หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 53

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 53
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 53
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 53
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 20 เมษายน 2556

ดูดีๆ นะ พระเราชีเรา กายอยาก กายหิว หรือจิตเกิดความอยาก ความอยาก ความหิวต้องดูรู้ให้ชัดเจน ถ้าจิตเกิดความอยากก็รู้จักหยุด รู้จักควบคุม รู้จักพิจารณาปฏิสังขาโยอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ปล่อยโอกาสทิ้งปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้กาย รู้ใจ รู้ความปกติ รู้การกระทำ สติปัญญาเป็นตัวบริหาร ใจรับรู้ สติความรู้ตัวก็ต้องสร้างขึ้นมา

มีโอกาสมาสร้างบุญสร้างบารมีกัน มาช่วยซื้อบ้านน้อย 1 หลัง วันนี้เห็นว่าจะมาส่งอีก 6 หลัง รวมทั้งหมดก็คงจะเป็น 15-16 หลัง ก็จะครบ ก็มาเรื่อยๆ ญาติโยมผู้ใจบุญก็มาช่วยกัน คนละหลังสองหลัง ไม่นานเดี๋ยวก็เต็มสวนมะลิวัลย์ มีที่นั่งพักอาศัยกัน อันนี้ได้ยินข่าวทราบข่าวก็จองเอาไว้ตั้งนานแล้วแหละ เขาว่าขอบ้านหนึ่งหลังนะ บอกเออก็เพิ่งจะเอามา พาลูกมาทำบุญให้ทานตั้งแต่ตัวเล็กๆ โตขึ้นไปก็จะได้สบาย ขอบใจมากๆ นะ

ใครใคร่ทานมาทาน ใครใคร่มาตั้งโรงทานมา แต่ระวังหน่อยนะ ถ้าคนเยอะขโมยขโจรก็ตามมาเยอะเหมือนกัน มางัดมาแงะสารพัดอย่าง ต้องระวัง ไปไหนมาไหนเอาของสำคัญติดตัว ไอ้คนขโมยมันก็คอยขโมย เราเผลอเมื่อไหร่มันก็ขโมยเพราะว่ามีเจตนาที่จะขโมย ก็ยกให้เป็นกรรม กรรมของเขาสร้างมาอย่างนั้น วิบากกรรมของเขา บางทีก็ความอดความอยาก ความหิวความโหย ก็บังคับให้ขโมย แทนที่จะไปหาด้วยสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้อง

ขโมยขโจรก็มีกันทั่วบ้านทั่วเมือง ความเจริญรุ่งเรืองเข้ามา คนเยอะเข้ามา แล้วก็ขโมยก็แอบแฝง บางทีก็มาอยู่กับเรา มากินมานอนอยู่กับเรา มาลักของเรา จับได้อยู่ปีหนึ่ง ปีกลายหรือปีก่อน มากินมานอนนี่แหละ กินที่โรงครัวก็มานอน มากันหลายคน มาดูต้นทาง มันว่างเมื่อไหร่มันก็โทรบอกเพื่อนมัน พอจับได้พอไล่ทัน มันรีบหนีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่ห้องน้ำโรงเรียน ไปจับ ตำรวจก็เลยไปจับเอาที่ไปรอขึ้นรถดักขึ้นรถ ให้เขาล้อมเอาไว้

หลายคน บางทีก็มาขโมยเอาตอนที่ออกไปฉัน แม้แต่เครื่องขยายเสียงเอามาไว้นี่ 3 เครื่อง ก็มาขโมยเอาทุกเครื่องเลย ก็ดีเหมือนกัน เราก็ได้ดูใจของเรา โกรธให้มันหรือเปล่า จนได้ซื้อตู้มาล้อมโซ่เอาไว้ แล้วก็มาติดกล้องวงจรปิด มาขโมยทีไร เจ้าคุณนอนไม่หลับสักที จำเป็นต้องได้หาตู้มาใส่เอาไว้ป้องกันเอาไว้ ขนาดตู้ใส่ป้องกันเอาไว้มันก็เอากรรไกรมาตัดอีกนะ มาตัดอีก ก็เลยได้ติดกล้องอีก ติดกุญแจตั้ง 2 ดอก 3 ดอก มันอยากได้ก็มาเอาเถอะทีนี้ แสดงว่ามันก็มีความเพียรที่จะลักที่จะขโมย ให้มันมาก็ยกให้เป็นกรรม ไม่ได้ไปถือโทษโกรธให้เขาหรอก ถ้าโกรธให้เขาเรานี่ก็ไม่ดี ทำให้จิตใจของเราเศร้าหมอง มีแต่ให้อภัยอโหสิกรรม ยกให้เป็นกรรม

ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นการเกิดของใจเยอะ การเกิดของขันธ์ห้าเยอะ ติดตามทำความเข้าใจ การเจริญสติ ไม่ใช่ว่าจะฝึกสติเฉยๆ เราต้องรู้จักเอาไปใช้ กายหิว ใจของเราเกิดความอยากหรือไม่ ตาเห็นรูป ตาเห็นอาหาร กายก็หิว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม ระวังนะสามเณร เต็มบาตรแล้วก็ฉันไม่หมด โดนเจ้าคุณลงโทษให้ไปล้างห้องน้ำนะ กายก็ต้องการอาหาร เพราะว่าอยู่ในสภาวะที่เจริญเติบโต ช่วงที่มีกำลังนี่จะละความอยากได้ลำบาก มันจะฝืนต่อต้านกัน ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา อะไรคือความรู้ตัวสติที่เราเจริญขึ้น อะไรคือตัวใจ

ความคิด ปัญญาของเก่านั้นมีกันทุกคน เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มีความเข้มแข็งอยู่ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย อะไรก็ทำไม่เป็นอะไรก็ไม่ทำ สติก็ไม่เจริญ ความคิดก็ไม่รู้จักสนใจ ไม่รู้จักทำความเข้าใจ รู้จักละจักดับ ละความคิด แต่คิดให้เป็น ตัวหลักคือตัวสติ ตัวปัญญานี่แหละ ตัวตนสมองนี่แหละไปคิดแทน ไปทำหน้าที่แทน บุญอานิสงส์สมมติเราก็ทำ การละกิเลสเราก็ละ ส่วนมากก็มีตั้งแต่พอกพูน คนที่จะเอาธรรม คนที่จะรู้ธรรมนี้ไม่จำเป็นต้องไปพูดกันมากมายหรอก รู้จักแนวทางก็จะหาวิธีหาอุบายขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเรา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้

ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด บางคนมันอดพูดอดคิดไม่ได้ คันปากยิกๆ ยิกๆ ต้องวิ่งไปหาที่ระบาย พอระบายเสร็จ มันรู้สึกว่ามันโล่งมันโปร่ง เป็นเสียอย่างนั้น ถ้าไม่ได้พูดเรื่องของคนโน้นคนนี้แล้วมันอึดอัด ถ้าพูดคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้ เจ้าคุณเป็นอย่างนั้นเจ้าคุณเป็นอย่างนี้ คือพอพูดเสร็จแล้วรู้สึกว่ามันโล่ง มันโปร่งเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ได้พูดแล้วมันอึดอัด ใจมันจะแตก อกมันจะแตกเอา ให้คลายออกให้มันหมด มองเห็นโลกในทางที่ดี คิดดี ดูเรื่องของเราให้จบ ละกิเลสของเราให้จบ

แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ ความอยากกับความหิวมันอยู่ด้วยกันนะ กายของเรามันหิวตลอด เดี๋ยวก็กินเดี๋ยวก็ขับถ่ายอยู่อย่างนั้น เอาเข้าเท่าไหร่ ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เขาถึงบอกว่ามันไม่เที่ยง แต่ใจมันมาสร้างกายมาปิดบังอำพรางตัวเองเอาไว้หมด เพียงแค่รูปกายก็ปิดบังตัวใจเอาไว้ ความคิดอารมณ์ต่างๆ กิเลสต่างๆ ก็มาสร้างห่อหุ้มใจตัวเองเอาไว้ จนกว่าจะเจริญสติเข้าไปขัดเกลาออกให้มันเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์นั่นแหละ เห็นจุดเกิดจุดดับของเขานั่นแหละ ถึงจะมองเห็นความเป็นจริง

ส่วนมากก็มีตั้งแต่หาสิ่งต่างๆ ไปปกปิดเอาไว้ แม้แต่ตัวใจเองก็หลอกตัวเอง เพราะว่ามันเกิดอยู่ตลอด ความเกิดมันหลอก หลอกอยู่ ท่านให้เจริญสติไปขัดเกลา ไปแจง ไปแยกแยะออกให้รู้ความเป็นจริง ก็สติปัญญานั้นแหละไปเกิดแทนอีก รับรู้อีก พูดยาก ถ้าไม่ทำให้มีให้เกิดจริงๆ ให้รู้ ให้เห็นจริงๆ ถึงจะเป็นของจริง หมดความสงสัย จะไปเที่ยวสงสัยคนโน่นสงสัยคนนี้ ไปลังเลไปกังวล มันก็เลยยากที่จะถึงจุดหมาย ตราบใดที่ใจยังไม่หลุดพ้น ก็พยายามสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างอานิสงส์กันให้เต็มเปี่ยม ถึงใจของเรามันไม่หลงไม่ยึด ก็ยังสร้างประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง ไม่ปล่อย เสียเวลา ความอยากแม้แต่นิดเดียวเราก็จัดการ ให้เกิดความเคยชินให้เหือดแห้งไป

พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ยิ่งบวชมาเป็นพระแล้วอัตตาของความเป็นพระก็เพิ่มขึ้นมาก็หนักอีก อัตตาของฆราวาสก็ห้าขันธ์ ของพระก็ห้าขันธ์ เป็นสิบขันธ์แล้วหนักอึ้งเลย ยิ่งมาปฏิบัติขัดเกลา เราเป็นนักปฏิบัติที่เก่งอีกห้าขันธ์เป็นสิบห้าขันธ์พอดี แบกอยู่ทั้งวันทั้งคืน หนักก็หนัก ช่วยเหลือไม่ได้นะ ไม่ยอมปล่อยยอมวาง วางแล้วก็เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่ด้วยกันเยอะๆ ก็ต้องขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบช่วยกัน ไม่ใช่มีแต่ความเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วไปอยู่คนเดียวก็ไม่เจริญ อยู่หลายคนก็ไม่เจริญ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว เราต้องพยายามดูรู้ให้ทันว่าลมหายใจเข้ายาวเป็นอย่างไร หายใจออกยาวเป็นอย่างไร หายใจละเอียดเป็นอย่างไร หายใจธรรมชาติเป็นลักษณะอย่างไร ถึงเราไม่ดู ไม่รู้ เขาก็หายใจอยู่ของเขาตั้งแต่เกิด แต่ก็เพื่อที่จะรู้ความเป็นจริง

ท่านถึงให้เจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา แล้วก็ให้ต่อเนื่อง สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้กายลึกลงไปเราก็จะรู้ใจ รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร รู้จักชำระสะสางกิเลสออกจากใจของตัวเราเอง แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่ตัวใจ วิ่งอยู่ตลอดเวลา บางทีก็เป็นบุญบ้าง เป็นกุศลอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นเรื่องอดีตบ้าง

สติกับใจนี่ต้องคนละส่วนกันชัดเจน ความรู้ตัวลักษณะของสติรู้ตัว คำว่าปัจจุบัน ทุกขณะลมหายใจเข้าออกพยายามทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้รู้เท่าทันใจ รู้ไม่เท่าทันใจตั้งแต่เกิด แล้วก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกการหายใจเขาออกใหม่ ใจก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ใช่เอาใจไปกำหนดเลย

ฝึกฝนบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ จนกว่ากำลังสติของเราจะเห็น เห็นลักษณะอาการของใจกับอาการของขันธ์ห้าของความคิด ซึ่งเป็นนาม เขาเข้าไปรวมกัน ขณะเห็นตั้งแต่ต้นเหตุเขาจะแยกออกจากกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมองกระจ่าง ใจก็จะว่าง หงายขึ้นมา เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ แต่ก่อนสมมติเขาครอบงำอยู่ เขาเรียกว่าคว่ำอยู่ พอคลายออกจากความคิด เขาเรียกว่าหงาย เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เริ่มต้น

รู้แจ้งเห็นจริงเพียงแค่เริ่มต้น ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าอีก เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม เราต้องพยายามหมั่นทำความเข้าใจ หมั่นตามดูตามรู้ตามค้นคว้า ให้ตลอดทุกเรื่อง อันนี้ลักษณะของสติ ที่เราสร้างขึ้นมา ลักษณะของใจที่แยกที่คลาย ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลส ลักษณะของความคิดที่เกิดๆ ดับๆ ใจของเราเข้าไปรวมได้อย่างไร ใจของเราเข้าไปเสวยได้อย่างไร ก็คือเข้าไปรวม ก็เรียกว่าเข้าไปเสวย บางทีก็เป็นยินดี บางทีก็ยินร้าย บางทีก็เป็นกลางๆ

ท่านให้แจงออกให้แยกออก สติปัญญาตามทำความเข้าใจ จนใจมองเห็นความเป็นจริง เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของตัวเอง ได้ชัดเจนทุกเรื่องจนใจเกิดความเบื่อหน่าย แล้วก็มาละความเกิด ละกิเลสที่ใจ ทีนั้นทีนี้เขาก็เหือดแห้งๆ ไป จนกว่าเขาไม่เกิด สติปัญญาของเราก็ไปเกิดแทนทุกเรื่อง ทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง พูดง่ายนะ แต่การกระทำต้องมีความเพียร สร้างตบะอย่างแรงกล้า มีความขยันหมั่นเพียร มีความอดทน มีความจริงใจ มีสัจจะ จิตใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ฝักใฝ่สนใจอยู่ตลอดเวลา สติหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน จะไปบังคับกันไม่ได้เลยสิ่งพวกนี้ มีตั้งแต่ชี้แนะแนวทางให้ แล้วก็ดำเนินให้มีให้เกิดขึ้น จะไปกระโดดข้ามก็ไม่ได้เลย

การจะขึ้นบนตัวเรือนเราก็ต้องอาศัยบันได บันไดกี่ขั้น 8 ขั้น 9 ขั้นกว่าจะถึงตัวเรือน บันไดของการดำเนินชีวิตก็ตั้งแต่ศรัทธานั่นแหละ มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย รู้จักการทำบุญให้ทาน รู้จักคลาย เจริญพรหมวิหารต่างๆ เขาเรียกว่า บารมีของตัวเรา แล้วก็ตัวแยกรูปแยกนามนี้ เพียงจะขึ้นตัวเรือน คือเข้าถึงตัวใจ การปัดกวาดชำระกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีกก็ต้องตามมาอีก มาดับความเกิดจนหมดจดอีกโน่นแหล่ะ

จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร จะยากสำหรับบุคคลที่ไม่มีความเพียร ยากตั้งแต่ช่วงใหม่ๆ ที่ยังใจยังไม่คลายออกจากขันธ์ห้า ถ้าใจคลายแล้วอะไรก็จะมองเห็นทางทะลุโปร่ง การชำระสะสางกิเลสก็จะตามมาด้วยสติด้วยปัญญาอย่างเข้มข้นอีก ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จนหมดสิ่งที่จะละ สิ่งที่จะดับได้นั่นแหละ เขาถึงจะอยู่อุเบกขาอย่างมีความสงบ ความสุข อยู่กับสมมติ ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ กายของเราเป็นก้อนสมมติ จะทิ้งสมมติไม่ได้นอกจากหมดลมหายใจ ทำความเข้าใจกับสมมติแต่ไม่ยึดติดในสมมตินั้นๆ ลองทำเถอะ ไม่ลองแล้วทำจริงๆ ให้รู้ให้เห็นจริงๆ จากน้อยๆ ไปหามากๆ

รู้จักแนวทางแล้วก็เร่งทำความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ขณะนี้เวลานี้ใจของเราเป็นบุญเป็นกุศล นอกนั้นก็มีตั้งแต่ประโยชน์ในทางสมมติ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ ทำประโยชน์หรือปัจจุบันให้ดี ทำใจให้สะอาดอยู่ปัจจุบัน ก็จะส่งผลถึงอนาคต ก็ต้องพยายามกันเอา

สร้างความรู้สึกรับรู้หายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปทำต่อนะ อันนี้เป็นแค่ย้ำแค่เดือนเท่านั้นเอง

วันนี้มีท่านผู้ใจบุญมาตั้งโรงทาน มีโอกาสก็ไป อย่าไปปล่อยให้หิวนะ ไปทานข้าวทานปลากันเสียก่อน วันพรุ่งนี้ก็จะได้มีการไถ่ชีวิตโคแม่ลูก ตอนเช้าก็ขอเชิญทุกคน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง