หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 45
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 45
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 45
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 เมษายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณา ปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรารีบทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา อะไรคือจิตวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ความปกติ ความสงบเป็นอย่างไร ทั้งพระทั้งชี ขยัน ขยันในการทำความเข้าใจ ขยันในการสำรวจ ถ้าเกียจคร้านแล้วก็หมด การฝึกหัดฝึกฝนตนเองให้อยู่ในระบบระเบียบ จัดระบบระเบียบของสมมติ จัดระบบระเบียบของจิตวิญญาณ จนกว่าจะคลายความหลงละกิเลสได้หมดจด
สามเณรก็เหมือนกัน ตัวเล็กๆ น่ารักดี จำกฎของท่านเจ้าคุณได้หรือเปล่า ถ้าอยากอะไรไม่ให้เอา ให้ผ่านเลยไป ถ้าอยากไม่ให้กิน ให้ผ่านเลยไป ห้ามเสียดายอาลัยอาวรณ์อีกด้วย อยากแล้วก็ให้นั่งดู ดับความอยากไม่ได้ก็ให้มันจบเอง แต่วันสึกน้ำหนักต้องเพิ่ม 3 กิโล ถึงจะได้สึก ไม่อย่างนั้นไม่ได้สึกนะ ตัวเล็กๆ ต้องทำน้ำหนัก ไม่รู้ว่าสามเณรคนไหนแอบหนีไปนอนที่หลุมศพ พาเพื่อนไปอยู่ที่หลุมศพ ไปพิจารณา ไปพิจารณาหาใจ มันมีความกล้าหาญ ไม่มีความกลัว อย่าให้เป็นเหมือนกับสามเณรบอลนะ สามเณรบอลนี่เก่ง อยู่ด้วยกัน 8-9 รูป ตกเย็นพาเพื่อนไปนั่งสมาธิรอบหลุมศพ ทุกวันทุกคืน สองทุ่ม บวชได้อยู่ประมาณสักเดือนกว่า ตกเย็นพาหมู่พาคณะไป ไปทุกวันๆ พอสึกจากสามเณรแล้ว ไปโรงเรียน กลับมาวัดอีกที ก็เลยว่า ‘บอลพาเพื่อนไปนั่งที่หลุมศพ’ ‘ไม่ไป’ ‘ทำไมไม่ไป’ ‘สมัยผม ผมบวชเป็นเณร ผมใส่ผ้าเหลืองผีมันก็กลัวผมสิ’ ว่าอย่างนั้น ‘ผมสึกแล้วผมก็กลัวผีสิ’ ก็เลยไม่ไป ยึดติดผ้าเหลืองเป็นสรณะ ผีมันกลัวผ้าเหลือง ว่าอย่างนั้น ‘ผมสึกแล้ว ผมก็กลัวผีสิ ผมไม่มีผ้า’
สามเณรบอล สามเณรมาร์ค สามเณรมาร์ค เจ้าอ้วน ได้บวชเป็นพระแล้วก็สึกไปแล้วแหละ สมัยเป็นเด็ก กลัวผีหลอก อยู่บ้านก็ให้แม่ไปนั่งเฝ้าหน้าห้องส้วม กลางคืนกลัวผีหลอก พอมาบวชเป็นเณรก็ให้ฝึก รู้จักควบคุมจิต รู้จักควบคุมอารมณ์ ช่วงนั้นเขาอาจจะไม่รู้ว่าการควบคุมสติเป็นอย่างไร การควบคุมจิตเป็นอย่างไร แต่เขารู้จัก บอกวิธีแล้วเขาก็รู้จักควบคุมจิตของเขาได้ จิตก็เลยเกิดความกล้าหาญไม่กลัว ไม่กลัว ก็มีพระบวชใหม่มาอยู่ด้วย ตีสี่ตีห้าพระบวชใหม่ก็นอนอยู่ในป่าสามเณรมาร์คก็แอบย่องเข้าไปในป่า ไปดึงขาพระบวชใหม่ ร้องเสียงหลง เณรไม่กลัว แต่พระกลัวผี
มีโอกาส พวกเราก็ได้มาฝึก มาทำความเข้าใจกับชีวิตของเรานั่นแหละ ไม่ได้ชีวิตของใครหรอก เรื่องธรรมะก็เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง มาศึกษาเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เรื่องความเป็นอยู่ แล้วเอาไปใช้กับชีวิต ตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไร สงบ ปกติ ใจของเราตั้งมั่นเป็นสมาธิ หรือว่าใจของเราเกิดความกังวล กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร สติความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร นี่แหละให้มาศึกษา ให้มาสนใจ ไม่ใช่เรื่องของคนโน้นเรื่องคนนี้ เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของตัวเราที่แก้ไขตัวเรา นอกนั้นก็เป็นเรื่องในสังคม สมมติภายนอกที่เราอยู่ร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยกันอยู่ อนุเคราะห์กันอยู่ในระดับของสมมติ แต่การละกิเลสก็เป็นเรื่องของเรา การคลายความหลงก็เป็นเรื่องของเรา เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปแยก เข้าไปสังเกตหมั่นวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ
ตอนนี้ก็เป็นวัน วันศุกร์ วันศุกร์เดือนวันที่ห้า ศุกร์ที่ 5 เมษายน วันที่ 7 วันที่ 7 วันตรงกับวันอาทิตย์ ก็จะได้ทำพิธีไถ่ชีวิตโค ประมาณ 19 คู่ มีท่านผู้ใจบุญจากทางไกลจากทางกรุงเทพโน่นแหละ ทางกรุงเทพ สมุทรปราการ ท่านมีโอกาสได้มาไถ่ชีวิตโค พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมอนุโมทนาสาธุด้วยกัน ก็เป็นบุญ มาไถ่ชีวิตโคมายืดชีวิตโค ให้ยืนยาวเข้าไปอีก ไม่ให้เขาส่งไปฆ่า โรงฆ่าสัตว์ เพื่อต่อชีวิต ได้สักหน่อยก็ยังดี
หลักของความเป็นจริงทุกคนก็เกิดมาก็เข้าสู่ความตายเหมือนหมดกันหมดทุกคนจะตาย ตายช้าตายเร็วตายดีตายไม่ดีเท่านั้นเอง แต่เราก็ต้องพยายามเลือกทางเดินให้ได้เสียก่อน อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ละ อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญ เราก็พยายามหมั่นทำ หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ไม่ใช่ว่าธรรมะจะไปอยู่กับคนโน้นคนนี้ หรืออยู่ในกายในใจของเรานะ กายของเราเป็นก้อนบุญ กายของเราเป็นก้อนธรรม
เรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ดู รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักควบคุม รู้จักยับยั้ง รู้จักหมั่นพร่ำสอนใจตัวเราเองกันตลอดเวลา ทำไมเราถึงเกิดความทุกข์ ทำไมเราถึงไม่มีความเพรียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง เราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็จะรีบแก้ไขตัวเราเอง แก้ได้มาก แก้ได้น้อย เราก็พยายามแก้ไข แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ท่านเอามาจำแนกแจกแจง ท่านชี้แนะแนวทางให้ เพราะว่าความเป็นจริงธรรมชาตินั้นมีมาแต่ก่อน คือความบริสุทธิ์ของใจ ความหลงทำให้เกิด เพียงแค่การเกิดของจิตก็หลง ถ้าเขาไม่หลง เขาไม่เกิด นี่เขามาหลงจนมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาปกปิดเอาไว้ แล้วก็เป็นทาสของกิเลสมาปกปิดเอาไว้ หลายสิ่งหลายอย่างมากมายทีเดียว
ถ้าคนเราไม่พิจารณาให้ละเอียดจริงๆ แล้วก็ให้ถูกต้องจริงๆ ยากที่จะเข้าใจในชีวิต ก็เข้าใจอยู่ในภาพรวม มันก็ได้อยู่แค่ในภาพรวม ได้อานิสงส์ได้บุญ ได้กุศลอยู่ในภาพรวม แต่จิตใจยังไม่หลุดพ้น ถ้าอยากจะให้หลุดพ้นจริงๆ เราก็ต้องรู้จุดเกิด เห็นการเกิดการดับ จำแนกแจกแจงทำความเข้าใจ แล้วก็ละขัดเกลาตัวเราเองตลอดเวลา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม
คนเราสร้างมาไม่เหมือนกัน สร้างอานิสงส์มา บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมาพร้อมมูลทั้งสองอย่าง ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็เลยไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา แต่อย่าลืมทิ้งบุญ ไปที่ไหนก็ทำบุญ ทำบุญให้กับตัวเรา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในอิริยาบถใด เพียงแค่ความคิด ก็ให้คิดในแง่กุศล ถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละ อย่าให้เป็นราคีกับจิตใจของเรา อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติอะไรคือวิญญาณในกายของเรา ต้องพยายามกัน
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 เมษายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณา ปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรารีบทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา อะไรคือจิตวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ความปกติ ความสงบเป็นอย่างไร ทั้งพระทั้งชี ขยัน ขยันในการทำความเข้าใจ ขยันในการสำรวจ ถ้าเกียจคร้านแล้วก็หมด การฝึกหัดฝึกฝนตนเองให้อยู่ในระบบระเบียบ จัดระบบระเบียบของสมมติ จัดระบบระเบียบของจิตวิญญาณ จนกว่าจะคลายความหลงละกิเลสได้หมดจด
สามเณรก็เหมือนกัน ตัวเล็กๆ น่ารักดี จำกฎของท่านเจ้าคุณได้หรือเปล่า ถ้าอยากอะไรไม่ให้เอา ให้ผ่านเลยไป ถ้าอยากไม่ให้กิน ให้ผ่านเลยไป ห้ามเสียดายอาลัยอาวรณ์อีกด้วย อยากแล้วก็ให้นั่งดู ดับความอยากไม่ได้ก็ให้มันจบเอง แต่วันสึกน้ำหนักต้องเพิ่ม 3 กิโล ถึงจะได้สึก ไม่อย่างนั้นไม่ได้สึกนะ ตัวเล็กๆ ต้องทำน้ำหนัก ไม่รู้ว่าสามเณรคนไหนแอบหนีไปนอนที่หลุมศพ พาเพื่อนไปอยู่ที่หลุมศพ ไปพิจารณา ไปพิจารณาหาใจ มันมีความกล้าหาญ ไม่มีความกลัว อย่าให้เป็นเหมือนกับสามเณรบอลนะ สามเณรบอลนี่เก่ง อยู่ด้วยกัน 8-9 รูป ตกเย็นพาเพื่อนไปนั่งสมาธิรอบหลุมศพ ทุกวันทุกคืน สองทุ่ม บวชได้อยู่ประมาณสักเดือนกว่า ตกเย็นพาหมู่พาคณะไป ไปทุกวันๆ พอสึกจากสามเณรแล้ว ไปโรงเรียน กลับมาวัดอีกที ก็เลยว่า ‘บอลพาเพื่อนไปนั่งที่หลุมศพ’ ‘ไม่ไป’ ‘ทำไมไม่ไป’ ‘สมัยผม ผมบวชเป็นเณร ผมใส่ผ้าเหลืองผีมันก็กลัวผมสิ’ ว่าอย่างนั้น ‘ผมสึกแล้วผมก็กลัวผีสิ’ ก็เลยไม่ไป ยึดติดผ้าเหลืองเป็นสรณะ ผีมันกลัวผ้าเหลือง ว่าอย่างนั้น ‘ผมสึกแล้ว ผมก็กลัวผีสิ ผมไม่มีผ้า’
สามเณรบอล สามเณรมาร์ค สามเณรมาร์ค เจ้าอ้วน ได้บวชเป็นพระแล้วก็สึกไปแล้วแหละ สมัยเป็นเด็ก กลัวผีหลอก อยู่บ้านก็ให้แม่ไปนั่งเฝ้าหน้าห้องส้วม กลางคืนกลัวผีหลอก พอมาบวชเป็นเณรก็ให้ฝึก รู้จักควบคุมจิต รู้จักควบคุมอารมณ์ ช่วงนั้นเขาอาจจะไม่รู้ว่าการควบคุมสติเป็นอย่างไร การควบคุมจิตเป็นอย่างไร แต่เขารู้จัก บอกวิธีแล้วเขาก็รู้จักควบคุมจิตของเขาได้ จิตก็เลยเกิดความกล้าหาญไม่กลัว ไม่กลัว ก็มีพระบวชใหม่มาอยู่ด้วย ตีสี่ตีห้าพระบวชใหม่ก็นอนอยู่ในป่าสามเณรมาร์คก็แอบย่องเข้าไปในป่า ไปดึงขาพระบวชใหม่ ร้องเสียงหลง เณรไม่กลัว แต่พระกลัวผี
มีโอกาส พวกเราก็ได้มาฝึก มาทำความเข้าใจกับชีวิตของเรานั่นแหละ ไม่ได้ชีวิตของใครหรอก เรื่องธรรมะก็เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง มาศึกษาเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เรื่องความเป็นอยู่ แล้วเอาไปใช้กับชีวิต ตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไร สงบ ปกติ ใจของเราตั้งมั่นเป็นสมาธิ หรือว่าใจของเราเกิดความกังวล กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร สติความระลึกรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร นี่แหละให้มาศึกษา ให้มาสนใจ ไม่ใช่เรื่องของคนโน้นเรื่องคนนี้ เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของตัวเราที่แก้ไขตัวเรา นอกนั้นก็เป็นเรื่องในสังคม สมมติภายนอกที่เราอยู่ร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยกันอยู่ อนุเคราะห์กันอยู่ในระดับของสมมติ แต่การละกิเลสก็เป็นเรื่องของเรา การคลายความหลงก็เป็นเรื่องของเรา เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปแยก เข้าไปสังเกตหมั่นวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ
ตอนนี้ก็เป็นวัน วันศุกร์ วันศุกร์เดือนวันที่ห้า ศุกร์ที่ 5 เมษายน วันที่ 7 วันที่ 7 วันตรงกับวันอาทิตย์ ก็จะได้ทำพิธีไถ่ชีวิตโค ประมาณ 19 คู่ มีท่านผู้ใจบุญจากทางไกลจากทางกรุงเทพโน่นแหละ ทางกรุงเทพ สมุทรปราการ ท่านมีโอกาสได้มาไถ่ชีวิตโค พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมอนุโมทนาสาธุด้วยกัน ก็เป็นบุญ มาไถ่ชีวิตโคมายืดชีวิตโค ให้ยืนยาวเข้าไปอีก ไม่ให้เขาส่งไปฆ่า โรงฆ่าสัตว์ เพื่อต่อชีวิต ได้สักหน่อยก็ยังดี
หลักของความเป็นจริงทุกคนก็เกิดมาก็เข้าสู่ความตายเหมือนหมดกันหมดทุกคนจะตาย ตายช้าตายเร็วตายดีตายไม่ดีเท่านั้นเอง แต่เราก็ต้องพยายามเลือกทางเดินให้ได้เสียก่อน อะไรที่เป็นอกุศลเราก็ละ อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญ เราก็พยายามหมั่นทำ หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ไม่ใช่ว่าธรรมะจะไปอยู่กับคนโน้นคนนี้ หรืออยู่ในกายในใจของเรานะ กายของเราเป็นก้อนบุญ กายของเราเป็นก้อนธรรม
เรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ดู รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักควบคุม รู้จักยับยั้ง รู้จักหมั่นพร่ำสอนใจตัวเราเองกันตลอดเวลา ทำไมเราถึงเกิดความทุกข์ ทำไมเราถึงไม่มีความเพรียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง เราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็จะรีบแก้ไขตัวเราเอง แก้ได้มาก แก้ได้น้อย เราก็พยายามแก้ไข แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ท่านเอามาจำแนกแจกแจง ท่านชี้แนะแนวทางให้ เพราะว่าความเป็นจริงธรรมชาตินั้นมีมาแต่ก่อน คือความบริสุทธิ์ของใจ ความหลงทำให้เกิด เพียงแค่การเกิดของจิตก็หลง ถ้าเขาไม่หลง เขาไม่เกิด นี่เขามาหลงจนมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาปกปิดเอาไว้ แล้วก็เป็นทาสของกิเลสมาปกปิดเอาไว้ หลายสิ่งหลายอย่างมากมายทีเดียว
ถ้าคนเราไม่พิจารณาให้ละเอียดจริงๆ แล้วก็ให้ถูกต้องจริงๆ ยากที่จะเข้าใจในชีวิต ก็เข้าใจอยู่ในภาพรวม มันก็ได้อยู่แค่ในภาพรวม ได้อานิสงส์ได้บุญ ได้กุศลอยู่ในภาพรวม แต่จิตใจยังไม่หลุดพ้น ถ้าอยากจะให้หลุดพ้นจริงๆ เราก็ต้องรู้จุดเกิด เห็นการเกิดการดับ จำแนกแจกแจงทำความเข้าใจ แล้วก็ละขัดเกลาตัวเราเองตลอดเวลา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม
คนเราสร้างมาไม่เหมือนกัน สร้างอานิสงส์มา บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมาพร้อมมูลทั้งสองอย่าง ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็เลยไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา แต่อย่าลืมทิ้งบุญ ไปที่ไหนก็ทำบุญ ทำบุญให้กับตัวเรา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในอิริยาบถใด เพียงแค่ความคิด ก็ให้คิดในแง่กุศล ถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละ อย่าให้เป็นราคีกับจิตใจของเรา อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติอะไรคือวิญญาณในกายของเรา ต้องพยายามกัน
ตั้งใจรับพรกัน