หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 55
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 55
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 55
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 เมษายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ได้ทำความเข้าใจกับดวงวิญญาณ หรือว่าทำความเข้าใจกับตัวใจของเราแล้วหรือยัง ว่าใจของเราปกติ ใจของเราสงบ ใจของเรามีกิเลสมากกิเลสน้อย แม้กระทั่งความคิดอารมณ์ต่างๆ พยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจ
เปิดใจให้กว้าง มองโลกในทางกว้างขวาง รับรู้ ถ้าใจของเราคับแคบ เราก็มองเห็นโลกแคบ ถ้าใจของเราเปิดกว้าง เราก็มองเห็นโลกกว้าง ได้พรหมวิหารด้วยความเมตตา รับรู้ แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ต้องมีเป้าหมายที่จะเดินทาง คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ถ้าเราแก้ไขใจของเราไม่ได้ก็ไม่มีใครที่จะแก้ไขให้ได้หรอก นอกจากตัวของเรา ส่วนแนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ด้วยการค้นพบแล้วก็เอามาจำแนกแจกวิธีอุบายแนวทางที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง
การเจริญสติ การคลายจิตออกจากความคิด การแยกรูปแยกนาม อะไรคืออัตตาอะไรคืออนัตตา ท่านให้เจริญสติลงไปมองดู รู้ที่เหตุ ให้เห็นเหตุเสียก่อน เห็นเหตุของตัวใจเสียเสียก่อนว่าเขาเกิดอย่างไร ขันธ์ห้ากับใจเขารวมกันได้อย่างไร ทำไมใจของเราถึงเป็นหลงเป็นทาสของกิเลส แม้แต่การคิด ตัวใจคิดหรือว่าใจกับขันธ์ห้ารวมปรุงแต่งส่งออกไป หรือว่ารวมกันไปหมดทั้งสติปัญญาทั้งใจทั้งขันธ์ห้า ถ้าเราจำแนกแจกแจงไม่ชัดเจนเขาจะรวมกันหมด
แม้แต่การเจริญสติ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันนี้ต้องชัดเจน การควบคุมใจต้องชัดเจน การสังเกต การวิเคราะห์จนหมั่นพร่ำสอนใจ จนใจของเรายอมรับความเป็นจริง รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้นั่นแหละ จนใจเป็นอิสระจากการเกิด จากกิเลส จากความคิด จากอารมณ์ มองเห็นความเป็นจริง เห็นต้นเหตุ รู้การดำเนิน รู้การละ รู้การดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
จิตใจของทุกคนนี้แต่ก่อนไม่มีกิเลส ความหลง หลงเกิด แล้วก็มาหลงความทะเยอทะยานยาก ความยินดียินร้ายแล้วก็มลทินต่างๆ ส่วนมากก็มลทินนี่ขัดเกลาได้ยาก มองโลกในแง่ร้าย คอยจับผิด คอยเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ อคติคนโน้นคนนี้ เพราะว่าใจของเรายังเกิด ใจของเรายังมีกิเลสอยู่ ถ้าเราไม่ดับ ไม่ละ ไม่ทำความเข้าใจ ไม่เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มันก็จะหมักหมมๆ เยอะขึ้นๆ เหมือนกับดินพอกหางหมู ขัดเกลาก็ยาก
อยู่คนเดียวก็ทุกข์อยู่คนเดียว อยู่หลายคนก็ทุกข์อยู่คนเดียว เพราะว่าใจของเรามันเป็นทุกข์ ใจของเรามันไม่ดี ถึงมองโลกในทางไม่ดี ไม่ต้องเอาที่ไหนเอาตัวใจของเราก่อน ก็จะล้นออกไปสู่คนรอบข้าง คนไหนอยู่ใกล้คนนั้นก็ไม่ดี คนโน้นก็ไม่ดี เพราะว่าใจของเราไม่ดี มันก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก เรามาจัดการกับใจของเราเสีย แก้ไขใจของเรา มองโลกในทางที่ดี จนมองเห็นเป็นปกติ ไม่มีการปรุงไม่มีการแต่ง จนมองเห็นเป็นธรรมดา จะดีหรือชั่วก็มีค่าเท่ากัน ดีก็มันก็ยังเกิดอยู่ แต่ก็เป็นฝ่ายที่นำความสุขมาให้ แต่มันก็ไม่เที่ยง ส่วนความไม่ดีก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ ไปสู่ที่มันไม่ ไม่เป็นสุข แต่มันก็ไม่เที่ยง มันก็เกิดๆ ดับๆ
ความเที่ยงก็คือนิพพาน ถ้าใจของเราเที่ยง ใจของเราไม่เกิด ใจเที่ยงนิพพานก็เที่ยง ก่อนที่จะเที่ยงได้ต้องขัดเกลากิเลส ดับความเกิด คลายความหลง หมั่นพร่ำสอนเขาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างได้นั่นแหละ เขาถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ เขาจะเป็นเองได้เอง ถ้าไม่ขัดเกลากิเลส
เพียงแค่การเกิดมาเป็นมนุษย์ และร่างกายของมนุษย์ ขันธ์ห้าของมนุษย์ก็มาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมดแล้วแหละ เพราะว่าเขาสร้างภพเข้ามาปิดกั้นตัวเขา พระพุทธองค์ท่านถึงบอกให้เจริญสติเข้าไปลง เน้นลงอยู่ที่กาย พิจารณากาย แล้วก็ลงลึกถึงตัวใจ แล้วก็ละกิเลสออกจากกัน ออกจากใจ แม้แต่การไปการมา การปรุงการแต่ง ตราบใดที่จะยังเกิด เขาก็ต้องหลง ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด ก็ต้องพยายามนะ พยายามอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปล่อยลมหายใจทิ้ง พยายามหมั่นแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ก่อนที่จะคิด แม้แต่สมองปัญญาคิด ถ้าเป็นอกุศลเราก็ให้ดับ แก้ไขตัวเรา เพ่งโทษตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
ส่วนกายสมมติเรามีความอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อยู่ในระดับของสมมติ แต่ละระดับใจและก็ต้องพยายามแก้ไขเอา ปัญญานั้นมีกันทุกคน จะเป็นปัญญาของโลกียะ ปัญญาของโลกุตระ แต่ในหลักธรรมเราอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ เจริญ ตามทำความเข้าใจ ตามให้รู้ให้เห็น ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล แล้วก็ละกิเลสออกให้หมดจด ให้ถึงจุดหมายนั้นแหละถึงจะเป็นปัญญาที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากหรอก ไปพูดมากไปคิดมากหรอก คิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์ เพียงแค่กายวาจาก็รู้จักควบคุม ใจก็รู้จักควบคุม จนแยกแยะออก รู้ความเป็นจริงปล่อยวางให้ได้หมดจดอีกโน่นแหล่ะ อยู่คนเดียวก็มีความสุข หลายคนก็มีความสุข
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน พยามหมั่นเพียร ช่วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ให้พร้อมเพรียง ให้ทุกคนได้มีความสุข คนเราอยู่กับสมมติ เกิดมาก็อานิสงส์ของสมมติก็สร้างให้เต็มเปี่ยม แล้วก็ล้นเหลือออกไปสู่มหาชนให้มากมาย ส่วนทางด้านจิตใจก็ต้องกำจัดกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ทำภายในให้มันจบ ข้างนอกก็มีตั้งแต่สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้กับมหาชน จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เท่าที่โอกาสอำนวยให้ ร่างกายอำนวยให้ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้พระเราก็ช่วยกันมาหลายวัน ช่วยกันไปเอาไผ่ที่มันหักมันล้ม เอาออก ก็เหลืออีกไม่เยอะ ก็คงจะได้เอารถมาขุดรากขุดเหง้ามันออก เอาต้นสาละมาลง เอาไม้หอมไม้ที่มีประโยชน์มาลงให้ได้ความร่มรื่นร่มเงาในวันข้างหน้า พวกเราจากไป เราทำเอาไว้ก็จะเป็นอานิสงส์ส่งผลถึงคนรุ่นหลัง จะได้ไม่ได้ลำบาก เขาก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ให้เป็นบุญของคน ถ้ามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว ไม่มีความเสียสละ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มี ความสุข ก็มีตั้งแต่ความทุกข์ อยู่คนเดียวก็ทุก
เราต้องเปิดใจของเราให้กว้าง มองโลกให้กว้าง มีอะไรผิดพลาดเรารีบแก้ไขช่วยเหลือกัน เท่าที่จะช่วยได้ ถ้าจิตใจของเราแคบ อยู่คนเดียวก็แคบ อยู่หลายคนก็แคบ เพราะว่าใจของเรามันแคบ ใจของเราไม่ดี ก็รีบแก้ไขเสียนะถ้ามีอยู่ที่ใคร ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี รีบแก้ไขจิตใจของตัวเราเสีย ถ้าเราไม่แก้ไขแล้วไม่มีใครเขาจะแก้ไขให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง แนวทางมีพร้อมมูลอยู่แล้ว
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 เมษายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ได้ทำความเข้าใจกับดวงวิญญาณ หรือว่าทำความเข้าใจกับตัวใจของเราแล้วหรือยัง ว่าใจของเราปกติ ใจของเราสงบ ใจของเรามีกิเลสมากกิเลสน้อย แม้กระทั่งความคิดอารมณ์ต่างๆ พยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจ
เปิดใจให้กว้าง มองโลกในทางกว้างขวาง รับรู้ ถ้าใจของเราคับแคบ เราก็มองเห็นโลกแคบ ถ้าใจของเราเปิดกว้าง เราก็มองเห็นโลกกว้าง ได้พรหมวิหารด้วยความเมตตา รับรู้ แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ต้องมีเป้าหมายที่จะเดินทาง คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ถ้าเราแก้ไขใจของเราไม่ได้ก็ไม่มีใครที่จะแก้ไขให้ได้หรอก นอกจากตัวของเรา ส่วนแนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ด้วยการค้นพบแล้วก็เอามาจำแนกแจกวิธีอุบายแนวทางที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง
การเจริญสติ การคลายจิตออกจากความคิด การแยกรูปแยกนาม อะไรคืออัตตาอะไรคืออนัตตา ท่านให้เจริญสติลงไปมองดู รู้ที่เหตุ ให้เห็นเหตุเสียก่อน เห็นเหตุของตัวใจเสียเสียก่อนว่าเขาเกิดอย่างไร ขันธ์ห้ากับใจเขารวมกันได้อย่างไร ทำไมใจของเราถึงเป็นหลงเป็นทาสของกิเลส แม้แต่การคิด ตัวใจคิดหรือว่าใจกับขันธ์ห้ารวมปรุงแต่งส่งออกไป หรือว่ารวมกันไปหมดทั้งสติปัญญาทั้งใจทั้งขันธ์ห้า ถ้าเราจำแนกแจกแจงไม่ชัดเจนเขาจะรวมกันหมด
แม้แต่การเจริญสติ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันนี้ต้องชัดเจน การควบคุมใจต้องชัดเจน การสังเกต การวิเคราะห์จนหมั่นพร่ำสอนใจ จนใจของเรายอมรับความเป็นจริง รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้นั่นแหละ จนใจเป็นอิสระจากการเกิด จากกิเลส จากความคิด จากอารมณ์ มองเห็นความเป็นจริง เห็นต้นเหตุ รู้การดำเนิน รู้การละ รู้การดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
จิตใจของทุกคนนี้แต่ก่อนไม่มีกิเลส ความหลง หลงเกิด แล้วก็มาหลงความทะเยอทะยานยาก ความยินดียินร้ายแล้วก็มลทินต่างๆ ส่วนมากก็มลทินนี่ขัดเกลาได้ยาก มองโลกในแง่ร้าย คอยจับผิด คอยเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ อคติคนโน้นคนนี้ เพราะว่าใจของเรายังเกิด ใจของเรายังมีกิเลสอยู่ ถ้าเราไม่ดับ ไม่ละ ไม่ทำความเข้าใจ ไม่เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มันก็จะหมักหมมๆ เยอะขึ้นๆ เหมือนกับดินพอกหางหมู ขัดเกลาก็ยาก
อยู่คนเดียวก็ทุกข์อยู่คนเดียว อยู่หลายคนก็ทุกข์อยู่คนเดียว เพราะว่าใจของเรามันเป็นทุกข์ ใจของเรามันไม่ดี ถึงมองโลกในทางไม่ดี ไม่ต้องเอาที่ไหนเอาตัวใจของเราก่อน ก็จะล้นออกไปสู่คนรอบข้าง คนไหนอยู่ใกล้คนนั้นก็ไม่ดี คนโน้นก็ไม่ดี เพราะว่าใจของเราไม่ดี มันก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก เรามาจัดการกับใจของเราเสีย แก้ไขใจของเรา มองโลกในทางที่ดี จนมองเห็นเป็นปกติ ไม่มีการปรุงไม่มีการแต่ง จนมองเห็นเป็นธรรมดา จะดีหรือชั่วก็มีค่าเท่ากัน ดีก็มันก็ยังเกิดอยู่ แต่ก็เป็นฝ่ายที่นำความสุขมาให้ แต่มันก็ไม่เที่ยง ส่วนความไม่ดีก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ ไปสู่ที่มันไม่ ไม่เป็นสุข แต่มันก็ไม่เที่ยง มันก็เกิดๆ ดับๆ
ความเที่ยงก็คือนิพพาน ถ้าใจของเราเที่ยง ใจของเราไม่เกิด ใจเที่ยงนิพพานก็เที่ยง ก่อนที่จะเที่ยงได้ต้องขัดเกลากิเลส ดับความเกิด คลายความหลง หมั่นพร่ำสอนเขาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างได้นั่นแหละ เขาถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ เขาจะเป็นเองได้เอง ถ้าไม่ขัดเกลากิเลส
เพียงแค่การเกิดมาเป็นมนุษย์ และร่างกายของมนุษย์ ขันธ์ห้าของมนุษย์ก็มาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมดแล้วแหละ เพราะว่าเขาสร้างภพเข้ามาปิดกั้นตัวเขา พระพุทธองค์ท่านถึงบอกให้เจริญสติเข้าไปลง เน้นลงอยู่ที่กาย พิจารณากาย แล้วก็ลงลึกถึงตัวใจ แล้วก็ละกิเลสออกจากกัน ออกจากใจ แม้แต่การไปการมา การปรุงการแต่ง ตราบใดที่จะยังเกิด เขาก็ต้องหลง ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด ก็ต้องพยายามนะ พยายามอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปล่อยลมหายใจทิ้ง พยายามหมั่นแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ก่อนที่จะคิด แม้แต่สมองปัญญาคิด ถ้าเป็นอกุศลเราก็ให้ดับ แก้ไขตัวเรา เพ่งโทษตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
ส่วนกายสมมติเรามีความอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้อยู่ในระดับของสมมติ แต่ละระดับใจและก็ต้องพยายามแก้ไขเอา ปัญญานั้นมีกันทุกคน จะเป็นปัญญาของโลกียะ ปัญญาของโลกุตระ แต่ในหลักธรรมเราอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ เจริญ ตามทำความเข้าใจ ตามให้รู้ให้เห็น ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล แล้วก็ละกิเลสออกให้หมดจด ให้ถึงจุดหมายนั้นแหละถึงจะเป็นปัญญาที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากหรอก ไปพูดมากไปคิดมากหรอก คิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์ เพียงแค่กายวาจาก็รู้จักควบคุม ใจก็รู้จักควบคุม จนแยกแยะออก รู้ความเป็นจริงปล่อยวางให้ได้หมดจดอีกโน่นแหล่ะ อยู่คนเดียวก็มีความสุข หลายคนก็มีความสุข
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน พยามหมั่นเพียร ช่วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ให้พร้อมเพรียง ให้ทุกคนได้มีความสุข คนเราอยู่กับสมมติ เกิดมาก็อานิสงส์ของสมมติก็สร้างให้เต็มเปี่ยม แล้วก็ล้นเหลือออกไปสู่มหาชนให้มากมาย ส่วนทางด้านจิตใจก็ต้องกำจัดกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ทำภายในให้มันจบ ข้างนอกก็มีตั้งแต่สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้กับมหาชน จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เท่าที่โอกาสอำนวยให้ ร่างกายอำนวยให้ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้พระเราก็ช่วยกันมาหลายวัน ช่วยกันไปเอาไผ่ที่มันหักมันล้ม เอาออก ก็เหลืออีกไม่เยอะ ก็คงจะได้เอารถมาขุดรากขุดเหง้ามันออก เอาต้นสาละมาลง เอาไม้หอมไม้ที่มีประโยชน์มาลงให้ได้ความร่มรื่นร่มเงาในวันข้างหน้า พวกเราจากไป เราทำเอาไว้ก็จะเป็นอานิสงส์ส่งผลถึงคนรุ่นหลัง จะได้ไม่ได้ลำบาก เขาก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ให้เป็นบุญของคน ถ้ามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว ไม่มีความเสียสละ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มี ความสุข ก็มีตั้งแต่ความทุกข์ อยู่คนเดียวก็ทุก
เราต้องเปิดใจของเราให้กว้าง มองโลกให้กว้าง มีอะไรผิดพลาดเรารีบแก้ไขช่วยเหลือกัน เท่าที่จะช่วยได้ ถ้าจิตใจของเราแคบ อยู่คนเดียวก็แคบ อยู่หลายคนก็แคบ เพราะว่าใจของเรามันแคบ ใจของเราไม่ดี ก็รีบแก้ไขเสียนะถ้ามีอยู่ที่ใคร ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี รีบแก้ไขจิตใจของตัวเราเสีย ถ้าเราไม่แก้ไขแล้วไม่มีใครเขาจะแก้ไขให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง แนวทางมีพร้อมมูลอยู่แล้ว
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา