มีกรรมต่อกัน ไปอยู่ด้วยกันก็ทำอะไรกันไม่ได้
พระพุทธองค์ถึงยกให้เป็นกรรม มองให้เห็นเป็นกรรม แต่กรรมภายในที่เกิดจากใจของเรานี่ต้องพยายามทำความเข้าใจ ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจของเราถึงเกิด ขันธ์ห้าทำไมมาปรุงแต่งใจ หลงภายในแล้วก็หลงไปหมด ถ้าแยกแยะภายในได้ก็ละวางได้หมด ทีนี้เราจะละได้เด็ดขาดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ร่างกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ประกอบด้วยมาอะไรบ้าง ทำไมขันธ์ห้าถึงเป็นของหนักที่ท่านเจ้าคุณพาสวดพาท่องอยู่ขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้อ หนักเน้ออยู่อย่างนี้ ขันธ์ห้ามันมีอะไรบ้าง แจงออกไปสิ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง เรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่องกุศลอกุศล มีหลายเรื่อง
เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องกันสัก 3 นาที มันก็เลยรู้ไม่ทัน เอาตั้งแต่ปัญญาของโลกียะเข้าไปตัดสิน เข้าไปคิดเอา คิดเอาแล้วก็ส่งเสริม มันก็อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ ในหลักธรรมแล้วก็ต้องเจริญสติเข้าไปแยกไปคลายไปละออกให้มันหมด ปัญญาเป็นตัวเกิดทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง พยายามทำของยากให้เป็นของง่าย ส่วนมากจะทำของยากง่ายให้เป็นของยาก ก็เลยไม่ถึงฝั่งสักที มีตั้งแต่เลาะเลียบชายฝั่ง ก้าวข้ามไม่ถึงฝั่ง
เพียงแค่สมมติก็ยังไม่รู้จักทำความเข้าใจ เอาแต่งอมืองอเท้าเกียจคร้าน สมมติก็เลยไม่น่าอยู่ ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ยังไม่รู้จัก แสวงหาตั้งแต่ธรรมชาติแต่ไม่รู้จักธรรมชาติ ความเป็นระเบียบจากข้างในก็ออกข้างนอก พระพุทธองค์ท่านถึงได้ตั้งกฎตั้งข้อตั้งระเบียบเอาไว้ เรียกว่า วินัย เพื่อความเป็นระเบียบ เพื่อความสวยงามของหมู่ของคณะ เพื่อกำจัดกิเลส
ศีล วินัยต่างๆ ก็เพื่อที่จะกำจัดกิเลสหยาบกำจัดกิเลสละเอียด ก็เพื่อความสวยความงาม ถ้าไม่เข้าใจก็ไปหลงไปยึด ไปถือสีลัพพตปรามาสถือศีลงมงาย ไม่รู้จักศีล ถ้าเราเข้าใจเราก็เคารพศีลเพื่อความสวยความงาม ความเป็นระเบียบของหมู่ของคณะ ด้วยการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นสังคม ถ้าไม่เข้าใจก็หลงงมงายยึดถือแต่เปลือกกระพี้ แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็เคารพ ทำหน้าที่ ต้นไม้ก็อาศัยทั้งเปลือกทั้งกระพี้ถึงจะรักษาแก่นได้ คนเราไม่เคารพสมมติ สมมติก็วุ่นวาย
ท่านถึงได้วางระบบระเบียบเอาไว้เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ท่านก็คอยเพ่งโทษคอยนั่นเพื่อที่จะให้ระวัง จะลุกจะก้าว จะเดินจะนั่ง จะพูดจะจา ถ้าพูดไม่ดีก็ผิด จะลุก จะก้าว จะเดิน ไม่ระมัดระวังก็ผิด จะขบจะฉันก็ผิด พระเรานี้ต้องสำรวมให้มากๆ เวลาไปไหนมาไหนก็มีผ้าติดตัว เวลาแขกญาติโยมถวายของก็ให้เอาผ้ารับ มีผ้ารับ มีผ้าอาสนะ ผ้าปูนั่งปูนอน ต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ตลอดเวลา สมมติก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทางด้านวิมุตติมันจะไปรู้อะไรเรื่องอะไร เพียงแค่สมมติก็ความรับผิดชอบก็ไม่มี มันก็เลยยากที่จะให้ขัดเกลาตัวภายในได้เด็ดขาด แต่ก็ยังให้อยู่ในกรอบ อย่าไปนอกลู่ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าใช้ตัวเองไม่ได้ บอกตัวเองไม่ได้แล้วอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน เสียเวลาเปล่า
คนเราถ้าจะเอาแล้วฟังนิดเดียว การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การละกิเลส การควบคุมจิต ควบคุมกาย ควบคุมวาจา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ไปจัดการภายในของตัวเรา อะไรควรหรือไม่ควรอะไร เหมาะหรือไม่เหมาะ สมควรหรือไม่สมควร เมื่อคืนวานนี้ ไม่รู้ว่าใคร โยมผู้หญิงมาจากไหน ไปเดินนั่นนะเดินจงกรมอยู่บนอาสน์สงฆ์ ไม่รู้ควรหรือไม่ควร ที่ไหนมันควร ที่ไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา ถ้าเราเข้าใจเราดูที่ใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมานะ ตื่นขึ้นมารีบรู้ใจ รู้จักควบคุมใจควบคุมอารมณ์ รู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม ยิ่งเจริญสติไปมากเท่าไร ใจมันก็ยิ่ง เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน จนกว่าเขาจะคลายออกจากความคิด คลายออกจากอารมณ์
เพียงแค่แยกแค่คลายนั้นก็เพียงแค่มองเห็นทางนิดเดียวเท่านั้น การละ การดับ การขัดเกลากิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีกเยอะแยะที่จะตามมา ไม่ใช่ว่าฟังปุ๊บมันได้ปั๊บ ส่วนมากก็มีตั้งแต่เอาแต่ฟัง แต่การรู้ฐาน การละการดับมันไม่มี เอาแต่คุยกัน ได้คุยกันแล้วมันสนุกสนาน เสียเวลาเปล่า พระเราก็เหมือนกัน เอาการงานเป็นการปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังให้เกิดประโยชน์ ให้เอื้อเฟื้ออำนวยให้กายสมมติได้มีความสุข อุตส่าห์พยายามทำให้ทุกอย่าง ทั้งกาลทั้งเวลาที่ผ่านมา อาหารตาธรรมชาติ ทั้งปลูกต้นไม้ดูแลต้นไม้ทุกตารางนิ้ว ทั้งความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ไม่อยากจะไม่ให้ลำบาก อยากจะให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ สารพัดอย่าง ยังจะพากันมาเกียจคร้าน ขวางหูขวางตา ดูแล้วก็น่าสงสาร อะไรที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้พยายามรีบทำ
คนทั่วไปอยากจะหาตั้งแต่ความสุข แต่ไม่รู้สาเหตุ ความทุกข์เกิดขึ้นที่ไหนก็ดับมันที่นั่นแหละ เราดับทุกข์ได้ เราไม่ต้องการความสุขมันก็ได้เองนั่นแหละ เราขัดเกลากิเลสความอยากออกหมด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์มันก็ได้เองนั่นแหละ ไม่เอาทั้งสองอย่างนะทั้งทุกข์ทั้งสุข แต่เราก็ได้สุขเองนั่นแหละ ถ้าเราดับได้ละได้ การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ทางสมมติเรามีโอกาสได้มาสร้างร่วมกัน บุญระดับสมมติเราก็ทำ บุญระดับวิมุตติเราต้องขัดเกลากิเลส คลายความหลงให้ได้ทุกอย่างให้เต็มเปี่ยม ขณะที่กำลังกายยังแข็งแรง
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน รู้ให้ต่อเนื่องกันสักนิดก็ยังดี ใจของเราก็จะได้พักผ่อน กายของเราก็จะได้พักผ่อน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น เราพยายามทำบ่อยๆ แล้วก็พยายามหัดสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจบ่อยๆ ช่วงใหม่ๆ หรือว่าความไม่เคยชินจะพลั้งเผลอ แค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องไม่พลั้งเผลอ ตรงนี้เราก็ขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ แต่การเกิดของใจนั้นมีตลอด การเกิดของขันธ์ห้ากับใจเขารวมกันนั้นมีตลอด เพราะว่าตรงนี้มีกันทุกคน ถ้าใจไม่เกิด ถ้าไม่มีความหลงเขาก็ไม่เกิด เขาหลงเขาถึงเกิด เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ ในภพมนุษย์นี่มีขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ ถ้ากำลังสติของเราแยกไม่ได้ ตามดู รู้เห็นความเป็นจริงไม่ได้ทุกเรื่อง ใจเขาก็ไม่ยอมวางง่ายๆ เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะทำปุ๊บมันได้ปั๊บ กำลังสติปัญญาของเราต้องต่อเนื่อง รู้ด้วย เห็นด้วย แยกแยะได้ด้วย รู้จักลักษณะหน้าตาอาการของจิตของวิญญาณ อาการของความคิด แล้วรู้จักละกิเลส เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทนทุกเรื่อง
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ไปโต้เถียงคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้เลย ต้องรู้ด้วย เห็นด้วย ให้หมดความสงสัย ท่านบอกว่าเดินอย่างนี้ ทำอย่างนี้ รู้เห็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ท่านถึงบัญญัติเอาไว้ว่าขันธ์ห้าของเรานี้มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แล้วกิเลสหยาบกิเลสละเอียด แยกรูปแยกนาม เข้าสู่หลักของอริยสัจ จนกว่าจะเข้าใจคำว่าอัตตาอนัตตา รู้เห็นความเป็นจริง ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เข้าสู่ความว่าง หน่วงเหนี่ยวความว่างเอาไว้เป็นอารมณ์
ทุกสิ่งทุกอย่างมีขั้นตอนหมดเลย เหมือนกับเราขึ้นตัวเรือน เราจะต้องอาศัยบันได บันไดต้อง 9 ขั้น 10 ขั้น ขึ้นถึงตัวเรือน เราจะไปกระโดดข้ามถึงตัวเรือนก็ไม่ได้ เราก็ทำความเข้าใจ แต่เขาก็เป็นลูกโซ่ในทางเส้นเดียวกัน ถ้าเข้าถึงตัวเรือนแล้วก็กำจัดกิเลสภายในตัวเรือนอีก ปัดกวาดทำความสะอาดอีก เราจะลงมาบนพื้นเราก็ลงมาด้วยสติด้วยปัญญา จนกว่าธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ ถ้าเราศึกษาให้ดีๆ จะเห็นอะไรดีๆ เยอะอยู่ในกายของเรา เราพยายามหมั่นสร้างตบะสร้างบารมี ถ้าอานิสงส์บุญบารมีของเราเต็ม อยู่คนเดียวเราก็เข้าใจ อยู่หลายคนเราก็เข้าใจ ขอให้เราทำให้ถูกวิธีถูกแนวทางเถอะ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าเอาทิฏฐิมานะ ความคิดเห็นด้วยอำนาจของกิเลสเข้ามาปิดกันตัวเอง
จงเจริญสติ แล้วก็เจริญพรหมวิหาร เห็นการเกิดการดับ รู้ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส รู้ลักษณะของใจที่ไม่เกิด เรารู้อยู่เฉพาะอยู่ในภาพรวม แต่เรายังแจงไม่ออก ยังแยกไม่ออก เพราะว่าสิ่งพวกนี้เป็นของละเอียดอ่อนมากทีเดียว กำลังสติปัญญาของเราต้องแหลมคมเร็วไว หาเหตุหาผล กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งเหมือนกัน กำลังสติของเรามีมากเท่าไรก็ไปเผาผลาญกิเลสของเรา มันยิ่งเต้นดิ้นเร่าร้อนมากมายขึ้นเป็นทวีคูณ จนกว่ามันจะยอมรับความเป็นจริง จนกว่ามันจะแยกแยะได้ วางได้ ยอมรับความเป็นจริงได้ สงบลงได้นั่นแหละ
แม้แต่การเกิดของใจ ละกิเลสออกหมด เราก็ดับความเกิดจนเขาไม่เกิดอีก จนวางอีกให้เป็นอิสรภาพอีก จนเหลือตั้งแต่กำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่องถึงจะอยู่อย่างมีความสงบความสุข แม้แต่หมดจดแล้วเราก็ยังสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมอีก ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีโอกาส โอกาสเปิดให้เราเต็มที่ สถานที่เปิดให้เราเต็มที่ มันยากที่จะได้เกิดมาในอัตภาพของมนุษย์ แล้วก็ยากที่จะได้เกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ยากที่จะได้ฝักใฝ่ ยากที่จะได้สนใจ ยากที่จะได้เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเราฝักใฝ่เราสนใจ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้รับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เตือน แค่เล่าให้ฟัง แค่เพียงกระตุ้นเท่านั้นนะ