หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 63
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 63
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 63
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวหรือว่าได้เจริญสติให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี การเจริญสติ เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ได้ทุกอิริยาบถ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไรเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เพียงแค่การเจริญการสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติพวกเรายังทำกันไม่คล่องแคล่ว ส่วนปัญญาเก่าความคิดเก่าที่เกิดจากตัวใจเกิดจากขันธ์ห้าของเรามีกันเต็มเปี่ยม บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย อันนี้ติดตามตัวเรามาเพราะว่าความหลง
ใจหลงเขาถึงเกิด เขาถึงปรุงถึงแต่ง แต่เขาได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ เขาสร้างบุญมาดี เขาก็เลยมาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ขึ้นมา เพื่อที่จะมาสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีต่อให้ถึงจุดหมายคือพระนิพพาน ก็อาศัยกายของเราก้อนนี่แหละที่จะนำตัวเราเข้าถึงพระนิพพานได้ ด้วยการเจริญสติ การทำความเข้าใจตามแนวทางของพระพุทธองค์ ทำความเข้าใจ หมั่นอบรมใจของเรา แต่ส่วนมากตัวใจของเราจะเกิด ความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด เพราะว่าจิตใจของแต่ละดวงนี่ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง เขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน ก็ต้องอาศัยอำนาจบารมีด้วยการเจริญสติ การเจริญปัญญาเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง ว่า แต่ละวันเขาเกิดอย่างไร ทำไมเขาถึงเกิดกิเลส ทำไมเขาถึงเกิดความโลภ ความโกรธความอยาก เราขัดเกลาความโลภ ความโกรธ ความอยากออกจากใจของเราได้หรือไม่ เรามีความเพียรเพียงพอหรือไม่ ทำไมขันธ์ห้าในกายเนื้อของเรา ทำไมท่านถึงบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก หนักอย่างไร ทำไมความคิดถึงผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจซึ่งเป็นนามธรรม
เราก็ต้องมาสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักควบคุม แล้วก็รู้จักสังเกตวิเคราะห์จนกว่าใจจะแยกจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไร ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก มันก็ยากอีก ทั้งที่ใจเป็นบุญการที่จะรู้ความจริงต้องเป็นบุคคลที่มีความขยัน ความหมั่นเพียร ความต่อเนื่อง การขัดเกลากิเลส อาศัยตบะบารมีความอดทน ไม่ใช่ว่าเกียจคร้านงอมืองอเท้าทำอะไรก็ไม่เป็น มีแต่ความอยาก มันก็ยิ่งปิดกันเอาไว้หมด ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสังเกตการวิเคราะห์ การทำความเข้าใจของเราให้มี แล้วก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล จะกลับกัน
ช่วงใหม่ๆ นี่อาจจะฝืน เขาเรียกว่าทวนกระแส เพราะใจของคนเราชอบไหลไปตามโลกตามกระแสโลก ในหลักธรรมท่านให้แยกให้คลายจนจิตจนใจแยกรูปแยกนาม เขาเรียกว่าตกกระแสธรรม เพียงแค่เริ่มต้น ความรู้แจ้งเห็นจริง ตามทำความเข้าใจ แล้วก็กิเลสออกให้มันหมดจากใจอีก ดับความเกิดของใจอีก ก็ต้องพยายามกัน เรามีความเพียรเพียงแค่ระดับของสมมติ เรามีความขยัน มีความหมั่นเพียร รู้จักพิจารณายังสมมติให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์เพื่อเอื้ออำนวยในการประพฤติในการปฏิบัติของตัวเรา ไม่ใช่ว่าเอาเกียจคร้าน มีแต่ความเกียจคร้าน ความเสียสละไม่มี ความรับผิดชอบไม่มี มีแต่ความเห็นแก่ตัว มันก็ยิ่งห่างไกล ห่างไกลดวงใจของตัวเอง ก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัย
ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา บอกตัวเรา ชี้ตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าให้คนอื่นเขาได้บังคับเขาได้ชี้ แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยแล้ว ท่านค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย มาจำแนกแจกแจง การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การอบรมใจเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ปราศจากเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่นจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจเกิดกิเลส เราจะดับเราจะละด้วยวิธีนี้ ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภโดยการเอาออก ด้วยการละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรมมองโลกในทางที่ดี นิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราได้ในลักษณะอย่างไร ความรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างไร ใจของเราฟุ้งซ่านอย่างไร มีหมดนั่นแหละอยู่ในกายเนื้อของเรา
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น แยกแยะได้ทุกกระเบียดนิ้วนั้นมันยาก คำว่าปัจจุบันธรรมทำคือทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่กำลังสติของเรามีน้อยนี้คือส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ ถ้าใจคลายออกจากความคิด ถ้าไม่ได้ตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก มันก็เผลออีก เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็หาเหตุ หาเหตุหาผลมากปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด แม้แต่ตัวใจแท้ๆ ก็ยังปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ใจกับอาการของใจ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ แล้วก็ขันธ์ห้าก็มาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ เขาอยู่ด้วยกันมานาน ถ้ากำลังสติของเราตามดูตามรู้ หาเหตุหาผลไม่ได้ทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราก็ต้องพยายามทุกโอกาสทุกสถานการณ์จนเป็นเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง สติปัญญาชี้เหตุชี้ผลตามดูรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
ท่านสอนบอกว่าอันนี้อัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ สมมติเป็นอย่างนี้ วิมุตติเป็นอย่างนี้ การสร้างตบะบารมีเป็นอย่างนี้ วิปัสสนาญาณวิปัสสนาภูมิเป็นอย่างนี้ ความหมายของคำว่านิพพานเป็นอย่างนี้ มีหมดอยู่ในกายของเรา ขันธ์ห้ากองทั้งห้าขันธ์ก็มีอยู่เป็นอยู่อย่างนี้ ที่เราสวดเราท่องกันทุกวัน เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องศึกษา ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนใดคนหนึ่ง ส่วนอานิสงส์ของสมมติ เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เพื่อเอื้ออำนวยในระดับสมมติให้ไม่ได้ลำบาก แต่ก็เป็นอานิสงส์แห่งบุญเป็นตบะบารมี แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ แต่เราก็ต้องอาศัยการสร้างบุญบารมี ตั้งแต่สมมติขึ้นไปถึงวิมุตติ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้านบนเรือน เราก็ต้องอาศัยบันไดทั้ง 8-9 ขั้น 8-9 ขั้นนั้นก็ยังอาศัยราวบันไดอยู่ด้วยกัน อยู่เนื่องด้วยกัน อาศัยอิงอาศัยกันอยู่
สมมติกับวิมุตติก็อิงอาศัยกันอยู่ จิตเขามาอาศัยกาย ไม่ใช่มาอาศัยมาสร้างแล้วก็มายึดเลย เราต้องแจงต้องแยก ต้องรู้เห็นด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา ด้วยการสร้างตบะบารมี หมั่นพร่ำสอนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีให้ขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปเกียจคร้าน อีกสักหน่อยพวกเราก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงเพราะว่าเราอยู่กับยมทูตตลอดเวลา ความเกิด ความแก่ ความตาย ความชราคร่ำคร่าพวกนี้ก็เป็นยมทูตมาเตือนเรา
ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณา เราก็จะเห็น มองเห็นตามความเป็นจริง ถ้าเราปล่อยเราวางไม่ได้ ก็ยังมีอานิสงส์ผลบุญผลทานยังรองรับพวกเราอยู่ ก็ต้องพยายาม อย่าไปทิ้งบุญ ถึงรู้ความจริงเราก็พยายามสร้างบุญแต่ไม่ให้ยึด ไม่ให้หลง เพียงแค่คิดก็คิดในทางที่ดี ทำในทางที่ดี มองโลกในทางที่ดี ก็จะมีตั้งแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าเราไม่ทำ ไม่มีใครเขาจะทำให้เราได้ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องของชีวิต สอนเรื่องของความเป็นจริง การได้ยินได้ฟังได้อ่าน แต่การลงมือต้องพยายามให้ต่อเนื่อง ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปปล่อยกาลเวลาทิ้ง ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วก็ขอให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อะไรที่จะเป็นบุญเราก็พากันช่วยกันทำ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวหรือว่าได้เจริญสติให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี การเจริญสติ เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ได้ทุกอิริยาบถ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไรเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เพียงแค่การเจริญการสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติพวกเรายังทำกันไม่คล่องแคล่ว ส่วนปัญญาเก่าความคิดเก่าที่เกิดจากตัวใจเกิดจากขันธ์ห้าของเรามีกันเต็มเปี่ยม บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย อันนี้ติดตามตัวเรามาเพราะว่าความหลง
ใจหลงเขาถึงเกิด เขาถึงปรุงถึงแต่ง แต่เขาได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ เขาสร้างบุญมาดี เขาก็เลยมาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ขึ้นมา เพื่อที่จะมาสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีต่อให้ถึงจุดหมายคือพระนิพพาน ก็อาศัยกายของเราก้อนนี่แหละที่จะนำตัวเราเข้าถึงพระนิพพานได้ ด้วยการเจริญสติ การทำความเข้าใจตามแนวทางของพระพุทธองค์ ทำความเข้าใจ หมั่นอบรมใจของเรา แต่ส่วนมากตัวใจของเราจะเกิด ความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด เพราะว่าจิตใจของแต่ละดวงนี่ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง เขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน ก็ต้องอาศัยอำนาจบารมีด้วยการเจริญสติ การเจริญปัญญาเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง ว่า แต่ละวันเขาเกิดอย่างไร ทำไมเขาถึงเกิดกิเลส ทำไมเขาถึงเกิดความโลภ ความโกรธความอยาก เราขัดเกลาความโลภ ความโกรธ ความอยากออกจากใจของเราได้หรือไม่ เรามีความเพียรเพียงพอหรือไม่ ทำไมขันธ์ห้าในกายเนื้อของเรา ทำไมท่านถึงบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก หนักอย่างไร ทำไมความคิดถึงผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจซึ่งเป็นนามธรรม
เราก็ต้องมาสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักควบคุม แล้วก็รู้จักสังเกตวิเคราะห์จนกว่าใจจะแยกจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไร ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก มันก็ยากอีก ทั้งที่ใจเป็นบุญการที่จะรู้ความจริงต้องเป็นบุคคลที่มีความขยัน ความหมั่นเพียร ความต่อเนื่อง การขัดเกลากิเลส อาศัยตบะบารมีความอดทน ไม่ใช่ว่าเกียจคร้านงอมืองอเท้าทำอะไรก็ไม่เป็น มีแต่ความอยาก มันก็ยิ่งปิดกันเอาไว้หมด ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสังเกตการวิเคราะห์ การทำความเข้าใจของเราให้มี แล้วก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล จะกลับกัน
ช่วงใหม่ๆ นี่อาจจะฝืน เขาเรียกว่าทวนกระแส เพราะใจของคนเราชอบไหลไปตามโลกตามกระแสโลก ในหลักธรรมท่านให้แยกให้คลายจนจิตจนใจแยกรูปแยกนาม เขาเรียกว่าตกกระแสธรรม เพียงแค่เริ่มต้น ความรู้แจ้งเห็นจริง ตามทำความเข้าใจ แล้วก็กิเลสออกให้มันหมดจากใจอีก ดับความเกิดของใจอีก ก็ต้องพยายามกัน เรามีความเพียรเพียงแค่ระดับของสมมติ เรามีความขยัน มีความหมั่นเพียร รู้จักพิจารณายังสมมติให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์เพื่อเอื้ออำนวยในการประพฤติในการปฏิบัติของตัวเรา ไม่ใช่ว่าเอาเกียจคร้าน มีแต่ความเกียจคร้าน ความเสียสละไม่มี ความรับผิดชอบไม่มี มีแต่ความเห็นแก่ตัว มันก็ยิ่งห่างไกล ห่างไกลดวงใจของตัวเอง ก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัย
ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา บอกตัวเรา ชี้ตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อย่าให้คนอื่นเขาได้บังคับเขาได้ชี้ แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยแล้ว ท่านค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย มาจำแนกแจกแจง การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การอบรมใจเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ปราศจากเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่นจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจเกิดกิเลส เราจะดับเราจะละด้วยวิธีนี้ ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภโดยการเอาออก ด้วยการละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรมมองโลกในทางที่ดี นิวรณธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราได้ในลักษณะอย่างไร ความรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างไร ใจของเราฟุ้งซ่านอย่างไร มีหมดนั่นแหละอยู่ในกายเนื้อของเรา
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น แยกแยะได้ทุกกระเบียดนิ้วนั้นมันยาก คำว่าปัจจุบันธรรมทำคือทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่กำลังสติของเรามีน้อยนี้คือส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ ถ้าใจคลายออกจากความคิด ถ้าไม่ได้ตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก มันก็เผลออีก เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็หาเหตุ หาเหตุหาผลมากปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด แม้แต่ตัวใจแท้ๆ ก็ยังปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ใจกับอาการของใจ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ แล้วก็ขันธ์ห้าก็มาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ เขาอยู่ด้วยกันมานาน ถ้ากำลังสติของเราตามดูตามรู้ หาเหตุหาผลไม่ได้ทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราก็ต้องพยายามทุกโอกาสทุกสถานการณ์จนเป็นเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง สติปัญญาชี้เหตุชี้ผลตามดูรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
ท่านสอนบอกว่าอันนี้อัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ สมมติเป็นอย่างนี้ วิมุตติเป็นอย่างนี้ การสร้างตบะบารมีเป็นอย่างนี้ วิปัสสนาญาณวิปัสสนาภูมิเป็นอย่างนี้ ความหมายของคำว่านิพพานเป็นอย่างนี้ มีหมดอยู่ในกายของเรา ขันธ์ห้ากองทั้งห้าขันธ์ก็มีอยู่เป็นอยู่อย่างนี้ ที่เราสวดเราท่องกันทุกวัน เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องศึกษา ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนใดคนหนึ่ง ส่วนอานิสงส์ของสมมติ เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เพื่อเอื้ออำนวยในระดับสมมติให้ไม่ได้ลำบาก แต่ก็เป็นอานิสงส์แห่งบุญเป็นตบะบารมี แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ แต่เราก็ต้องอาศัยการสร้างบุญบารมี ตั้งแต่สมมติขึ้นไปถึงวิมุตติ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้านบนเรือน เราก็ต้องอาศัยบันไดทั้ง 8-9 ขั้น 8-9 ขั้นนั้นก็ยังอาศัยราวบันไดอยู่ด้วยกัน อยู่เนื่องด้วยกัน อาศัยอิงอาศัยกันอยู่
สมมติกับวิมุตติก็อิงอาศัยกันอยู่ จิตเขามาอาศัยกาย ไม่ใช่มาอาศัยมาสร้างแล้วก็มายึดเลย เราต้องแจงต้องแยก ต้องรู้เห็นด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา ด้วยการสร้างตบะบารมี หมั่นพร่ำสอนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีให้ขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปเกียจคร้าน อีกสักหน่อยพวกเราก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงเพราะว่าเราอยู่กับยมทูตตลอดเวลา ความเกิด ความแก่ ความตาย ความชราคร่ำคร่าพวกนี้ก็เป็นยมทูตมาเตือนเรา
ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณา เราก็จะเห็น มองเห็นตามความเป็นจริง ถ้าเราปล่อยเราวางไม่ได้ ก็ยังมีอานิสงส์ผลบุญผลทานยังรองรับพวกเราอยู่ ก็ต้องพยายาม อย่าไปทิ้งบุญ ถึงรู้ความจริงเราก็พยายามสร้างบุญแต่ไม่ให้ยึด ไม่ให้หลง เพียงแค่คิดก็คิดในทางที่ดี ทำในทางที่ดี มองโลกในทางที่ดี ก็จะมีตั้งแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าเราไม่ทำ ไม่มีใครเขาจะทำให้เราได้ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องของชีวิต สอนเรื่องของความเป็นจริง การได้ยินได้ฟังได้อ่าน แต่การลงมือต้องพยายามให้ต่อเนื่อง ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปปล่อยกาลเวลาทิ้ง ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วก็ขอให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อะไรที่จะเป็นบุญเราก็พากันช่วยกันทำ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา