หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 102
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 102
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย กายหิว ใจเกิดความอยากปรุงแต่งได้เร็วได้ไว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย ถ้ากายมันหิวใจมันจะบอกต้องการอันโน้นต้องการอันนี้ ลองอดอาหารสักมื้อสองมื้อ หรือเป็นเพียงแค่มื้อเดียว มันก็ดิ้นจะตายอยู่แล้วใจ มันอยาก มันอยากมาให้ตัวเอง ลองฝึกดู ต่อไปข้างหน้าก็จะเห็นความคิด อยากคิด อยากมี อยากไป อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากไป ไม่อยากเป็น เอาเรื่องความอยาก ความหิวให้ชัดเจนตัวเดียวนะ จุดนี้ก็จะเห็นตัวใจ ฐานของใจชัดเจน
แต่ส่วนมากก็ มันอยากก็สนองกิเลสให้มันเลย เอาให้มันเลย ไปให้มันเลย มันอยากอันโน้นก็ไป พอมันหายอยาก เราถึงรู้ว่ามันเล่นงาน สมมติ วิมุตติ เราต้องฝึกฝนแก้ไขพิจารณาตัวเรา ใจไม่มีความโลภ ความโกรธ ใจไม่มีความทะเยอทะยานอยาก อยากอาหารมาให้กาย ความเกิดความอยาก ความเกิด ความเกิดของใจเราพยายามฝืนที่นั่น ฝืนที่นี่ จะเอาก็เอามาด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ต่อไปข้างหน้าก็เอามาให้กายได้ปัญญา พิจารณาอะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์
ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ ใจของมนุษย์นี่หลงมาตั้งนาน หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิด หลงวนเวียนในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาก่อร่างสร้างขันธ์ห้ามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มาหลงต่อ หลงมายึดว่าเป็นตัวตนของตัวเองที่ถาวร เป็นตัวตนของเราในทางสมมติ แต่ในทางวิมุตติมีแต่ความว่างเปล่า
ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่ามีเพียงแค่สักแต่ว่าธาตุ ดิน น้ำลม ไฟ ประกอบกันเข้า มีหนังมาห่อหุ้มมีวิญญาณ ถ้าแจงออกบอกให้ชัดเจนก็จะเห็นชัดเจน มายึดติดเอากายมนุษย์ก็ยังไม่พอ แล้วก็มาเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก ทั้งหลงทั้งยึดทั้งอยาก อยากในลาภในยศ ในเกียรติ สารพัดอยาก อยากมี อยากร่ำอยากรวย ท่านบอกว่ามีให้เป็นทำให้เป็น อยากรวยก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติ ด้วยปัญญารับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา รวยมากรวยน้อย มีมากมีน้อยมันก็ไม่ทุกข์ ไม่มีก็ไม่ทุกข์ แต่เราจึงก็ต้องแสวงหาด้วยปัญญา อย่างสมมติอย่างโลกธรรมให้บริบูรณ์ไม่ได้ลําบาก
ถ้าปากท้องยังหิวอยู่จะปฏิบัติธรรมอย่างไรมันก็ไม่สงบหรอก เราต้องพยายามทำ สมมติของเราไม่ให้ลําบาก ถ้าสมมติบริบูรณ์ไม่ได้ลําบากแล้ว ใจมันก็ไม่มีความดิ้นรนอะไร มันก็จะสงบของมันโดยปริยายให้ได้ ยิ่งดับความเกิดได้ก็ยิ่งจะนิ่งเข้าไปอีก บริหารด้วยปัญญา ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ ก็ไม่เข้าใจในชีวิต ศรัทธามีอยู่ ความเพียรมีอยู่กระปริบกระปรอย ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เป็นคนที่มีความเป็นระเบียบ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ ก็ต้องพยายามกัน ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำกัน
ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ แต่แสวงหาทุกข์มาใส่ตัวเองไม่จบไม่สิ้นแทนที่จะคลายออก รู้จากฐานของใจให้ชัดเจน ดูดีๆ นะ ความอยากกับความหิว ความหิวกับความอยาก ลองอดอาหารสักมื้อหนึ่งกายมันจะเกิดความหิว มองเห็นอะไรก็อร่อยๆ อันโน้นเอาหน่อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม ยิ่งฝึกไปเท่าไร วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไล่ดูความอยาก ละ ดูความอยากของกาย ดูความหิวของกายความอยากของใจ ก็เข้าข้างตัวเองไง กิเลสมันเข้าข้างตัวเอง แม้แต่ใจมันก็หาเรื่องเข้าข้างตัวเอง ถ้าสติปัญญารู้เท่าทันแม้สติปัญญาก็ยังเข้าข้างตัวเอง นั่นสลับซับซ้อนละเอียดมาก เรื่องจิตวิญญาณในกายของเรา
ส่วนรูปส่วนนาม ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งต่างๆ ก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะให้เรามีความสำรวมระวัง ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ศีลสังคม อธิจิต อธิศีล อธิวินัย รวมยอดอยู่ที่ฐานของใจตัวเดียว ถ้าใจปกติ ใจสงบ ใจสะอาดนั่นแหละคือตัวศีล ใจก็ไม่รู้จักควบคุม คิดไปสารพัดอย่าง คิดในทางที่ดีก็ก็ดีไป แต่ถ้าคิดในทางที่ไม่ดีนั่นแหละ เอาตั้งแต่วิบากเข้าใส่ตัวเอง คนโน้นไม่ดีอย่างนั้น คนนั้นไม่ดีอย่างนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้
ใจของเราล่ะมันคิด ใจของเราน่ะของเรามันไม่ดี มันถึงคิดอคติ คิดมลทินนะ ลําบากเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ตัว ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ มีกันทุกคน มีมลทินกันทุกคน บางคนก็เป็นมลทินฝ่ายดีฝ่ายกุศล บางคนก็เป็นมลทินฝ่ายอกุศล ใครอยู่ใกล้คนนั้นก็โดน มาอยู่วัดก็หลวงพ่อเป็นอย่างนั้น หลวงพ่อไม่ดีอย่างนี้ แต่ที่ตัวเราไม่รู้ว่ามาจากไหน เราอยู่ทำมาตั้งใหม่อยู่ตั้งสามสิบปีแล้ว สามสิบกว่าปีแล้ว ที่นั่งไม่มีก็ทำให้ ที่เดินไม่ดีเราก็ทำให้ ที่นั่ง ที่ถ่าย ที่เยี่ยว ที่อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ ทั้งกลางค่ำกลางคืน ความสะอาด ความเป็นระเบียบ เราอนุเคราะห์ให้ทำให้ ตอนนั้นก็กินอิ่มแล้วก็มาอคติเรา ว่าเราเหยียบย่ำเรา บาป ใส่วิบากกรรมติดตามตัวไม่รู้จัก
แทนที่จะเป็นคนขัดเกลาตัวเอง ขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบ ทำใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ มองเห็นความเป็นจริงในชีวิต รีบแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ให้เราทำอนุเคราะห์ให้กลัวลําบาก ที่พักก็ลําบาก ก็อุตส่าห์ทำให้ ที่นั่ง ที่เดิน แต่ก่อนมันไปไหนมาไหนไม่สะดวก เราก็อุตส่าห์ทำให้ อนุเคราะห์ให้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถ่าย ที่เยี่ยว ที่หลับที่นอน อุตส่าห์ทำให้ทั้งกลางวันกลางคืน ก็จะได้มี อยู่ดีมีความสุขกัน กลับมาพอกพูนเอากิเลสใส่ตัวเองแทนที่จะขัดเกลากิเลส อยู่ที่นี่คงไม่มีนะ เล่าให้ฟัง จิตใจของคน
อยู่คนละทิศละที่ละทาง ปรารถนาที่จะหาทางมาดับทุกข์หาทางหลุดพ้น พระพุทธองค์ท่านถึงบอกให้กระหนาบแล้วกระหนาบอีก ตีแล้วตีอีก ตีกิเลสออกจากใจของเรา ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนปัญญาที่ควรเจริญขึ้นมา อะไรคือส่วนใจที่จะต้องละ ขัดเกลากิเลสตัวเองก็หนักพอแรงแล้ว แบกรับภาระกิเลสคนนู้นคนนี้ ให้อยู่ดีมีความสุขก็ยังไม่เห็นใจกัน มีแต่ความเกียจคร้านเข้ามาครอบงำ
ถ้าคนมีบุญมีอานิสงส์ มีปัญญาฟังนิดเดียว เออ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ อบรมใจเป็นอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างนี้ ลักษณะของสติที่พระพุทธองค์ท่านชี้แนะเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนาม วิญญาณในกายในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ มันจะเห็นชัดเจนหมด เจริญสติเป็นเพื่อนใจ อบรมใจอยู่ตลอดเวลา ไปไหนก็มีเพื่อน สติเป็นเพื่อนของใจ คุยกับใจ ใจก็รับรู้รับทราบ ผิดถูกชั่วดีอย่างไรสติปัญญาไปแก้ไข แม้สติปัญญาเป็นอกุศลเราก็พยายามละไม่ให้เกิดอีก
นั่นพูด พูดง่ายอยู่ แต่การปฏิบัติขัดเกลานี่ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศจริงๆ สติก็ไม่ได้เจริญ มันจะไปเข้าใจได้อย่างไร มันก็รู้เรื่องในระดับของสมมติ แค่สมมติก็ยังเอาตัวเองไม่รอด สมมติโลกธรรมยังพึ่งตัวเองไม่ได้ มันจะให้เข้าถึงธรรมในขั้นสูงได้อย่างไร ทั้งสมมติวิมุตติ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็มีไว้สำหรับบุคคลที่มีกิเลสหนาเท่านั้นแหละ ขนาดมีข้อวัตรปฏิบัติมันก็ยังมุดไปตรงโน้นบ้าง มุดไปตรงนี้บ้าง ก็ปล่อยไปตามวิบากของกรรม
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ความตายนี่ไม่เลือกกาลเลือกเวลามาเอาโลงทุกวัน วันละโลง วันละโลง เมื่อวานนี้ก็มา เดือนนี้เรียงคิวกันมาเลย บางวันก็ 2 ศพ เอามา 60 โลง เหลืออีกอยู่ประมาณ 30 กว่าโลงแป๊บเดียว อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็พยายามขยันหมั่นเพียรกันนะ ดูขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ช่วยกัน อย่าปล่อยปละละเลย ขัดเกลากิเลสภายในของเรา ดูความเกิดความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยาก
ยิ่งฝึกไปเท่าไร นึกถึงตั้งแต่ตู้เย็นที่บ้านอันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย มันจะสั่งเอาให้ไปเอาอันโน้น ไปเอาอันนี้มาสารพัดอย่าง ฝืน ลองฝืน ถ้าฝืนความอยากไม่ได้ มันก็เหมือนกับเติมเชื้อให้กิเลสนั่นแหละ อยากตั้งแต่ความอยากได้อาหาร การอยู่ การขบการฉัน การรับประทาน ต่อไปข้างหน้าก็อยากคิด อยากมีให้ตัวเอง อยากให้คนอื่น สารพัดอย่าง กําลังสติก็มีไม่เพียงพอ
ทุกอย่างก็ล้วนเกิดมาในเหตุนะ สมัยก่อนหลวงพ่อหนีมาอยู่ป่าช้าองค์เดียว ไม่นึกว่าจะมาเพิ่มพูนกันเยอะแยะถึงขนาดนี้ มาหลบอยู่ตามหลุมโน้นบ้างหลุมนี้บ้าง เก็บทำความสะอาด มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก 30 ปี ตั้งแต่ถ้วยชามก็ยังเก็บกับหลุมศพมาล้างมาไว้ใส่กับข้าวกับปลาทาน จะดื่มน้ำปานะแต่ละทีเก็บใบส้มป่อยมาต้ม ทุกวันนี้มันเฟ้อแทนที่จะเป็นคนมีความระเบียบสะอาด ประหยัดมัธยัสถ์ พากันฟุ่มเฟือย ให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักแก้ไข ก็เลยสนองกิเลสไม่จบไม่สิ้น แทนที่จะขัดเกลากิเลส เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ ประโยชน์ให้มาก ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ปล่อยไปตามกรรมนะ พยายามทำ
ตั้งใจรับพรกัน
แต่ส่วนมากก็ มันอยากก็สนองกิเลสให้มันเลย เอาให้มันเลย ไปให้มันเลย มันอยากอันโน้นก็ไป พอมันหายอยาก เราถึงรู้ว่ามันเล่นงาน สมมติ วิมุตติ เราต้องฝึกฝนแก้ไขพิจารณาตัวเรา ใจไม่มีความโลภ ความโกรธ ใจไม่มีความทะเยอทะยานอยาก อยากอาหารมาให้กาย ความเกิดความอยาก ความเกิด ความเกิดของใจเราพยายามฝืนที่นั่น ฝืนที่นี่ จะเอาก็เอามาด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ต่อไปข้างหน้าก็เอามาให้กายได้ปัญญา พิจารณาอะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์
ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ ใจของมนุษย์นี่หลงมาตั้งนาน หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิด หลงวนเวียนในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาก่อร่างสร้างขันธ์ห้ามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มาหลงต่อ หลงมายึดว่าเป็นตัวตนของตัวเองที่ถาวร เป็นตัวตนของเราในทางสมมติ แต่ในทางวิมุตติมีแต่ความว่างเปล่า
ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่ามีเพียงแค่สักแต่ว่าธาตุ ดิน น้ำลม ไฟ ประกอบกันเข้า มีหนังมาห่อหุ้มมีวิญญาณ ถ้าแจงออกบอกให้ชัดเจนก็จะเห็นชัดเจน มายึดติดเอากายมนุษย์ก็ยังไม่พอ แล้วก็มาเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก ทั้งหลงทั้งยึดทั้งอยาก อยากในลาภในยศ ในเกียรติ สารพัดอยาก อยากมี อยากร่ำอยากรวย ท่านบอกว่ามีให้เป็นทำให้เป็น อยากรวยก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติ ด้วยปัญญารับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา รวยมากรวยน้อย มีมากมีน้อยมันก็ไม่ทุกข์ ไม่มีก็ไม่ทุกข์ แต่เราจึงก็ต้องแสวงหาด้วยปัญญา อย่างสมมติอย่างโลกธรรมให้บริบูรณ์ไม่ได้ลําบาก
ถ้าปากท้องยังหิวอยู่จะปฏิบัติธรรมอย่างไรมันก็ไม่สงบหรอก เราต้องพยายามทำ สมมติของเราไม่ให้ลําบาก ถ้าสมมติบริบูรณ์ไม่ได้ลําบากแล้ว ใจมันก็ไม่มีความดิ้นรนอะไร มันก็จะสงบของมันโดยปริยายให้ได้ ยิ่งดับความเกิดได้ก็ยิ่งจะนิ่งเข้าไปอีก บริหารด้วยปัญญา ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ ก็ไม่เข้าใจในชีวิต ศรัทธามีอยู่ ความเพียรมีอยู่กระปริบกระปรอย ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เป็นคนที่มีความเป็นระเบียบ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ ก็ต้องพยายามกัน ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำกัน
ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ แต่แสวงหาทุกข์มาใส่ตัวเองไม่จบไม่สิ้นแทนที่จะคลายออก รู้จากฐานของใจให้ชัดเจน ดูดีๆ นะ ความอยากกับความหิว ความหิวกับความอยาก ลองอดอาหารสักมื้อหนึ่งกายมันจะเกิดความหิว มองเห็นอะไรก็อร่อยๆ อันโน้นเอาหน่อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม ยิ่งฝึกไปเท่าไร วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไล่ดูความอยาก ละ ดูความอยากของกาย ดูความหิวของกายความอยากของใจ ก็เข้าข้างตัวเองไง กิเลสมันเข้าข้างตัวเอง แม้แต่ใจมันก็หาเรื่องเข้าข้างตัวเอง ถ้าสติปัญญารู้เท่าทันแม้สติปัญญาก็ยังเข้าข้างตัวเอง นั่นสลับซับซ้อนละเอียดมาก เรื่องจิตวิญญาณในกายของเรา
ส่วนรูปส่วนนาม ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งต่างๆ ก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะให้เรามีความสำรวมระวัง ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ศีลสังคม อธิจิต อธิศีล อธิวินัย รวมยอดอยู่ที่ฐานของใจตัวเดียว ถ้าใจปกติ ใจสงบ ใจสะอาดนั่นแหละคือตัวศีล ใจก็ไม่รู้จักควบคุม คิดไปสารพัดอย่าง คิดในทางที่ดีก็ก็ดีไป แต่ถ้าคิดในทางที่ไม่ดีนั่นแหละ เอาตั้งแต่วิบากเข้าใส่ตัวเอง คนโน้นไม่ดีอย่างนั้น คนนั้นไม่ดีอย่างนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้
ใจของเราล่ะมันคิด ใจของเราน่ะของเรามันไม่ดี มันถึงคิดอคติ คิดมลทินนะ ลําบากเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ตัว ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ มีกันทุกคน มีมลทินกันทุกคน บางคนก็เป็นมลทินฝ่ายดีฝ่ายกุศล บางคนก็เป็นมลทินฝ่ายอกุศล ใครอยู่ใกล้คนนั้นก็โดน มาอยู่วัดก็หลวงพ่อเป็นอย่างนั้น หลวงพ่อไม่ดีอย่างนี้ แต่ที่ตัวเราไม่รู้ว่ามาจากไหน เราอยู่ทำมาตั้งใหม่อยู่ตั้งสามสิบปีแล้ว สามสิบกว่าปีแล้ว ที่นั่งไม่มีก็ทำให้ ที่เดินไม่ดีเราก็ทำให้ ที่นั่ง ที่ถ่าย ที่เยี่ยว ที่อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ ทั้งกลางค่ำกลางคืน ความสะอาด ความเป็นระเบียบ เราอนุเคราะห์ให้ทำให้ ตอนนั้นก็กินอิ่มแล้วก็มาอคติเรา ว่าเราเหยียบย่ำเรา บาป ใส่วิบากกรรมติดตามตัวไม่รู้จัก
แทนที่จะเป็นคนขัดเกลาตัวเอง ขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบ ทำใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ มองเห็นความเป็นจริงในชีวิต รีบแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ให้เราทำอนุเคราะห์ให้กลัวลําบาก ที่พักก็ลําบาก ก็อุตส่าห์ทำให้ ที่นั่ง ที่เดิน แต่ก่อนมันไปไหนมาไหนไม่สะดวก เราก็อุตส่าห์ทำให้ อนุเคราะห์ให้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถ่าย ที่เยี่ยว ที่หลับที่นอน อุตส่าห์ทำให้ทั้งกลางวันกลางคืน ก็จะได้มี อยู่ดีมีความสุขกัน กลับมาพอกพูนเอากิเลสใส่ตัวเองแทนที่จะขัดเกลากิเลส อยู่ที่นี่คงไม่มีนะ เล่าให้ฟัง จิตใจของคน
อยู่คนละทิศละที่ละทาง ปรารถนาที่จะหาทางมาดับทุกข์หาทางหลุดพ้น พระพุทธองค์ท่านถึงบอกให้กระหนาบแล้วกระหนาบอีก ตีแล้วตีอีก ตีกิเลสออกจากใจของเรา ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนปัญญาที่ควรเจริญขึ้นมา อะไรคือส่วนใจที่จะต้องละ ขัดเกลากิเลสตัวเองก็หนักพอแรงแล้ว แบกรับภาระกิเลสคนนู้นคนนี้ ให้อยู่ดีมีความสุขก็ยังไม่เห็นใจกัน มีแต่ความเกียจคร้านเข้ามาครอบงำ
ถ้าคนมีบุญมีอานิสงส์ มีปัญญาฟังนิดเดียว เออ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ อบรมใจเป็นอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างนี้ ลักษณะของสติที่พระพุทธองค์ท่านชี้แนะเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนาม วิญญาณในกายในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ มันจะเห็นชัดเจนหมด เจริญสติเป็นเพื่อนใจ อบรมใจอยู่ตลอดเวลา ไปไหนก็มีเพื่อน สติเป็นเพื่อนของใจ คุยกับใจ ใจก็รับรู้รับทราบ ผิดถูกชั่วดีอย่างไรสติปัญญาไปแก้ไข แม้สติปัญญาเป็นอกุศลเราก็พยายามละไม่ให้เกิดอีก
นั่นพูด พูดง่ายอยู่ แต่การปฏิบัติขัดเกลานี่ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศจริงๆ สติก็ไม่ได้เจริญ มันจะไปเข้าใจได้อย่างไร มันก็รู้เรื่องในระดับของสมมติ แค่สมมติก็ยังเอาตัวเองไม่รอด สมมติโลกธรรมยังพึ่งตัวเองไม่ได้ มันจะให้เข้าถึงธรรมในขั้นสูงได้อย่างไร ทั้งสมมติวิมุตติ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็มีไว้สำหรับบุคคลที่มีกิเลสหนาเท่านั้นแหละ ขนาดมีข้อวัตรปฏิบัติมันก็ยังมุดไปตรงโน้นบ้าง มุดไปตรงนี้บ้าง ก็ปล่อยไปตามวิบากของกรรม
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ความตายนี่ไม่เลือกกาลเลือกเวลามาเอาโลงทุกวัน วันละโลง วันละโลง เมื่อวานนี้ก็มา เดือนนี้เรียงคิวกันมาเลย บางวันก็ 2 ศพ เอามา 60 โลง เหลืออีกอยู่ประมาณ 30 กว่าโลงแป๊บเดียว อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็พยายามขยันหมั่นเพียรกันนะ ดูขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ช่วยกัน อย่าปล่อยปละละเลย ขัดเกลากิเลสภายในของเรา ดูความเกิดความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยาก
ยิ่งฝึกไปเท่าไร นึกถึงตั้งแต่ตู้เย็นที่บ้านอันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย มันจะสั่งเอาให้ไปเอาอันโน้น ไปเอาอันนี้มาสารพัดอย่าง ฝืน ลองฝืน ถ้าฝืนความอยากไม่ได้ มันก็เหมือนกับเติมเชื้อให้กิเลสนั่นแหละ อยากตั้งแต่ความอยากได้อาหาร การอยู่ การขบการฉัน การรับประทาน ต่อไปข้างหน้าก็อยากคิด อยากมีให้ตัวเอง อยากให้คนอื่น สารพัดอย่าง กําลังสติก็มีไม่เพียงพอ
ทุกอย่างก็ล้วนเกิดมาในเหตุนะ สมัยก่อนหลวงพ่อหนีมาอยู่ป่าช้าองค์เดียว ไม่นึกว่าจะมาเพิ่มพูนกันเยอะแยะถึงขนาดนี้ มาหลบอยู่ตามหลุมโน้นบ้างหลุมนี้บ้าง เก็บทำความสะอาด มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก 30 ปี ตั้งแต่ถ้วยชามก็ยังเก็บกับหลุมศพมาล้างมาไว้ใส่กับข้าวกับปลาทาน จะดื่มน้ำปานะแต่ละทีเก็บใบส้มป่อยมาต้ม ทุกวันนี้มันเฟ้อแทนที่จะเป็นคนมีความระเบียบสะอาด ประหยัดมัธยัสถ์ พากันฟุ่มเฟือย ให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักแก้ไข ก็เลยสนองกิเลสไม่จบไม่สิ้น แทนที่จะขัดเกลากิเลส เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ ประโยชน์ให้มาก ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ปล่อยไปตามกรรมนะ พยายามทำ
ตั้งใจรับพรกัน