หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 48
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 48
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 48
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 เมษายน 2556
วันนี้ก็เป็นวันพระใหญ่ เมษายน ใกล้วันสงกรานต์ ญาติโยมก็พากันมาวัดกันเยอะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทย คนไทยใจบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน วันพระ สมาทานศีล ถวายทานกันเสียก่อน อากาศก็ร้อน อากาศก็ร้อน สำคัญทุกวัน สำคัญทุกลมหายใจเข้าออก วันพระก็หายใจ ถ้าไม่หายใจก็ตาย วันนี้เช้านี้ 2 ศพเลย มารับโลง บ้านโคก 7-8 ศพ ภายใน 2 อาทิตย์ เช้านี้ก็ 2 นั่นแหละความตาย ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา อย่าพากันประมาท เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา อยู่ก็พร้อม ไปก็พร้อม สร้างตบะสร้างบารมี ทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน สร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้เต็มเปี่ยม
อย่าลืมในการดูรู้ใจของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้ใจ รู้กาย อะไรควรทำ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ให้รีบๆ ทำขณะยังมีกำลัง ขณะยังมีลมหายใจ หมดลมหายใจแล้วก็หยุด นอกนั้นก็มีตั้งแต่วิบากของกรรม ตราบใดที่ใจยังไม่อยู่เหนือกรรม พากันดูดีๆนะ พระเราชีเรา เรื่องการขบการฉันนี่แหละสำคัญ คนไปมองข้าม เรื่องอาหาร การอยู่ การรับประทาน เพราะว่าเกี่ยวเนื่องกับร่างกายของเราตั้งแต่เกิด ถ้าเราไม่สังเกต ไม่วิเคราะห์ดูดีๆ เราจะไม่เข้าใจเลย กายของเราหิว ใจของเราเกิดความอยาก เพียงแค่ใจเกิด เราก็ไม่รู้จักควบคุม ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ดับความอยากให้ได้เสียก่อน เพียงแค่ดับความอยากของตัววิญญาณ แล้วค่อยเอา ลึกลงไปอาการของความคิดที่มาปรุงแต่งวิญญาณอีก ซึ่งเรียกว่า นามธรรม มีความคิดผุดขึ้นมา ตัววิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร
ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราถึงจะเข้าไปรู้ลึก เห็นการเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ ซึ่งเป็นนามธรรม แต่เราก็ต้องพยายามดูความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากได้อาหาร อยากไป อยากมา เป็นความอยากที่เกิดจากตัวใจนั่นแหละ เราพยายามควบคุมให้ได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ใจเริ่มกระดุกกระดิกก่อตัว เริ่มปรุงเริ่มแต่ง นั่นแหละต้นตอต้นเหตุอยู่ตรงนั้นแหละ ความเกิดของวิญญาณ ความคิดกับวิญญาณเข้าไปรวมกัน ถ้าแยกได้เราก็จะเห็นต้นเหตุ นั่นแหละพระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุตรงนั้น แยกได้ คลายได้ ตามทำความเข้าใจได้ ทีนี้เราจะละได้ ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้หมดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราอีก แต่ส่วนมากก็ใจมันเกิด มันวิ่ง วิ่งหาบุญ วิ่งหาธรรม การเกิดของใจก็อยู่ในบุญอยู่ แต่ความเกิดนั้นก็ปิดกั้นตัวเขาเองเอาไว้ เราต้องเห็น ต้องรู้ ต้องละตั้งแต่ต้นเหตุ ทีนี้สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละไปเกิดแทน ไปดำเนินทำหน้าที่แทน เอาไปใช้ให้ใจรับรู้ จนกว่ากายของเราจะแตกจะดับ
พูดยาก พูดยาก ถ้าคนไม่มีความเพียรที่ถูกต้องจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย พยายามสร้างตบะสร้างบารมีกันเอาไว้ อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งวัด ตื่นขึ้นมาก็ทำใจให้เป็นบุญ ใจมีความสงบ มีความสะอาดก็ยิ่งเป็นบุญมากมาย ความไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความเกิดๆ ดับๆ ทางด้านรูปธรรมก็เกิดตั้งแต่เป็นทารกจนกระทั่งถึงอายุปูนนี้ เขาก็เปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีการพัฒนา มีความรับผิดชอบ อันนี้เพียงแค่ส่วนรูป ส่วนรูป รูปธรรม
ส่วนตัวจิต ตัววิญญาณ เขามีการพัฒนาในการละกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละ มีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนกว่าจะคลายออกหมดจากจิตจากใจของเรา ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ทานระดับสมมติ ทานระดับวิมุตติ ระดับสมมติก็ทางด้านวัตถุทานต่างๆ ที่เราทำกันอยู่ตลอด ระดับวิมุตติก็คือ การเดินปัญญา แยกรูป แยกนาม เข้าใจในการละกิเลสละอารมณ์ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ดับความเกิด ถึงจะเรียกว่า ระดับวิมุตติ ปรมัตถธรรม สมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ ความจริงของสมมติ ความจริงของวิมุตติ มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงตรงนั้นได้หรือไม่ เข้าถึงแล้วพวกเราจะทำความเข้าใจได้หรือไม่ มีหมด ไม่ใช่ว่าไม่มี ทางสมมติก็มีเหตุมีผล กิเลสมารต่างๆ เขาก็มีเหตุมีผล ทางด้านหลักธรรมเขาก็มีเหตุมีผล กายของเรานี่แหละเขาเรียกว่าขันธมาร เป็นก้อนมาร หรือว่าก้อนบุญ
จิตของเราก็หลอกตัวเองเหมือนกัน หลอกในการไปในการมา ในความหลงความเกิดของเขา เขาหลอกตัวเอง หลอกมาวัด หลอกมาเอาบุญ หลอกมาสร้างบารมี ในหลักธรรมแล้วท่านให้คลายออกให้หมด ดับความเกิด จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ในการสร้างกุศลสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ตื่นขึ้นมาก็รีบจัดการทำความเข้าใจเสีย ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ พรหมวิหารมีกันทุกคน ความเสียสละมีกันทุกคน เว้นแต่ว่าสติปัญญาของเราจะหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ต่อเนื่องทุกเรื่องหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้ารู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย มีความสุขในการดู ในการรู้ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง บุญระดับสมมติก็ให้เต็มเปี่ยม
แต่การละกิเลสที่จะถึงวิมุตติก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกท่านเอง การเจริญสติ การละกิเลส ทุกอิริยาบถ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็จัดการเมื่อนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นเช้า จะไปจัดการเย็น ไม่ใช่ เกิดขึ้นขณะนี้ก็ละขณะนี้ ดับขณะนี้ แก้ไขทันควันทันที ไม่ให้เกิดให้ความอยากแม้แต่นิดเดียวเลย เกิดขึ้นที่ต้นเหตุ อันนี้เรื่องของกาย เรื่องของจิต จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ เราจะบริหารอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะมีความสุข ทำไมจิตถึงเกิด ทำไมจิตถึงหลง ทำไมจิตถึงเป็นทาสของกิเลส หน้าตาอาการของกิเลสเป็นอย่างไร อายุมาก ฝึกหัดปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ก็พยายามสร้างสานต่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ถ้าเราเข้าใจดำเนินไปแล้ว อยู่คนเดียวเราก็ย่อมจะรู้ ย่อมจะเข้าใจถ้าอานิสงส์ของเราเต็ม อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปอิจฉาริษยาคนโน้นคนนื้เห็นใครทำดีแล้วมีความสุขก็อนุโมทนาสาธุ เราก็มีส่วนร่วม หรือว่ามีโอกาสเราก็ร่วมทั้งกายทั้งใจ ทั้งสมมติ มีโอกาสเราก็เข้าไปทำ ไม่เสียหายอะไร มีตั้งแต่ผลดี ถ้าใจไม่ดีอยู่คนเดียวมันก็ไม่ดี ก็รีบแก้ไข อย่าพากันเกียจคร้าน เอาความขยันหมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง ความเสียสละเป็นที่ตั้ง
ต่อไปในวันข้างหน้าญาติโยมจะไม่อยู่เฉพาะแค่นี้ จะมีมาหลั่งไหลมามากมาย เพราะว่าหลวงพ่อมองเห็นตั้งแต่เข้ามาอยู่ป่าช้าตั้งแต่วันแรกโน้น เคยประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันแรก เข้ามาในป่าช้านี้สว่างไปหมด ตั้งแต่คืนแรกวันแรก แล้วก็เห็นคนหลั่งไหลมามากมายเต็มไปหมด หลวงพ่อถึงมองเห็นว่าจะทำแหล่งนี้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของหมู่บ้าน ของตำบล ของจังหวัด ของประเทศ ก็เป็นดั่งที่หลวงพ่อพูดเอาไว้ จากความไม่มี จากศูนย์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มทำให้เป็นกองบุญอันใหญ่ ทีนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็บริบูรณ์หมด หลวงพ่อถึงจะได้พาฉลองสมโภชใหญ่ ตั้งแต่วันแรก 30 ปีก่อน จนกระทั่งถึงวันนี้ สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ว่าปีหน้า ปีที่หลวงพ่อจะพาฉลองนี่คือสมบูรณ์หมด อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่นี่ เหล่าเทพเทวดามาจากก่อนเป็นมิจฉาทิฏฐิ กลายเป็นสัมมาทิฏฐิ มาช่วยกันหมด จากความไม่มี จนเต็มบริบูรณ์ ก็จะได้ฉลองสมโภช ให้ทุกคนได้มีความสุข มีโอกาสก็ได้มาร่วมกันนะ
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 เมษายน 2556
วันนี้ก็เป็นวันพระใหญ่ เมษายน ใกล้วันสงกรานต์ ญาติโยมก็พากันมาวัดกันเยอะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทย คนไทยใจบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน วันพระ สมาทานศีล ถวายทานกันเสียก่อน อากาศก็ร้อน อากาศก็ร้อน สำคัญทุกวัน สำคัญทุกลมหายใจเข้าออก วันพระก็หายใจ ถ้าไม่หายใจก็ตาย วันนี้เช้านี้ 2 ศพเลย มารับโลง บ้านโคก 7-8 ศพ ภายใน 2 อาทิตย์ เช้านี้ก็ 2 นั่นแหละความตาย ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา อย่าพากันประมาท เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา อยู่ก็พร้อม ไปก็พร้อม สร้างตบะสร้างบารมี ทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน สร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้เต็มเปี่ยม
อย่าลืมในการดูรู้ใจของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้ใจ รู้กาย อะไรควรทำ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ให้รีบๆ ทำขณะยังมีกำลัง ขณะยังมีลมหายใจ หมดลมหายใจแล้วก็หยุด นอกนั้นก็มีตั้งแต่วิบากของกรรม ตราบใดที่ใจยังไม่อยู่เหนือกรรม พากันดูดีๆนะ พระเราชีเรา เรื่องการขบการฉันนี่แหละสำคัญ คนไปมองข้าม เรื่องอาหาร การอยู่ การรับประทาน เพราะว่าเกี่ยวเนื่องกับร่างกายของเราตั้งแต่เกิด ถ้าเราไม่สังเกต ไม่วิเคราะห์ดูดีๆ เราจะไม่เข้าใจเลย กายของเราหิว ใจของเราเกิดความอยาก เพียงแค่ใจเกิด เราก็ไม่รู้จักควบคุม ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ดับความอยากให้ได้เสียก่อน เพียงแค่ดับความอยากของตัววิญญาณ แล้วค่อยเอา ลึกลงไปอาการของความคิดที่มาปรุงแต่งวิญญาณอีก ซึ่งเรียกว่า นามธรรม มีความคิดผุดขึ้นมา ตัววิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร
ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราถึงจะเข้าไปรู้ลึก เห็นการเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ ซึ่งเป็นนามธรรม แต่เราก็ต้องพยายามดูความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากได้อาหาร อยากไป อยากมา เป็นความอยากที่เกิดจากตัวใจนั่นแหละ เราพยายามควบคุมให้ได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ใจเริ่มกระดุกกระดิกก่อตัว เริ่มปรุงเริ่มแต่ง นั่นแหละต้นตอต้นเหตุอยู่ตรงนั้นแหละ ความเกิดของวิญญาณ ความคิดกับวิญญาณเข้าไปรวมกัน ถ้าแยกได้เราก็จะเห็นต้นเหตุ นั่นแหละพระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุตรงนั้น แยกได้ คลายได้ ตามทำความเข้าใจได้ ทีนี้เราจะละได้ ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้หมดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราอีก แต่ส่วนมากก็ใจมันเกิด มันวิ่ง วิ่งหาบุญ วิ่งหาธรรม การเกิดของใจก็อยู่ในบุญอยู่ แต่ความเกิดนั้นก็ปิดกั้นตัวเขาเองเอาไว้ เราต้องเห็น ต้องรู้ ต้องละตั้งแต่ต้นเหตุ ทีนี้สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละไปเกิดแทน ไปดำเนินทำหน้าที่แทน เอาไปใช้ให้ใจรับรู้ จนกว่ากายของเราจะแตกจะดับ
พูดยาก พูดยาก ถ้าคนไม่มีความเพียรที่ถูกต้องจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนี้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย พยายามสร้างตบะสร้างบารมีกันเอาไว้ อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งวัด ตื่นขึ้นมาก็ทำใจให้เป็นบุญ ใจมีความสงบ มีความสะอาดก็ยิ่งเป็นบุญมากมาย ความไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความเกิดๆ ดับๆ ทางด้านรูปธรรมก็เกิดตั้งแต่เป็นทารกจนกระทั่งถึงอายุปูนนี้ เขาก็เปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีการพัฒนา มีความรับผิดชอบ อันนี้เพียงแค่ส่วนรูป ส่วนรูป รูปธรรม
ส่วนตัวจิต ตัววิญญาณ เขามีการพัฒนาในการละกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละ มีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนกว่าจะคลายออกหมดจากจิตจากใจของเรา ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ทานระดับสมมติ ทานระดับวิมุตติ ระดับสมมติก็ทางด้านวัตถุทานต่างๆ ที่เราทำกันอยู่ตลอด ระดับวิมุตติก็คือ การเดินปัญญา แยกรูป แยกนาม เข้าใจในการละกิเลสละอารมณ์ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ดับความเกิด ถึงจะเรียกว่า ระดับวิมุตติ ปรมัตถธรรม สมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ ความจริงของสมมติ ความจริงของวิมุตติ มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงตรงนั้นได้หรือไม่ เข้าถึงแล้วพวกเราจะทำความเข้าใจได้หรือไม่ มีหมด ไม่ใช่ว่าไม่มี ทางสมมติก็มีเหตุมีผล กิเลสมารต่างๆ เขาก็มีเหตุมีผล ทางด้านหลักธรรมเขาก็มีเหตุมีผล กายของเรานี่แหละเขาเรียกว่าขันธมาร เป็นก้อนมาร หรือว่าก้อนบุญ
จิตของเราก็หลอกตัวเองเหมือนกัน หลอกในการไปในการมา ในความหลงความเกิดของเขา เขาหลอกตัวเอง หลอกมาวัด หลอกมาเอาบุญ หลอกมาสร้างบารมี ในหลักธรรมแล้วท่านให้คลายออกให้หมด ดับความเกิด จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ในการสร้างกุศลสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ตื่นขึ้นมาก็รีบจัดการทำความเข้าใจเสีย ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ พรหมวิหารมีกันทุกคน ความเสียสละมีกันทุกคน เว้นแต่ว่าสติปัญญาของเราจะหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ต่อเนื่องทุกเรื่องหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้ารู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย มีความสุขในการดู ในการรู้ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง บุญระดับสมมติก็ให้เต็มเปี่ยม
แต่การละกิเลสที่จะถึงวิมุตติก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกท่านเอง การเจริญสติ การละกิเลส ทุกอิริยาบถ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็จัดการเมื่อนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นเช้า จะไปจัดการเย็น ไม่ใช่ เกิดขึ้นขณะนี้ก็ละขณะนี้ ดับขณะนี้ แก้ไขทันควันทันที ไม่ให้เกิดให้ความอยากแม้แต่นิดเดียวเลย เกิดขึ้นที่ต้นเหตุ อันนี้เรื่องของกาย เรื่องของจิต จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ เราจะบริหารอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะมีความสุข ทำไมจิตถึงเกิด ทำไมจิตถึงหลง ทำไมจิตถึงเป็นทาสของกิเลส หน้าตาอาการของกิเลสเป็นอย่างไร อายุมาก ฝึกหัดปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ก็พยายามสร้างสานต่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ถ้าเราเข้าใจดำเนินไปแล้ว อยู่คนเดียวเราก็ย่อมจะรู้ ย่อมจะเข้าใจถ้าอานิสงส์ของเราเต็ม อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปอิจฉาริษยาคนโน้นคนนื้เห็นใครทำดีแล้วมีความสุขก็อนุโมทนาสาธุ เราก็มีส่วนร่วม หรือว่ามีโอกาสเราก็ร่วมทั้งกายทั้งใจ ทั้งสมมติ มีโอกาสเราก็เข้าไปทำ ไม่เสียหายอะไร มีตั้งแต่ผลดี ถ้าใจไม่ดีอยู่คนเดียวมันก็ไม่ดี ก็รีบแก้ไข อย่าพากันเกียจคร้าน เอาความขยันหมั่นเพียรเป็นที่ตั้ง ความเสียสละเป็นที่ตั้ง
ต่อไปในวันข้างหน้าญาติโยมจะไม่อยู่เฉพาะแค่นี้ จะมีมาหลั่งไหลมามากมาย เพราะว่าหลวงพ่อมองเห็นตั้งแต่เข้ามาอยู่ป่าช้าตั้งแต่วันแรกโน้น เคยประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันแรก เข้ามาในป่าช้านี้สว่างไปหมด ตั้งแต่คืนแรกวันแรก แล้วก็เห็นคนหลั่งไหลมามากมายเต็มไปหมด หลวงพ่อถึงมองเห็นว่าจะทำแหล่งนี้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของหมู่บ้าน ของตำบล ของจังหวัด ของประเทศ ก็เป็นดั่งที่หลวงพ่อพูดเอาไว้ จากความไม่มี จากศูนย์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มทำให้เป็นกองบุญอันใหญ่ ทีนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็บริบูรณ์หมด หลวงพ่อถึงจะได้พาฉลองสมโภชใหญ่ ตั้งแต่วันแรก 30 ปีก่อน จนกระทั่งถึงวันนี้ สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ว่าปีหน้า ปีที่หลวงพ่อจะพาฉลองนี่คือสมบูรณ์หมด อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่นี่ เหล่าเทพเทวดามาจากก่อนเป็นมิจฉาทิฏฐิ กลายเป็นสัมมาทิฏฐิ มาช่วยกันหมด จากความไม่มี จนเต็มบริบูรณ์ ก็จะได้ฉลองสมโภช ให้ทุกคนได้มีความสุข มีโอกาสก็ได้มาร่วมกันนะ
ตั้งใจรับพรกัน