หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 109
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 109
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 109
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 กันยายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราสักพักสักระยะหนึ่ง ถึงเราทำไม่ได้ตลอด นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก วิธีการเจริญสติ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เวลาหายใจเข้ามีความรู้รับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้รับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
เพียงแค่มีสติรู้อยู่ที่กายอยู่ที่การหายใจเข้าออก อยู่ปัจจุบันธรรม เวลาหายใจเข้าหายใจออกถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง กำลังสติความรู้ตัวของเราก็จะเข้มแข็งขึ้น ก็จะรู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้ลักษณะของใจหรือว่าวิญญาณในกายของเรา รู้ลักษณะอาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา อันนั้นเอาไว้ที่หลังเถอะ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องสักนาที 2 นาทีนี้ก็ยังลำบากอยู่ ไอ้เรื่องที่จะไปรู้การก่อตัวตั้งแต่ต้นเหตุของใจมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว คิดก็รู้ ทำก็รู้ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ ตัววิญญาณเกิดเป็นตัวบงการตลอดเวลา ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดมาบงการอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้เรื่องเลย เราก็รู้เรื่องอยู่ในระดับของปัญญาของสมมติของโลกีย์
ปัญญาในทางธรรม เราต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน มีศรัทธา มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม แล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องอัตตาอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สอนเรื่องการดับทุกข์ การละทุกข์ และก็สอนวิธีการดำเนิน นี่แหละ ตรงนี้แหละวิธีการเจริญสติลงอยู่ที่กายของตัวเราเองนี่แหละ หายใจก็หายใจมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยจะสนใจ เวลาจะดูทีหายใจอึดอัด บางทีก็ สมองก็ตึง กายก็อึดอัด เพราะว่าเราขาดความเคยชินในการสังเกต ในการวิเคราะห์
การทำบุญ การฝักใฝ่ การสนใจในระดับของสมมติทุกคนมีกันมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย จะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญของแต่ละบุคคล เราอยากรู้ความจริง เราก็ต้องดำเนินตามคำสอนของท่าน ท่านชี้แนะ ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็ปฏิบัติตามให้รู้ให้เห็นเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ อย่างที่ท่านบอกว่าไม่ให้ทำด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต แล้วก็วิธีการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด อยากจะรู้ชีวิตของตัวเรา เราก็ต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าวิ่งไปหาที่โน่นหาที่นี่ เราต้องหาลงที่กายของเรา เราไปที่นู่นที่นี่ก็เพื่อเป็นไปแสวงหาวิธีหาแนวทาง ถ้าเราเข้าใจแล้ว กลางวันกลางคืนก็เหมือนกันหมด ความเพียรมีตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าไปนุ่งขาวห่มขาว นั่งหลับตา ไปเดินย่องๆ แย่งๆ อันนั้นเป็นแค่เพียงพิธีรีตอง
เราต้องรู้ฐานของใจของเราตลอดเวลา ใจเกิดตรงไหน เราดับอย่างไร เราทำความเข้าใจได้อย่างไร ทุกอิริยาบถ ดู รู้ อันนี้ลักษณะของสติ กำลังสติของเรารู้เท่าทัน ตามทำความเข้าใจได้ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ มันถึงจะถูก แล้วก็เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้าน มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยากด้วยอำนาจของกิเลส
การฝึกหัดปฏิบัติ เราต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างทุกเรื่อง แล้วก็ค่อยละ จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ไปทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจกับปัญญาวิมุตติปัญญาสมมติ โลกธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน กายของเราเป็นก้อนโลก ใจของเราถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ละกิเลสไม่ได้มันก็ยังเป็นโลกอยู่ ยังวิ่งยังเกิดอยู่ เพียงแค่การเกิดนั้นมันก็หลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มันปิดกั้นห่อหุ้มเอาไว้มากมาย ตัววิญญาณก็ปิดกั้นตัวมันเอง มันเกิด มันคิดหาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวมันเอง แต่มันก็หาเหตุหาผล แล้วก็สร้างเหตุสร้างผล คือกายเนื้อขันธ์ห้าของตัวเองนี่แหละมาปิดกั้นตัวเอง เพียงแค่เรื่องกายของเรา เราก็ยังไม่เข้าใจก็เอาแสวงหาภายนอกมาปกปิดอีก เราต้องพยายามทำความเข้าใจ แล้วก็สร้างตบะ สร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้น
เรามีความตระหนี่ เราก็ละความตระหนี่ เรามีความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการเอาออก ด้วยการให้ เจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ขยันหมั่นเพียรลงไป สักเวลาหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง รู้เห็นความเป็นจริงภายในของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล อยู่กับโลกก็ไม่ให้โลกเข้าครอบงำ อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ทุกสิ่งก็ล้วนแต่เป็นของสมมติ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ สมมติว่าเป็นโน่นนเป็นนี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถึงวาระเวลาก็ต้องแตกดับ แต่ตัววิญญาณนั้น ถ้ายังดับความเกิดไม่ได้ ก็ต้องไปต่อตามวิบากของกรรมที่ได้สร้างมาเอาไว้
เราก็ต้องพยายามละอกุศล เจริญกุศล ให้มีให้เกิดขึ้น ตราบใดที่ใจยังดับความเกิดไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมไปชี อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเรา เราพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตัวน้อยๆ นี่แหละ ครูอาจารย์พาโน่นลูกหลานมาเข้ามานอนวัด ดีอกดีใจ ได้ไปที่โนนได้ไปที่นี่ นี่เป็นการสร้างสะสมทรัพย์ภายในไว้ให้เด็ก ที่บ้านก็พ่อแม่ก็หล่อหลอมมาเสียก่อนแล้วก็มาส่งมาถึงครู ครูก็แสวงหาแนวทางพาลูกศิษย์ลูกหาไปที่โน่นที่นี่ เป็นการสร้างหาประสบการณ์
เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เราจะเร่งให้ออกดอกออกผลวันแรกก็ไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นดูแลประคบประหงมให้ถูกทาง ให้น้ำให้ปุ๋ย ถึงวาระเวลาเติบโตขึ้น จากวันเป็นเดือนเป็นปี ถ้าเติบโตเต็มที่เขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ได้ การอบรมก็เหมือนกัน อบรมมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่มีศรัทธาพาลูกเข้าวัด ทำบุญให้ทาน มีพรหมวิหาร ขยันหมั่นเพียร ก็ติด ฝึกเป็นนิสัยของเด็กมา ก็จะเจริญเติบโตขึ้นไป ถึงเวลาเดินปัญญาได้ก็ต้องเดินปัญญา
อยากจะให้ลูกได้ดี เราก็ต้องมาจากพ่อจากแม่เสียก่อน ถ้าพ่อแม่บ่นให้กันทุกวัน ว่าให้กันทุกวัน ก็ไปตกทอดที่ลูก จะไปโทษใคร เอาไปยกให้ครูก็ไปโทษครูอีก เอามาวัดก็มาโทษที่หลวงปู่หลวงตาอีกว่าสอนไม่ดี ก็จากพ่อจากแม่นั่นแหละก่อน ถ้าไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเอง แล้วอย่าไปโทษคนอื่น จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา แนวทางมีอยู่ คำสอนมีอยู่ บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ย่อมฝักใฝ่ย่อมสนใจเอาไปประพฤติไปปฏิบัติ มันก็ยาก จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
ในหลักธรรมท่านให้คลายออกให้หมด แม้แต่ความเกิดท่านก็ให้ดับ ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ คนทั่วไปทั้งอยากทั้งทะเยอทะยานอยาก ทั้งสติปัญญาก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้เต็มเปี่ยม จะเอาไปรู้เท่าทันใจได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลา อาศัยการฝักใฝ่ การสนใจ การทำความเข้าใจ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกันนะ
เอาล่ะ ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 กันยายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราสักพักสักระยะหนึ่ง ถึงเราทำไม่ได้ตลอด นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก วิธีการเจริญสติ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เวลาหายใจเข้ามีความรู้รับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้รับรู้อยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
เพียงแค่มีสติรู้อยู่ที่กายอยู่ที่การหายใจเข้าออก อยู่ปัจจุบันธรรม เวลาหายใจเข้าหายใจออกถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง กำลังสติความรู้ตัวของเราก็จะเข้มแข็งขึ้น ก็จะรู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้ลักษณะของใจหรือว่าวิญญาณในกายของเรา รู้ลักษณะอาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา อันนั้นเอาไว้ที่หลังเถอะ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องสักนาที 2 นาทีนี้ก็ยังลำบากอยู่ ไอ้เรื่องที่จะไปรู้การก่อตัวตั้งแต่ต้นเหตุของใจมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว คิดก็รู้ ทำก็รู้ ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ ตัววิญญาณเกิดเป็นตัวบงการตลอดเวลา ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดมาบงการอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้เรื่องเลย เราก็รู้เรื่องอยู่ในระดับของปัญญาของสมมติของโลกีย์
ปัญญาในทางธรรม เราต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน มีศรัทธา มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม แล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องอัตตาอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สอนเรื่องการดับทุกข์ การละทุกข์ และก็สอนวิธีการดำเนิน นี่แหละ ตรงนี้แหละวิธีการเจริญสติลงอยู่ที่กายของตัวเราเองนี่แหละ หายใจก็หายใจมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยจะสนใจ เวลาจะดูทีหายใจอึดอัด บางทีก็ สมองก็ตึง กายก็อึดอัด เพราะว่าเราขาดความเคยชินในการสังเกต ในการวิเคราะห์
การทำบุญ การฝักใฝ่ การสนใจในระดับของสมมติทุกคนมีกันมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย จะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญของแต่ละบุคคล เราอยากรู้ความจริง เราก็ต้องดำเนินตามคำสอนของท่าน ท่านชี้แนะ ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็ปฏิบัติตามให้รู้ให้เห็นเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ อย่างที่ท่านบอกว่าไม่ให้ทำด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต แล้วก็วิธีการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด อยากจะรู้ชีวิตของตัวเรา เราก็ต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าวิ่งไปหาที่โน่นหาที่นี่ เราต้องหาลงที่กายของเรา เราไปที่นู่นที่นี่ก็เพื่อเป็นไปแสวงหาวิธีหาแนวทาง ถ้าเราเข้าใจแล้ว กลางวันกลางคืนก็เหมือนกันหมด ความเพียรมีตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าไปนุ่งขาวห่มขาว นั่งหลับตา ไปเดินย่องๆ แย่งๆ อันนั้นเป็นแค่เพียงพิธีรีตอง
เราต้องรู้ฐานของใจของเราตลอดเวลา ใจเกิดตรงไหน เราดับอย่างไร เราทำความเข้าใจได้อย่างไร ทุกอิริยาบถ ดู รู้ อันนี้ลักษณะของสติ กำลังสติของเรารู้เท่าทัน ตามทำความเข้าใจได้ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ มันถึงจะถูก แล้วก็เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้าน มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยากด้วยอำนาจของกิเลส
การฝึกหัดปฏิบัติ เราต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างทุกเรื่อง แล้วก็ค่อยละ จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ไปทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจกับปัญญาวิมุตติปัญญาสมมติ โลกธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน กายของเราเป็นก้อนโลก ใจของเราถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ละกิเลสไม่ได้มันก็ยังเป็นโลกอยู่ ยังวิ่งยังเกิดอยู่ เพียงแค่การเกิดนั้นมันก็หลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มันปิดกั้นห่อหุ้มเอาไว้มากมาย ตัววิญญาณก็ปิดกั้นตัวมันเอง มันเกิด มันคิดหาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวมันเอง แต่มันก็หาเหตุหาผล แล้วก็สร้างเหตุสร้างผล คือกายเนื้อขันธ์ห้าของตัวเองนี่แหละมาปิดกั้นตัวเอง เพียงแค่เรื่องกายของเรา เราก็ยังไม่เข้าใจก็เอาแสวงหาภายนอกมาปกปิดอีก เราต้องพยายามทำความเข้าใจ แล้วก็สร้างตบะ สร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้น
เรามีความตระหนี่ เราก็ละความตระหนี่ เรามีความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการเอาออก ด้วยการให้ เจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ขยันหมั่นเพียรลงไป สักเวลาหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง รู้เห็นความเป็นจริงภายในของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล อยู่กับโลกก็ไม่ให้โลกเข้าครอบงำ อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ทุกสิ่งก็ล้วนแต่เป็นของสมมติ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ สมมติว่าเป็นโน่นนเป็นนี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถึงวาระเวลาก็ต้องแตกดับ แต่ตัววิญญาณนั้น ถ้ายังดับความเกิดไม่ได้ ก็ต้องไปต่อตามวิบากของกรรมที่ได้สร้างมาเอาไว้
เราก็ต้องพยายามละอกุศล เจริญกุศล ให้มีให้เกิดขึ้น ตราบใดที่ใจยังดับความเกิดไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมไปชี อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเรา เราพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตัวน้อยๆ นี่แหละ ครูอาจารย์พาโน่นลูกหลานมาเข้ามานอนวัด ดีอกดีใจ ได้ไปที่โนนได้ไปที่นี่ นี่เป็นการสร้างสะสมทรัพย์ภายในไว้ให้เด็ก ที่บ้านก็พ่อแม่ก็หล่อหลอมมาเสียก่อนแล้วก็มาส่งมาถึงครู ครูก็แสวงหาแนวทางพาลูกศิษย์ลูกหาไปที่โน่นที่นี่ เป็นการสร้างหาประสบการณ์
เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ เราจะเร่งให้ออกดอกออกผลวันแรกก็ไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นดูแลประคบประหงมให้ถูกทาง ให้น้ำให้ปุ๋ย ถึงวาระเวลาเติบโตขึ้น จากวันเป็นเดือนเป็นปี ถ้าเติบโตเต็มที่เขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ได้ การอบรมก็เหมือนกัน อบรมมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่มีศรัทธาพาลูกเข้าวัด ทำบุญให้ทาน มีพรหมวิหาร ขยันหมั่นเพียร ก็ติด ฝึกเป็นนิสัยของเด็กมา ก็จะเจริญเติบโตขึ้นไป ถึงเวลาเดินปัญญาได้ก็ต้องเดินปัญญา
อยากจะให้ลูกได้ดี เราก็ต้องมาจากพ่อจากแม่เสียก่อน ถ้าพ่อแม่บ่นให้กันทุกวัน ว่าให้กันทุกวัน ก็ไปตกทอดที่ลูก จะไปโทษใคร เอาไปยกให้ครูก็ไปโทษครูอีก เอามาวัดก็มาโทษที่หลวงปู่หลวงตาอีกว่าสอนไม่ดี ก็จากพ่อจากแม่นั่นแหละก่อน ถ้าไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเอง แล้วอย่าไปโทษคนอื่น จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา แนวทางมีอยู่ คำสอนมีอยู่ บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ย่อมฝักใฝ่ย่อมสนใจเอาไปประพฤติไปปฏิบัติ มันก็ยาก จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
ในหลักธรรมท่านให้คลายออกให้หมด แม้แต่ความเกิดท่านก็ให้ดับ ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ คนทั่วไปทั้งอยากทั้งทะเยอทะยานอยาก ทั้งสติปัญญาก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้เต็มเปี่ยม จะเอาไปรู้เท่าทันใจได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลา อาศัยการฝักใฝ่ การสนใจ การทำความเข้าใจ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกันนะ
เอาล่ะ ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา