หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 25

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 25
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 25
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 25
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 มีนาคม 2556

วันนี้อากาศก็เย็น สงสัยฝนคงจะตกที่อื่น อากาศทั้งเย็นทั้งหนาว มาจากไหนกัน ในตลาด ได้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ก็มาถวาย ยกเข้ามาชนกันเลยก็ได้ อยากถวายพระ ใจก็เป็นพระ ใจเกิดเมื่อไรก็หยุดเมื่อนั้นน่ะ เข้ามาใกล้ๆ ถวายพระถวายไตรจีวร แต่ยังเกิดอยู่ ถ้ายังเกิดอยู่ก็คงจะได้เกิดเป็นพระ บวชเป็นพระต่อไปวันข้างหน้า

เหมือนกับโยมผู้เฒ่าคนหนึ่งนอนจะหมดลมหายใจอยู่​ ระรวยมาเป็นเดือน ​3-4 วันสุดท้าย ข้าวไม่ทานอะไรไม่ทาน หลานสะใภ้ลูกสะใภ้ก็เลยมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปดู ให้ไปดูเพื่อที่จะดูใจเป็นครั้งสุดท้าย หลวงพ่อก็เลยไป พอหลวงพ่อไปเท่านั้นแหละ หลวงพ่อไปจับดู เอาน้ำมันไปทาให้ เอาน้ำมันไปทาให้ น้ำมันหอมไปทาให้ ไปจับไปนวดดู หลังจากหลวงพ่อนวดน้ำมันเสร็จอะไรเสร็จ เยี่ยวออกๆ ถ่ายออกๆ เยี่ยวออก ลูกสะใภ้ก็เลยพาไปโรงพยาบาล เพราะว่าจะปล่อยให้ไปแล้ว ก็เลยพาไปโรงพยาบาล

พาไปโรงบาลก็เลยฟื้น​ อยู่โรงพยาบาลเดือนกว่าอีก​ ก็เลยฟื้น ฟื้นขึ้นมาแล้วก็กลับมาเล่าให้ฟัง​ ว่าขณะที่นอนป่วยจะไปแหล่ไม่ไปแหล่อยู่นั่น ไปเจอเหตุการณ์เยอะมากมายว่าอย่างนั้น ไปเจอเหตุการณ์ต่างๆ เพราะว่าแต่ก่อนท่านกินเหล้าเมายา วัดไม่เคยเข้า ไม่เคยเข้า กินเหล้าเมายา เลี้ยงปลา​ เลี้ยงนก เลี้ยงสารพัดอย่างอยู่ในสวน หลวงพ่อไป หลวงพ่อก็เลยไปขอบิณฑบาต เพราะว่าหลวงพ่อขอบิณฑบาตนะ พวกสัตว์อยู่ในสวน พวกอะไรอยู่ในสวนต่างๆ ฟื้นแล้วค่อยเอาไปส่งหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่าอย่างนั้น

ท่านก็เลยมาเล่าให้ฟังว่า​ ใกล้จะหมดลมหายใจ​ กาที่ท่านเลี้ยงก็มาหา บอกว่าให้ไปหายใจช่วยหน่อยว่าอย่างนั้น ก็วิ่งไปหายใจช่วยกา ถ้าหมดลมช่วงนั้นวิญญาณคงเข้าในร่างของกา พอหายใจช่วยกาเสร็จ แล้วก็ปลาที่ท่านเลี้ยงก็มาหาบอกให้ไปหายใจช่วยหน่อย ก็วิ่งไปหายใจช่วยปลา ช่วยปลา ช่วยกาแล้วก็หลายอย่างอยู่ เห็นวิบากกรรมตรงนั้น ทรมานทั้งที่รู้ๆ​ แต่ก็พูดไม่ได้ก็ว่าอย่างนั้น พอพูดไม่ได้ เพราะว่าโดนบังคับ โดนบังคับให้ไป ให้ไปตรงนั้น หายใจช่วยปลา ช่วยกาบ้าง ช่วยหลายอย่าง​ หลวงพ่อจำไม่ได้เท่าไรช่วงนั้นหลวงพ่อก็ไปขอบิณฑบาต

พอหลังจากกระนั้นเสร็จ ท่านบอกว่ามีบุญอันหนึ่งที่เคยได้ทำบุญถวายผ้าไตรมาช่วยเอาไว้ ช่วงที่หลวงพ่อไปนั่นแหละว่าอย่างนั้น​ เห็นผ้าไตร เห็นบุญอานิสงส์ถวายผ้าไตร ทำบุญกฐิน ก็เลยได้ฟื้นขึ้นมา พอฟื้นขึ้นมา ก็เลยได้ไปโรงพยาบาล นอนโรงพยาบาลอยู่สองเดือนกว่าก็เลยออกมา พอออกจากโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ เหล้าก็ไม่กิน ท่านมาปัดกวาดทำความสะอาดเอาสัตว์อยู่ในสวนมาให้หลวงหมดเลย หลวงพ่อเลี้ยงได้สักพัก หลวงพ่อก็ปล่อยให้หมด

สมัยก่อนหลวงพ่อก็เลี้ยงนกกาเหว่าด้วย ร่วม ​8-9 ตัว เพราะว่าเห็นเขาขัง เขาเลี้ยงเขาขังทรมาน หลวงพ่อก็ไปขอซื้อมา มาแล้วทำกรงขังเลี้ยง ให้เอาอาหารให้ทาน พอเขาแข็งแรงหน่อยหลวงพ่อก็เปิดประตูกรงให้เขาค่อยไปเอา ถ้าตัวไหนยังไปไม่ได้ก็ย้อนกลับมากินอาหาร เขาก็บินมาเกาะอยู่ที่หน้ากุฏิหลวงพ่อนั่นแหละ เวลาหลวงพ่อออกจากกุฏิ เขาก็บินลงมาเกาะจีวรเต็มไปหมดเลย ปล่อยไปหลายตัว เพราะถูกกักขังมานาน บางคนก็มาอคติหลวงพ่อ เอ๊ะ พระอะไรเอานกมาขังมาเลี้ยงอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อไปเอามาเลี้ยง แล้วก็เอามา​ เอามาปล่อย เลี้ยงแล้วก็ให้เขา​ เลี้ยงให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ แล้วค่อยปล่อยไป

ผู้เฒ่าคนนั้นก็หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาก็เดินจงกรมสร้างสติ เดินจงกรม รีบทำบุญสารพัดอย่าง เห็น เพราะว่าไปเห็นยมทูตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวก็เลยรีบทำบุญใหญ่ ก่อนที่ยังเหลือเวลาอยู่แค่อีก ออกจากโรงพยาบาลมา ยืดอายุได้อีก 2 ปีถึงตาย อายุ 70 กว่า ก็คนแถวสามเหลี่ยมนี่แหละใกล้ๆ หลายคนที่ไปเจอไปเห็น

บางคนเอามาเผาช่วงที่หลวงพ่ออยู่องค์เดียว เอามาเผาอยู่ในป่า ตื่นเช้าขึ้นมาตี 4 ตี 5 สมัยก่อนก็เป็นทางเล็กๆ มีป่ารกป่าหนาม ไม่ค่อยจะเจริญเท่าไร เดินเข้าไปที่เมรุได้ยินเสียงไอ โครมๆๆ​ เสียงคนไอ หลวงพ่อก็เดินลงไปดู มีหนูตัวเบ้อเริ่มเลยอยู่บนตอไม้ ผู้ชายคนนั้นก็ตั้งแต่เป็นชีวิตอยู่เขาก็เป็นวัณโรค ไอโครมๆๆ เขาชอบยิงหนู ไปยิงหนูไปล่าหนูอยู่ตลอด สงสัยวิญญาณคงจะเข้าร่างหนู ไออยู่บนตอไม้ตัวเบ้อเริ่มเลย ตี 4 ตี 5 เนี่ยหลวงพ่อลงไป​ ก็เลย ขนาดหลวงพ่อลงไปลูบเขาก็ยังไออยู่อย่างนั้นนะ ไปจับหาง ไปลูบ ก็ว่าให้รีบไปเสีย ถ้าคนมาเจอแล้วก็จะเอาไปฆ่าอีกก็บอกว่าอย่างนั้น ก็เลยมองเห็นว่าวิญญาณเข้าในร่างสัตว์แล้ว เขาเข้าไปสิงในร่างสัตว์ เพราะว่าตั้งแต่ก่อนเขาไปล่าตั้งแต่หนู ยิงแต่หนู หนูนา​ หนูพุก หนูอะไรต่างๆ นี่แหละ คนบ้านสำราญนี่แหละไม่ใช่คนที่ไหนหรอก

แต่ก่อน ตั้งหลายปี 30 กว่าปี 20 กว่าปี ตั้งแต่หลวงพ่อเข้ามาปีหรือสองปีแรกอยู่ในป่า เห็นวิญญาณตรงนี้ บางทีก็เห็นวิญญาณของพวกแม่ขาวด้วย วิญญาณของพวกแม่ขาวลอยไปลอยมา อยู่แถวๆ ฝั่งตะวันตก หลวงพ่อไปรับนิมนต์ในบ้าน ออกมาองค์เดียวก็เห็นแม่ขาวมานั่งกราบไหว้พระอยู่ตรงนี้เลย พอหลวงพ่อเลี้ยวเข้ามาแค่นั้นแหละ แล้วเห็นแม่ขาวมาไหว้พระแล้วก็เดินออกไป หลวงพ่อก็ตามไป ว่า เอ๊ะ แม่ขาวมาจากไหน แม่ขาวมาจากไหน ตามไปก็ไม่เห็นนะไม่เห็นมี แต่มองเห็นอยู่กันเป็นรูปร่างคนมากราบมาไหว้ วิญญาณของแม่ขาว เดี๋ยวทุกวันนี้ยังมี คอยดูแลวัดอยู่ คอยดูแลวัดอยู่

กับมีผู้เฒ่าคนจีนอยู่ที่ฝั่งทางกลางป่าฝั่งทางโน้น ช่วงตี 4 ตี 5 หลวงพ่อก็เดินเล่นอยู่ในป่าช้า ได้ยินเสียงไอเขา ไอเหมือนกับคนจีนไอนี่แหละ คนผู้เฒ่าผู้แก่อยู่ใต้ต้นไม้ ดึกๆ​ เอ๊ะใครมาไออยู่ที่ตรงนี้ หลวงพ่อก็เดินไปดูก็ไม่เห็นมี ก็มาดูแล ท่านชอบมาช่วยชี้แนะให้ ใครติดขัดอะไรท่านก็มาช่วยชี้แนะแนวทางให้ มาหา เห็นเยอะ เห็นเยอะ​ วิญญาณเยอะ สมัยก่อน แล้วก็วิญญาณของเด็กนี่มากมาย มากมาย วิญญาณของเด็กนี้มากมาย มาเล่นด้วย มาดึงแขนดึงขา จับหลวงพ่อโยนขึ้นเล่นกันสนุกสนานนะ ช่วงใหม่ๆ เดี๋ยว​นี้เขากลายเป็นเทพหมดแล้ว กลายเป็นเทวดาหมดแล้ว มาช่วยเหลือหลวงพ่อหมดเลยวิญญาณอยู่ในนี้ หลวงพ่อพาสร้างบุญสร้างกุศล กลายเป็นเทวดาไปหมด

ตั้งแต่ก่อน สมัยก่อนไม่ค่อยจะได้ทำบุญกัน นานๆ ปีหนึ่งได้ทำบุญกฐินทีหนึ่ง คนก็ไม่ค่อยจะได้ใส่บาตรกันเท่าไร มาใส่บาตรดีก็ช่วงอะไรตาย ช่วงพันโทหรือพันตรีอะไร​ ที่ตายแล้วก็ออกมาเล่าเรื่องตายให้ฟัง ไปแล้วก็ไม่ได้ดื่มน้ำไม่ค่อยได้ทานข้าว พันตรีสนอง พันตรีสนอง​ เอามาเล่า คนก็เริ่มใส่บาตรดีกันตรงนั้นแหละ ใส่บาตรแล้วก็ใส่น้ำ ว่าไม่ได้ดื่มน้ำ​ อดอยากลำบาก พอหลวงพ่อไปบิณฑบาตเท่านั้นแหละ น้ำเต็มบาตรเลย หนักก็หนัก คนเริ่มใส่บาตร กลัวไม่ได้ดื่มน้ำ ก็เริ่มทำบุญมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ก่อนนี่ทำบุญ บางทีนานๆ เป็นเดือน มีเวลาว่างเป็นเดือนเป็นอาทิตย์ แต่ชอบใส่บาตรอยู่ แต่ไม่ค่อยจะเหมือนทุกวันนี้เท่าไร ทุกวันนี้มีโอกาสได้รีบทำบุญให้ทานกัน แล้วก็ปัญญาก็เริ่มเดินกัน รู้จักการเจริญสติการเจริญภาวนา รู้จักแสวงหา ไม่เหมือน ไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนนี้นานๆ ได้จัดบุญที ทำบุญที ทำบุญให้คนตาย

ทุกวันนี้ทำทุกวัน แผ่เมตตาให้ทุกวัน จากป่าช้าวิญญาณก็เยอะ ทั้งวิญญาณสารพัด​ วิญญาณที่เข้ามาหาหลวงพ่อสมัยวันแรกๆ มีทั้งวิญญาณผู้ร้ายก็มี มาขับไล่หลวงพ่อก็มี หลวงพ่อก็ไม่สู้หรอก​ แผ่เมตตาให้ จนวิญญาณทุกวิญญาณนี้ได้รับอานิสงส์บุญกุศล กลายเป็นวิญญาณชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ กลายเป็นเทวดาก็คอยช่วยเหลือหลวงพ่อ หลวงพ่อต้องการอะไรเพียงแค่นึกแค่ปราม เขาก็จัดการหามาให้ สิ่งที่ไม่เป็นไปได้ก็เป็นไปได้

เพราะว่าสู้อะไรก็สู้แรงบุญไม่ได้สักอย่าง สู้แรงบุญแรงกุศล แรงพรหมวิหารความเมตตาไม่ได้สักอย่าง นี่แหละอำนาจแห่งบุญ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ตกไม่อับ มีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญ ทำไปเถอะ​ อย่าพากันเกียจคร้าน อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง บุญภายในชำระใจของเราให้สะอาด บุญภายนอกเราก็สงเคราะห์กันในทางสมมติเท่าที่เราจะทำได้ ก็จะเกิดอานิสงส์มากมาย ไม่ใช่ว่าเวลาตายแล้วถึงให้เขาหามเข้ามาวัด เราต้องพยายามเข้ามาศึกษาก่อน มาทำความเข้าใจก่อน เห็นวิญญาณ เห็นอะไรเยอะมากมาย บางทีก็มาคุยกับหลวงพ่อก็มี เขามาคุยโดยตรงนะ ทั้งที่หลวงพ่อก็ยังยืนอยู่ เดินอยู่นี่แหละ เข้ามาคุยเข้ามาหา อยากให้หลวงพ่อช่วยทำโน้นบ้างช่วยทำนี้บ้าง เห็นแล้วก็ได้ทำไว้ให้หลายเยอะ หลายที่หลายจุด

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ รู้จักสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ถึงเราหยุดไม่ได้ เราละไม่ได้ เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน รู้ลักษณะของการเจริญสติ

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารู้กาย รู้กายแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง​ เขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ลึกลงไปก็รู้ลักษณะของใจ รู้การก่อตัวของใจ ใจของเราทำไมถึงเกิด ทำไมถึงหลง หลงในขันธ์ห้าในขันธ์ห้ามีเรื่องอะไรบ้าง​ ในร่างกายของเราอะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็น แจงออกไปเป็นชิ้น เป็นส่วน เป็นอัน เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าการเกิดของจิต เพียงแค่การเกิดนั้นเขาก็หลงแล้ว ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เพียงแค่หลงเกิดยังไม่พอ ก็ไปหลงเอาอาการของขันธ์ห้าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดอีก เขาผุดขึ้นมาตัวใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมอย่างเร็วไวมากทีเดียว ถ้าเราไม่รู้จักสร้างตบะ​ สร้างบารมี รู้จักควบคุม รู้จักแก้ไขก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น

เพียงแค่ความรู้ตัวพวกเราก็ไม่ทำกันให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ทั้งที่ใจก็เป็นบุญนั่นแหละ ใจอยากจะทำบุญ ใจอยากจะได้บุญ ไปที่ไหนก็ใจเป็นบุญ คำว่าบุญนี่ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ในหลักธรรมแล้ว ถ้าไม่หลง ไม่หลงเข้าไปยึดก็ไม่ ก็จะไม่ทุกข์ ท่านให้ทำบุญ แต่ไม่ให้ยึดติดในบุญ ละอกุศล​ ให้เจริญกุศล แต่ต้องแจงออก ให้ทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ทำด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้เกิดประโยชน์

เพราะว่าธรรมะของพระพุทธองค์เป็นธรรมะที่มีเหตุมีผล เหตุจากภายในซึ่งเป็นส่วนนามธรรมก็มี เขาเกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนั้นมาไม่รู้กี่ภพกี่กัปแล้วตรงนั้น ทีนี้เหตุจากภายนอกทางด้านรูปธรรม​ ทางด้านกายเนื้อของเราอีก ถ้าเขาเกิดขึ้นมาแล้วเขาก็ถูกหล่อหลอมเลี้ยงดูมาด้วยอาหารด้วยคำข้าวต่างๆ จนเจริญเติบโตมา มีการเปลี่ยนแปลงหรือว่ามีความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา เสื่อมจากเด็กเป็นเด็กโตขึ้นมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีการพัฒนาได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน นี่แหละคือเหตุทางสมมติทางด้านรูปธรรม ถึงวาระเวลาแล้วเขาก็แก่ชราคร่ำคร่า เสื่อมเข้าไปหา​ มันเสื่อมตั้งแต่มันเกิด เพราะว่าความไม่เที่ยง

ส่วนใจนั้นก็เกิดอยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับ เขาก็แสวงหาที่เกิดใหม่ไปเรื่อยๆ แต่ถ้ากายเนื้อแตกดับแล้วเขาแสวงหาที่เกิดใหม่ แต่เขาจะไปด้วยแรงของกรรม วิบากกรรม แรงของบุญ ถ้าเราไม่รู้จักแจง รู้จักแยกแยะให้ใจของเราอยู่เหนือ เหนือกรรม เหนือบุญเหนือบาป เหนือสมมติ ทำใจของเราไม่ให้เกิด ถึงเราดับความเกิดไม่ได้ ท่านก็พยายามให้น้อมอยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงไปเกิดก็ไปเกิดในส่วนที่ดีๆ ไม่ได้รับทุกข์เวทนามากมาย เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หัดทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหละ จนเป็นเอง บุญภายนอกเราก็ทำ สมมติภายนอกเราก็ทำ เพื่อยังสมมติอัตภาพร่างกายของเราให้อยู่ดีมีความสุข เราอนุเคราะห์กันได้ในทางสมมติ ในทางด้านจิตใจ เราก็พยายามเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล ให้รู้ให้ชัดเจน

ความว่าง ความว่างนั้นมีใจอยู่ ใจนี้ก็ยังวางกลับคืนสู่ธรรมชาติอีก ไม่ให้ไปหลง ไม่ให้ไปยึดอีก ให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ คือความสะอาด​ ความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด แล้วก็วางใจ รอให้ธาตุขันธ์แตกดับก็เข้าสู่ความสุขความสบายซึ่งเรียกว่า นิพพาน คือการเกิดไม่มี นิพพานเที่ยง ใจคนเราไม่เที่ยง ถ้าใจเที่ยง ใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิด ใจนิ่ง ใจสงบ ท่านถึงเรียกว่าใจเที่ยง จิตเที่ยง นิพพานเที่ยง จิตไม่เที่ยง จิตเกิดอยู่ตลอด จิตหลงอยู่ตลอดมันก็เลยได้นิพพานไม่เที่ยง แต่นิพพานที่แท้จริงนั้นเที่ยง เรามาพยายามทำความเข้าใจให้ละเอียดขณะที่เรายังมีกำลังมีลมหายใจอยู่

คนเราทั่วไปเพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังยาก แต่การทำบุญให้ทานนี่มีกันเต็มเปี่ยม มีการสังเกต​ การแยกการคลาย การตามดู หาเหตุหาผลชี้ชัดลงไปให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง แล้วก็มาละกิเลสที่ใจ มาดับความเกิดที่ใจให้หมดจด แล้วก็บริหารสมมติให้ดี เพราะเรายังอาศัยกายเนื้ออยู่ ยังอาศัยโลกธรรม ยังอาศัยสมมติอยู่ ทำอย่างไรเราถึงจะดำเนินตรงนี้ให้เป็นบุญเป็นกุศล แล้วก็ให้มีความสุข รู้จักพัฒนาทั้งภายนอกภายใน รู้จักอาศัยด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลได้ตลอดทุกเรื่องหรือไม่เท่านั้นเอง อาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง กระท่อนกระแท่น ก็ต้องพยายาม ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เรายิ่งเพิ่มกระทำความเพียร

ช่วงใหม่ๆ เขาจะต่อต้านกันมากเลยทีเดียว กำลังฝ่ายไหนจะมาก ถ้ากำลังฝ่ายกุศลฝ่ายสติปัญญาของเรามีมาก ฝ่ายบารมีของเรามีมาก เขาก็จะต่อต้านได้สักพักหนึ่งแล้วเขาจะคลาย ต่อต้านให้ถึงที่สิ้นสุดนั่นแหละ เขาถึงจะยอมคลาย ใจก็จะคลาย ถ้าการตามดูความคิด ดูอารมณ์ ดูขันธ์ห้า เขาก็จะคลายออก เขาก็จะเหือดแห้งไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละไป มันก็จะค่อยเห็ดแห้งไปเรื่อยๆ เหือดแห้งไปเรื่อยๆ รู้ด้วยเห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัย หมดความลังเลด้วยนั่นแหละ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติของใจที่ไม่เกิด ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลส เพราะว่าคนเรานี่หลงมาถึงเกิด เกิด ความเกิดนี่ก็หลง หลงเข้าไปยึดไปติดสิ่งต่างๆ ท่านก็ชี้แนะแนวทางให้ คลายให้ บอกให้ ให้ดำเนินตาม กิเลสอยู่ในระดับไหนขั้นไหน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความเสียสละ ความอดทน พรหมวิหาร ความอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องพยายามทำให้มีให้เกิด ใจของเราแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็ง การละ ละทิฐิ ละมานะ ให้ใจของเรามีความอ่อนโยน ใจของเรายังเกิดความยินดียินร้ายในสิ่งต่างๆ เราพยายามละพยายามดับทุกเรื่องเลยนะในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเรื่องเดียว เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทุกเรื่อง

กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร แล้วก็ดับ ใจของเราเกิดเมื่อไร เราก็รู้จักดับ คลายออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันหมดถึงจะรู้ฐานที่พักของใจคือตรงหทัย ตรงใจของเรานั่นแหละ มันเริ่มเกิดเมื่อไรเราก็ดับมันเมื่อนั้น วิเคราะห์พิจารณากิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ กาย กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจปรุงแต่งร่วมหรือไม่ เราจะแก้ไขอย่างไร กิเลสเกิดขึ้นที่ใจ บางทีขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งใจ ทำไมท่านถึงบอกว่าเป็นขันธ์เป็นกอง มีกอง​ 5 กอง มีกอง​ 5 กอง กองไหนๆ บ้าง ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายเนื้อของเรา ทุกคนถ้าพูดถึงเรื่องวิญญาณก็ไปโน้น ไปเหมาว่าเป็นผีโน่น เป็นผีภายนอกนะ ผีภายในตัวนี้นะมันหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ใจก็หลอกตัวเรา สติปัญญามันยังหลอกเข้าข้างตัวเองอีกหลายสิ่งหลายอย่าง สลับซับซ้อนกัน เราก็พยายามค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป ได้เท่าไรก็พยายามทำกันนะ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง

ส่วนพระเราวันนี้ก็รวมพลังกัน เทปูนกัน เมื่อวานนี้ก็เทได้ 3 วัน 4 วันละ 3 วัน 4 วัน ก็เหลืออีกประมาณสัก 3-4 วันคงจะเสร็จ งานหนักๆ ผ่านไป งานอะไรก็จะดีขึ้น ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะได้มีสวนที่สวยงามน่าอยู่น่าอาศัย วันพรุ่งนี้เขาก็จะเอาบ้านมาส่งอีก 3 หลัง ทำที่วางบ้านวางอะไร มีที่นั่งที่พักที่อาศัย รอต้นไม้ให้ใหญ่ให้ปกคลุม ใครเข้ามาแล้วก็จะมีตั้งแต่ความร่มรื่นร่มเย็น ได้เหมือนกับได้มาบ้านของตัวเราเอง มีความสุข เรามีโอกาสได้ทำช่วยกัน จากไม่มีเราทำให้มี​ จากไม่น่าอยู่เราทำให้น่าอยู่ ค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ​ ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ เดี๋ยวนี้ก็เป็นแหล่งบุญใหญ่แล้วแหละ ใครไปใครมาก็มีความสุข คนที่อยู่ด้วยกันก็ช่วยกัน เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน เป็นสมบัติของทุกคน เรามีโอกาสมากได้ช่วยกันสร้างอานิสงส์ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเข้าไว้ในใจของเราไม่เสียหลาย เราอย่าไปเกียจคร้าน พยายามละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ได้ทั้งทรัพย์ภายใน ได้ทั้งทรัพย์ภายนอก อนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป จนถึงจุดหมายปลายทางกันนั่นแหละ

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง