หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 57

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 57
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 57
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2566 ลำดับที่ 57
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 เมษายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้ตัว สร้างความรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน ถ้าบุคคลใดมีความฝักใฝ่ย่อมสนใจในตัวเอง ไม่ปล่อยเวลาทิ้งทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอกจากนอนหลับ

การสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็เน้นลงอยู่ที่กายของเรา รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก หรือว่าเวลาลุก เวลาก้าว เวลาเดิน ความรู้สึกอยู่ที่การเดิน ทำความเข้าใจกับคำว่าปัจจุบันธรรมทุกขณะ ลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต จนรู้ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ เวลาใจก่อตัว เวลาใจเกิด เรารู้จักควบคุมใจของเรา เวลาความคิดหรือว่าอาการขันธ์ห้ามีกันทุกคนผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ตัวนี้แหละโมหะอย่างลุ่มลึกคลายยาก ถ้าบุคคลไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่อง แล้วก็เร็วไว เป็นคนหัดช่างสังเกต หัดรู้เท่าทันว่าการเกิดของวิญญาณในขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม

เราพยายามแก้ไขปรับปรุงใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ถ้ากำลังสติที่เราสร้างขึ้นมาไม่เข้มแข็ง ไม่ต่อเนื่องก็ยากที่จะไปสอนใจของเราได้ เพราะว่าความคิดที่เกิดจากใจ ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้าเขามีมานาน เขาหลงเกิดมานาน เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด ทีนี้เกิด เขาเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อ มีหนังมาห่อหุ้ม ซึ่งเป็นส่วนรูป สวนนามธรรมอีก 4 อย่าง ตัววิญญาณตัวสุดท้าย เราต้องเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนหมั่นอบรม หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หัดสังเกตดู สังเกตดูพฤติกรรมของใจหรือว่าตัววิญญาณของเรา มีความแข็งกระด้าง มีความอิจฉาริษยา มีการปรุงแต่ง หรือว่ามีความอ่อนโยน อ่อนน้อมอย่างไร เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดสังเกต ปรับสภาพใจของเรา

ถ้าใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการเอาออกด้วยการให้ ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธให้ได้เสียก่อน แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม จัดระบบของความคิดของอารมณ์โดยที่ต้องคลายใจของเราออกรับรู้ให้ได้เสียก่อน พยายามอย่าไปปล่อยเวลาทิ้งทุกลมหายใจเข้าออก ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสแล้วก็พยายามศึกษาค้นคว้า ทำไมเราถึงลำบาก ทำไมเราถึงไม่มีความพร้อม เป็นเพราะสาเหตุอะไร เราต้องหัดวิเคราะห์ อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณของเรา ทำความเข้าใจกับกายของเรา แล้วก็ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ทำความเข้าใจกับโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เหตุของสมมติก็มี เหตุของวิมุตติก็มี เหตุอยู่ในกายของเรานี่แหละ ซึ่งเป็นตัวจิตตัววิญญาณมาก่อร่างสร้างภพขึ้นมา แล้วก็ปิดบังอำพรางตัวเองมาตลอด เข้าข้างตัวเองมาตลอด นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเรา แล้วก็หมั่นอบรมใจของเรา หาเหตุหาผลให้รู้ ใจของเรารู้แจ้ง เห็นจริงหมดความสงสัย นั่นแหละเขาถึงจะปล่อยจะวางได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะปล่อยจะวางได้ง่ายๆ เลย เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างตบะสร้างบารมี เป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องศึกษาตัวเอง ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น

พระพุทธองค์ท่านก็ได้ค้นพบแนวทางเอาไว้ให้หมดแล้ว การค้นคว้า การทำความเข้าใจ ท่านก็ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้หมดแล้ว การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การสังเกตการแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้นะ การละกิเลส การหาวิธี หาอุบายหาแนวทางในการชำระสะสางกิเลสให้ออกจากจิตใจของเรา ท่านก็บ่งบอกเอาไว้หมดแล้ว การสังเกต การวิเคราะห์ ถ้าจิตของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง

กำลังสติของเราต้องตามค้นคว้าให้ได้ละเอียดทุกเรื่อง แล้วก็ให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริง รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย เข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง แล้วก็ละกิเลส ตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่ใจก่อตัวอย่างไรเราก็ดับละไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดเหือดแห้งไปเรื่อยๆ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดซึ่งฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของเรา ถ้าเราจะเจริญสติให้มากเท่าไหร่ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน ฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศลก็จะเยอะกว่ากัน เราก็ต้องพยายาม ถ้าฝ่ายกุศล ฝ่ายจะเจริญสติ หรือว่าฝ่ายพรหมวิหาร ฝ่ายบารมีของเรามีเยอะ ใจของเราก็จะคลายได้เร็วได้ไว

พยายามอย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งวัด พยายามทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระโยมบ่อยๆ ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติตัวใจของเรา แล้วก็ดับความเกิดจากใจของเรา ละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด หลวงพ่อก็เอาเพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

บุคคลที่มีบุญฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้นะ ลักษณะของใจที่ไม่เกิด ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลส กายวิเวก ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ อยู่คนเดียวก็หมั่นวิเคราะห์ใจวิเคราะห์กายของตัวเราทุกเรื่อง ตาของเราทำหน้าที่ดู หูของเราทำหน้าที่ฟัง เรารู้จักจำแนกแจกแจงแยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากตัวจิตของเรา ทวารทั้งหกก็ทำหน้าที่ของเขา

ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง แต่จุดหมายปลายทาง ขอให้เรารู้ต้นเหตุให้ได้เสียก่อน รู้ฐานของใจให้ได้เสียก่อน แยกแยะออกให้ได้เสียก่อน กำลังสติของเราก็จะตามค้นคว้า แล้วก็ละ ยิ่งค้นเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ไม่ใช่จะไปปล่อยปละละเลย เพียงแค่การเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว ก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ตัวใจของเรา อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา เพียงแค่ตัวใหญ่ๆ ก็ยังจัดการเอาไม่อยู่ สติก็ยังไม่สร้างให้มันต่อเนื่อง มันจะไปได้ยังไงล่ะ ก็ต้องพยายามนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงแค่นี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง