หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 68

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 68
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 68
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 68
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 มิถุนายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน แต่ละวันๆเราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง การทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา การดำเนินชีวิตของเรา สมมติก็ให้บริบูรณ์ ถึงมีไม่มากก็ไม่ให้ลำบาก ทางด้านจิตใจก็เจริญสติปัญญาเข้าไปทำความเข้าใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเนาะ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นยังไง ใจที่เป็นบุญเป็นอย่างไร ใจที่เป็นกุศลเป็นอย่างไร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เราก็ต้องทำความเข้าใจ วิเคราะห์กับชีวิตของเรา แล้วก็การกระทำเราก็ต้องถึงพร้อม

แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียร เพียงแค่ขยันหมั่นเพียรยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ อันนี้ก็ยังลำบากอยู่ ยังยากอยู่ บางคนก็มีพร้อม บางท่านก็ไม่พร้อม บางท่านก็พร้อมสมมติแต่ไม่พร้อมวิมุตติ บางท่านก็พร้อมทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ได้อันหนึ่ง เสียอันหนึ่ง บางคนบางท่านก็ประคับประคองทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเราทำความเข้าใจ เขาก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน เราจะทำความเห็นให้ถูกต้องที่ใจของเราหรือไม่เท่านั้นเอง ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชีก็ขยันหมั่นเพียรกัน

ก็ขอขอบใจกันทุกคน ท่านฆราวาสญาติโยมมาช่วยกัน อะไรไม่ดีเราก็แก้ไขเสีย ทำให้มันดี อย่าไปเกียจคร้าน ยิ่งคนอยู่วัด มาอยู่วัดด้วยกันแล้วก็ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีก็พากันขยันหมั่นเพียร อย่าพากันเกียจคร้าน จากความไม่มีก็ทำให้มีให้เกิดขึ้น ให้ได้เกิดประโยชน์มากมาย ก็จะเป็นทรัพย์ติดตามตัวเราไป ถ้าเราเกียจคร้านก็เป็นทรัพย์ ติดตามตัวเราไป งอมืองอเท้า ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ตกต่ำ ถ้าคนเกียจคร้านถ้าคนขยันหมั่นเพียร รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุง ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม มันก็จะเต็มรอบไปเรื่อยๆ จนล้นจนเหลือ

หลวงพ่อก็มีโอกาสได้พาทำ พาเป็นสะพาน เป็นทางผ่าน พาทำบุญกับทุกคน ให้กับทุกคน ให้ทุกอย่างเท่าที่โอกาสอำนวย ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงตาย ก็ได้อนุเคราะห์ฝากไว้ให้ ทั้งอนามัย โรงพยาบาล อนุบาล ก็ช่วยเหลือหมด เท่าที่โอกาสกาลเวลา เท่าที่ทุนทรัพย์มี อะไรไม่ดีเราก็ช่วยกัน แก้ไขภายในด้วย ยังประโยชน์สมมติภายนอกด้วย ให้เกิดประโยชน์ หลวงพ่อก็ขอบคุณทุกคน ทั้งเหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาทั้งหลายที่มาช่วยเหลือกัน แหล่งบุญอยู่ที่ไหนมนุษย์เทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมาที่นั่นก็เป็นธรรมดา เพราะว่าทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น ก็ต้องสร้างสะสมบุญ บุญภายนอกเราก็ทำ บุญภายใน การชำระกิเลสเราก็ทำ เราก็ละ ถ้าเราละกิเลสไม่ได้ เราก็คงเข้ามาวัดไม่ได้ เราก็วางภาระหน้าที่การงาน วางสมมติได้ชั่วครั้งชั่วคราว เข้ามาวัด

อยากจะให้เห็นความจริงได้อีก เราก็รู้จักการเจริญสติ รู้จักทำความเข้าใจ จนกว่าใจของเราจะคลายความหลง ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม คลายความหลง พลิกจากสมมติมาหาวิมุตติ แล้วก็ละกิเลสออกให้หมดจด ดับความเกิดของตัวจิตตัววิญญาณอีก แล้ววางให้เป็นอิสระอีก มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

ก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางตรงนั้น อานิสงส์บุญบารมีของเราก็ต้องเต็ม ความขยันหมั่นเพียรของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ การละความตระหนี่เหนียวแน่นของเรามีหรือไม่ เรามีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเราเอง เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เราไม่เข้าใจแนวทาง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็มาเปิดเผย แล้วก็ชี้แนะ พวกท่านจะพากันไปฝึกไปทำหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกท่านเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลวงพ่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่านเจ้าคุณ มีโอกาสก็เพียงแค่ชี้แนะแนวทางให้

ความอยากทุกเรื่อง อยาก อยากคิด อยากมี อยากเป็น อยากไป ในหลักธรรม ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ท่านก็ให้ละหมด ให้ดับหมด เปลี่ยนเป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนพวกท่านจงพากันไปศึกษาดู ก็จะได้เห็นความจริงของชีวิต ทำไมเราถึงลำบาก ทำไมเราถึงไม่มีความพร้อม มันเป็นเพราะวิบากอะไร เราต้องทำความเข้าใจกับกรรม กรรมก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม การกระทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา อะไรคือรูป อะไรคือนาม เราก็จะเห็นชัดเจน

มีโอกาสมา หลวงพ่อจะพาสร้างอานิสงส์สร้างบารมีใจ ฝากเอาไว้ เป็นสะพานเป็นทางผ่านพาทำ ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ถ้าไม่ถึงก็ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่เราวางรากฐานเอาไว้ดี

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เรื่องทุกเรื่องหยุดเอาไว้เสียก่อน ถึงเราปล่อยเราวางไม่ได้ เราละไม่ได้เด็ดขาดก็หยุดเอาไว้ เรามาทำความเข้าใจกับการหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก

ลองสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจ ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ เราพยายามหัดสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง บางทีก็อึดอัดบ้าง บางทีก็หายใจยาว บางทีก็หายใจเข้าสั้น บางทีก็หน้าท้องก็แน่น บางทีสมองก็ตึง เราก็พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ หายใจอย่างไรถึงเป็นธรรมชาติที่สุด หายใจอย่างไร ความรู้สึกถึงจะเด่นชัด เราพยายามเพิ่มความเพียร เราไม่เข้าใจ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียร ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จนกว่ากำลังสติของเราต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘มหาสติ’ มีมากขึ้นจากหนึ่งครั้ง สองครั้ง จนรู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ จนเอาไปสังเกต เอาไปวิเคราะห์ จนรู้เท่าทันการเกิดของตัววิญญาณในกายของเรา หรือว่าใจของเรา อันนั้นเอาไว้ทีหลัง

เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะเข้าไปเห็นอะไรอีกเยอะมากมายในกายของเรา ว่ากายของเรานี้ ขันธ์ห้าของเรานี้มีอะไรบ้าง ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ลักษณะของวิญญาณ หรือว่าลักษณะของความว่าง ใจที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นลักษณะอย่างไร กายวิเวกเป็นลักษณะอย่างไร ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างไร ทวารทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขาทำหน้าที่อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ชัดเจนที่ต่อเนื่อง เราก็จะเห็นรายละเอียดอีกเยอะ อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เราก็จะเห็นอาการของความคิด ส่วนกายนี่ก็เป็นกองของรูป เขามีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ถ้ากำลังสติปัญญาของเราไม่เร็วไว หาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผลให้เห็นความเป็นจริงไม่ได้ทุกเรื่อง ใจเขาก็ไม่ยอมปล่อยยอมวางเหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน ขันธ์ห้าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาก็มีกับใจมานาน เราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัว หาเหตุหาผล ชี้ตามทำความเข้าใจจนหมด ใจของเราหมดความสงสัย หมดความลังเล นั่นแหละเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง ถ้าใจเกิดกิเลสเราก็พยายามมาละ กิเลสอีก ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มันหลายชั้นจริงๆ

สมมติภายนอกเรายังแก้ไขไม่ตก มันก็เลยคลายภายในได้ยาก เพียงแค่สมมตินะ สมมติโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อันโน้นก็ไม่พร้อม อันนี้ก็ไม่พร้อม อันนี้ยังขาดตกบกพร่องอยู่ กิเลสจากภายนอก เหตุจากภายใน ตรงนั้นมันก็อาจจะมีความพร้อมอยู่บ้างเล็กน้อย บางคนบางท่านก็หาสมมติมาทับถมดวงใจของตัวเอง แล้วก็กิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเองอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก เราต้องหมั่นละ หมั่นคลาย หมั่นเอาออก มองโลกในทางที่ดี ให้อภัยทาน อโหสิกรรม รู้จักขัดเกลา รู้จักสร้างความรับผิดชอบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เราเกิดมาอย่างไร ไปอย่างไร

เราต้องเจริญสติเข้าไปรู้ฐานใจของเราให้ชัดเจน รู้ตัวใจให้ชัดเจน ถ้าจะจับขโมยต้องรู้จักตัวขโมย ไม่ใช่ว่าไปวิ่งเที่ยวจับตั้งแต่อากาศ เราต้องรู้ฐานของใจ รู้ตัววิญญาณจริงๆ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนวิญญาณของเราจริงๆ ถึงจะเอาอยู่ ความจริงมีอยู่ สัจจะธรรมมีอยู่ คำสอนของพระพุทธองค์มีอยู่ วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี ภพหน้ามี แต่เวลานี้เราอยู่ในภพของมนุษย์ เราพยายามหมั่นสร้างคุณงามความดีเท่าที่โอกาสอำนวยให้ กาลเวลาอำนวยให้ เท่าที่ความพร้อมของเรามี จนกว่าจะเข้าถึงความสะอาดของบริสุทธิ์ของใจของเรา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึง อย่าพากันทิ้ง

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง