หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 097

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 097
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 097
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ แล้วก็รู้เวลาจะขบจะฉัน ใจของเราปกติหรือว่ากายของเราเกิดความหิว เราจะเอาอะไรก็ให้ใจรับรู้ สติปัญญาพิจารณากะประมาณในการขบฉันของเรา อย่าให้ใจเกิดความอยาก เกิดความยินดียินร้าย จะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักวิธีการแนวทาง มันก็ไม่รู้ ไม่ได้ การเจริญสติ

การอบรมใจของเรา ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่า ลมวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นอย่างไร ถ้าไม่เข้าไม่ออกแล้วเป็นอย่างไร ส่วนมากก็วิ่งหาตั้งแต่ภายนอกกัน วิ่งหาธรรมภายนอกไม่เจอหรอก การทำบุญให้ทานทางด้านวัตถุทาน พวกเรามีโอกาสได้ร่วมกัน ควรแก้ไขปรับปรุงใจของเราให้อยู่ในความสงบ การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของความคิดเป็นอย่างไร การเจริญสติเป็นอย่างไร จะไม่ปล่อยเวลาทิ้ง

บุคคลที่มีปัญญาวิเคราะห์ ดู รู้ เห็นความจริงจะไม่ปล่อยเวลาทิ้งโดยเด็ดขาด ใจที่ปกติ ใจที่สะอาด ใจที่คลายจากความหลง ใจที่ไม่เกิด สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้ เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน เราละกิเลสตัวไหนได้บ้าง เราละได้มากได้น้อย ก็อาศัยความเพียร ทุกคนเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม จะเกิด เขาเกิดเพราะว่ากรรมวิบากกรรมมันมีอยู่ เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรมของตัวเราให้ละเอียด แล้วก็ละวางกรรม ละวางความคิดนั่นแหละ ดับความเกิด ให้เกิดด้วยปัญญา ขยันหมั่นเพียรเอา ถึงเวลาก็คงจะถึงจุดหมายกัน

พระเราก็เหมือนกัน ทั้งพระใหม่พระเก่าต้องเป็นผู้ใหม่ตลอด ผู้ตื่นตลอด ไม่ใช่ว่าบวชนานเท่าไร ยิ่งอัตตายิ่งใหญ่ ยิ่งทิฐิมานะยิ่งใหญ่ นั่นแหละโง่เลย แทนที่จะเป็นคนฉลาด ต้องเป็นผู้ใหม่ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ปัจจุบันธรรม ทำความเข้าใจกับโลกธรรม เคารพสมมติ เคารพวิมุตติ สัจธรรมความจริงมีอยู่ทั้งสองอย่าง ทั้งวิมุตติทั้งสมมติ พยายามดูรู้ให้ละเอียด มันก็ยากอยู่ พูดง่าย แม้แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การขัดเกลากิเลส มันเป็นยางเหนียว เกิดมานาน มันก็ยากอยู่ ก็ไม่เหลือวิสัย เพราะว่าคนเราฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน แต่การเจริญสติไม่ต่อเนื่องกันเท่านั้นเอง พยายามเอา

นี่ก็วันที่ วันที่ 2 พฤศจิกายน แป๊บเดียว ปีหนึ่งผ่านพ้นไป ขนาดเวลาหยาบๆ นะเวลาปี เวลาเดือน เวลาสัปดาห์ เวลาละเอียดก็ทุกลมหายใจเข้าออกอยู่ปัจจุบันธรรม เขาเรียกถึงว่าเวลาละเอียด แล้วก็ไม่เลือกกาลเลือกเวลาอีกด้วย รู้ว่าลมหายใจเข้า หายใจออก ไม่ได้ไปเลือกว่าเวลาโน้นฉันจะหายใจ เวลานี้ฉันจะหายใจ หายใจตั้งแต่เกิด แต่ไม่สนใจดูรู้ให้ต่อเนื่อง จะไปเอาตั้งแต่ปัญญาของกิเลสเข้ามาบริหาร เข้ามาบงการ ก็ถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลงทั้งนั้น ตราบใดที่ใจยังเพียงแค่การเกิดของใจ อาจจะหลงอยู่ในบุญในกุศล หลงในการสร้างคุณงามความดี ต้องแยกต้องคลาย ต้องทำความเข้าใจ เจริญสติปัญญาชี้เหตุชี้ผล ความจริงของชีวิต

ตื่นขึ้นมาเราก็ไม่ปล่อยเวลาทิ้งตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของสติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ เราเจริญสติจนรู้เท่าทัน รู้ลักษณะของใจ รู้การคลายของใจ จนกลายเป็นปัญญา รอบรู้ในดวงใจ รอบรู้ในกองสังขาร จากสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็กลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ทุกอย่าง ใจเป็นธาตุรู้ สติก็จะกลายเป็นปัญญาผู้รู้ รู้ใจของตัวเรานั่นแหละ ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมาย รู้ใจของเรา เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ก็ให้รีบทำ ผลประโยชน์ท่าน ประโยชน์โลกนี้ ประโยชน์โลกหน้า ประโยชน์สมมติ ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน ก็จะส่งผลถึงอนาคต

ไปเที่ยวมองคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ อันนั้นเป็นเรื่องของคนอื่น เราต้องมาดูเรื่องของเรา แก้ไขของเรา ปรับปรุงตัวเรา ใจของเรา เราไปห้ามคนโน้นอย่าไปคิดอย่างนั้น อย่าไปคิดอย่างนี้ อย่าไปพูดอย่างนั้น อย่าไปพูดอย่างนี้ เราห้ามไม่ได้หรอก เรามาห้ามใจของเรา เราเอาชนะใจของเราแล้วเราก็ชนะหมด เราเอาชนะใจของเราไม่ได้ มันก็วิ่งตามกิเลสของตัวเอง ก็ส่งเสริมกิเลสภายนอก ก็ระรานกัน ตีกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ข้างในก็ทะเลาะเบาะแว้งกันยังไม่พอ ไปทะเลาะเบาะแว้งกันข้างนอกอีก กินข้าวอิ่มแล้วก็ไปตีกันอีก ข้างถนนอีกว่าไม่ใช่ประชาธิปไตย มันก็เลยกลายเป็นประชาธิปตาย ตายที่โน่นบ้าง ตายที่นี่บ้าง ตอนไม่ลงตัวกัน บอกว่าอย่างนั้นนะ

ตั้งแต่ตัวเรายังไม่ลงตัว กิเลส อกุศลยังเถียงกันอยู่ภายใน ไม่มีกรรมการ ไม่มีสติปัญญาเข้าไปห้าม เข้าไปแจงเหตุแจงผล ก็ทะเลาะกัน ทะเลาะกันยังไม่พอนะ ภายในครอบครัวเดียวกันก็ทะเลาะกัน พ่อบ้านก็ทะเลาะกับแม่บ้าน แม่บ้านก็ทะเลาะกับพ่อบ้าน เพราะว่าอำนาจทางกิเลสมันเถียงกันยังไม่พอ พ่อบ้านนอนหลับอยู่ดีๆ ฆ้อนไปใส่หัวเอา เพราะว่าสัญญา อดีตมันผุดขึ้นมา ความโกรธมันก็เลยปุดๆๆๆ อดไม่ฟังนะ ก็ค้อนใส่หัวเอา

ระวังนะ พ่อบ้านต้องระวังตัวอยู่บ่อยๆ ระวังแม่บ้านจะเล่นงานเอา ก็ยกมือสาธุ ถ้าเข้าใจได้ฟังธรรม โดนเหยียบโดนย่ำ โดนตีแล้วใจมันโกรธหรือเปล่า ให้อภัยทานอโหสิกรรม ได้กําไรเสียอีก เขาเรียกว่าคู่กรรม กรรมภายในยังคลายไม่ได้ ก็มาสร้างคู่กรรม แล้วก็ให้มากขึ้นอีก เกิดลูกเกิดหลานก็กลายเป็นวิบากกรรม บางทีก็เป็นคู่บุญคู่บารมี ลูกเต้าเกิดมาก็สร้างบุญสร้างบารมี ส่งเสริมกันให้ถึงจุดหมาย บางคนก็เป็นคู่กรรมฆ่ากัน ตีกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน แม้แต่พ่อแม่ของตัวเองก็หลอกไปฆ่าก็มี ที่ลงข่าวกันอยู่บ่อยๆ

เรามาจัดการกับวิบากกรรมภายในคือความคิด อารมณ์ ตัวใจของเราให้มันหมดจด มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิด ถ้าไม่แก้ไขตัวเราแล้วไม่รู้ว่าใครจะแก้ไขให้ พยายามฝืน พยายามฝืนแต่ความคิดตัววิญญาณนั้นไม่ให้คิด มันดับไม่ได้ ฝืนไม่ได้ ก็ไม่ให้แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา มันจะออกมาจากทางกาย ทางวาจา ก็ใช้ปัญญาหลบหลีก ทีนั้นทีนี้ ครั้ง 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 เพียงแค่ระดับของสมมติก็ยังแก้ไขตัวเองไม่ได้ มันก็เลยยากสำหรับที่จะเข้าถึงตัวใจ ถ้าคนมีบุญมีอานิสงส์ฝักใฝ่ในบุญ พิจารณาแก้ไขอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวก็ถึงจุดหมาย

ความบริสุทธิ์ กว่าจะขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกไปได้นี่มันก็ใช้ตบะบารมี จิตใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเสียสละ มีการอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะเอาตั้งแต่ธรรมการละกิเลสไม่มี แม้ตั้งแต่การปฏิบัติ หลักของการปฏิบัติ ก็ปฏิบัติตีกรอบตัวเองอยู่อย่างนั้น ตามพิธีตรองอยู่อย่างนั้น เราปฏิบัติ ความหมายของการปฏิบัติเพื่ออะไร จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อลดละกิเลส เพื่อคลายความหลง ดำเนินสติปัญญาไปใช้ ขยันหมั่นเพียร ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ความรับผิดชอบ มาฝึกหัดปฏิบัติธรรม อะไรก็ทำไม่เป็น มันจะไปดำเนินชีวิตของตัวเองได้ยังไง มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ต้องรอบรู้ทั้งโลกทั้งธรรม จนใจของเราอยู่เหนือ ให้ใจของเราสงบ สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส สงบจากขันธ์ห้า ความนึกคิดปรุงแต่ง รู้จักหนุนกําลังสติปัญญาไปคิด ไปทำหน้าที่แทน สงบอยู่กลางโรงหนังกลางตลาด แม้แต่กายจะแตกจะดับก็ให้ใจสงบ ถึงจะเข้าถึงคําสอนของพระพุทธองค์ได้

อันนี้ไปปฏิบัติธรรม กิเลสยังเต็มอัตราศึกอยู่ ความโลภ ความโกรธยังเต็มอัตราศึกอยู่ ยังไม่รู้จักละ มันจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ยังไง ความอยาก ในหลักธรรมทั้งอยากทั้งไม่อยาก นั่นแหละการเกิดของใจ เพียงแค่ความอยาก ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่รู้จักดับ จะไปรอเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ มันจะไปลดไปละได้ยังไง สร้างสะสมมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติก็มา ภพมนุษย์ก็มา สร้างความอยาก ความโลภ เสริมเข้าไปอีก มันละได้ยาก คลายได้ยาก

เขาให้คลาย เขาให้ละ ให้ขัดให้เกลา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาทำหน้าที่แทน จะไปโทษคนโน้น ไปโทษคนนี้ ไม่ได้เด็ดขาด จงโทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโทษคนอื่น ไปที่วัดโน้นก็หลวงพ่อองค์โน้นเป็นอย่างนั้น หลวงพ่อองค์นี้ไม่ดี อาจารย์องค์โน้นสอนดี องค์นี้สอนไม่ดี ไม่เคยสอนตัวเองสักที รู้จักสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ใจของเราดีแล้ว ข้างนอกไม่ดีถึงขนาดไหน ใจของเราก็ดีเหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ภายนอกดีถึงขนาดไหน ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม

เราจงมาแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ธรรม แนวทางนั้นท่านค้นพบเอามาประกาศไว้แล้ว ก็ต้องพยายามเอา ชีก็เหมือนกัน หลายๆ คนก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ส่วนมากโยมผู้หญิงอยู่สองคนเขาว่าไม่ค่อยจะถูกกัน จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ อันนี้อยู่ตั้งหลายคนเห็นถูกกันดี มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยจากัน จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ อย่าเอาทิฐิมานะเข้าห้ำหั่นกัน พระเราก็เหมือนกัน หลวงปู่หลวงตาสมัยสามสิบปีก่อนมาอยู่ด้วยกัน 4-5 รูป มาอยู่ด้วยกันใหม่ๆ ก็คุยกันสนุกสนาน ต้มน้ำชาเลี้ยงกัน ไปชวนกันมา มาดื่มน้ำชากาแฟด้วยกันทุกวันๆ พอได้สัก 10 กว่าวัน ไปอยู่คนละทิศละที่ละทาง ไม่เข้าหากัน ก็เลยถามหลวงตาเป็นยังไงไม่เห็นไปดื่มน้ำชาด้วยกัน ก็ว่าธรรมะไม่ลงกัน ใหม่ๆ ก็ธรรมะลงกันดี ผู้เฒ่าก็จะเป็นเสียอย่างนั้น ไม่ว่าผู้เฒ่า ทุกคนนั่นแหละ ถ้าไม่รู้จักแก้ไขใจตัวเอง

เอาออกให้มันหมด อย่าให้มันเหลือ ในสิ่งที่เราได้ มันสูงกว่าสิ่งที่เราเอาออกคือความบริสุทธิ์ ความว่าง มองเห็นเงินเป็นเศษกระดาษ แต่ให้รู้จักคุณค่า ใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าทิ้งๆ ขว้างๆ ประหยัด มัธยัสถ์ ยังประโยชน์ให้สูงสุด แม้แต่สตางค์แดงเดียวหลวงพ่อก็เก็บหมดนะ เก็บเอาไว้ ญาติโยมเอามาลงตุ่มเงินบาท เงินสลึง เงินสตางค์ หลวงพ่อเก็บเอาไว้ รวบรวมเอาไว้ ได้เยอะๆ หลวงพ่อก็ไปแลกเอามาเข้าโรงทานหมด ทุกปี ปีละได้ตั้งหลายแสน สองแสนสามแสน ยกเข้าโรงทานแจกทานตรงไหนลําบาก ได้เกิดประโยชน์มากมายมหาศาลจากเงินสตางค์แดง ทุกคนมองข้ามทิ้งขว้าง ไม่รู้จักประหยัด ไม่รู้จักมัธยัสถ์ เอาของที่มีเปลี่ยนเป็นทรัพย์อันสูงอันใหญ่ จากทรัพย์อันน้อยเราก็พยายามขยายให้เป็นทรัพย์อันใหญ่ในระดับของสมมติ

ความเกียจคร้านมี ก็ละความเกียจคร้าน ความรับผิดชอบไม่มี ก็สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น หมั่นพร่ำสอนใจตัวเรา แก้ไขใจตัวเรา พระพุทธองค์ท่านชี้เหตุชี้ผลมานาน ยังจะมาทะเลาะเบาะแว้งกัน ตีกันฆ่ากันอยู่ ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าให้มันตาย ฆ่ากิเลสภายในให้มันตาย แล้วก็จะมีความสุข ต่างคนก็ต่างเกิดมาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อยู่ร่วมกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน วันนี้ก็จะมาเอาโลงไปเอาศพอีกแล้ว จ่อรออยู่ นั่นแหละ ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา พระเราก็ช่วยกัน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็มาบวชอยู่ด้วยนี่แหละ แต่ก่อน ก็ขยันหมั่นเพียร ก็จะมาเผาที่นี่แหละ พระเรา อาจารย์โต้งก็พาหมู่พาคณะไปทำพิธีเถอะ เผาแต่ก่อนก็มาช่วยการช่วยงาน วิบากกรรมของท่านอยู่ตรงนั้น เห็นว่าเกิดอุบัติเหตุรถชน ได้ทำการทำงานดึกๆ ดื่นๆ ตายตั้งแต่เมื่อวานนี้ รอให้กฐินเสร็จเสียก่อนว่าอย่างนั้น กฐินเสร็จพอดี

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี กําลังสติของเรายังรู้ไม่เท่าทันใจของเรา เราก็รู้จักวิธีการแนวทางของการเจริญสติ หลวงพ่อก็จะพูด ก็จะย้ำของเก่านี่แหละ ถ้าไม่มีสติที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะรู้เท่าทันใจ ก็ยากที่จะรู้เท่าทันความคิด ถ้าเรามีสติ เจริญสติให้ได้ต่อเนื่อง เราก็จะเห็นอะไรดีๆ อีกเยอะ ว่าใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความคิดเป็นอย่างไร ความคิดเป็นกองกุศลหรือว่ากองอกุศล เขาหลอกเราได้อย่างไร เราชนะเขาได้อย่างไร วิธีไหนที่เราจะเอาไปใช้ เอาไปแก้ไข ขอให้เรารู้ลักษณะของใจ แล้วก็เข้าถึงตัวใจจริงๆ

ในลักษณะของใจที่พระพุทธองค์บอกว่าไม่มีตัว ไม่มีตน ทำยังไงเราถึงจะรู้ ถึงจะเข้าถึง นี่แหละ เพียงแค่ใจเป็นธาตุรู้ ไม่มีตัวมีตน แต่เขามีความรู้สึกรับรู้อยู่ อยู่ในกายของเรานี่แหละ เรามาสร้างความรู้สึกตัวใหม่ลงที่กายของเรา หรือเรียกว่าเจริญสติลงที่กายของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง ส่วนใจนั้นเขาเกิดอยู่แล้ว บางทีเขาก็คิดไปบ้าง คิดไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ ขณะที่เรากําลังเจริญสติอยู่นั่นแหละ ก็จะเห็นใจมันคิดไปเรื่องโน้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง บางทีก็เป็นเรื่องเป็นราว บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมา ใจกระโดดเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวไปด้วยกัน มันมีหลายอย่างอยู่ อยู่ในกายของเรา ถ้ากําลังสติปัญญาของเราเข้มแข็งต่อเนื่อง เราจะเห็นอะไรดีๆ เยอะ ถ้าเรารู้เราแยกได้ คลายได้ ตามดูได้จะมีความสุข เหมือนกับการเล่นละครเลยทีเดียว ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน

วิธีการสร้างบุญ บุญมากบุญน้อย บุญใกล้บุญไกล บุญใหญ่ บุญสมมติบุญวิมุตติ มันมองเห็นชัดเจนหมดเลย หลวงพ่อก็พาทำอยู่อย่างนี้แหละ อะไรที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์อย่างใหญ่หลวง ทั้งใกล้ทั้งไกล บุญมากบุญน้อย หลวงพ่อก็ปรารถนาอยากให้ทุกคนได้มาร่วมมาทำ บุญสมมติการขัดเกลากิเลส เราก็ละ บุญสมมติก็พาทำ ไม่อยากจะให้ปล่อยเวลาทิ้งในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมีกัน อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา

อานิสงส์มาถึงพวกเราแล้วก็ให้รีบ ให้ช่วยกัน ไม่จำเป็นต้องว่ามีเงินทองเยอะๆ ถึงได้ทำบุญสร้างบุญ อันนั้นสำหรับบุคคลที่มีมากก็ได้ทำมาก บุคคลที่มีน้อยก็ได้ทำน้อย บางคนมีไม่พร้อมก็น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาช่วย ทั้งกําลังกาย กําลังใจ กําลังสติปัญญามาช่วยกัน ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา อานิสงส์บังเกิดขึ้นกับเรา ให้ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์เถิด สิ่งที่เราทำนั้นจะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติเลยทีเดียว ก็ขอให้พยายาม อย่าพากันทิ้ง

สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ ดีกว่าไม่ได้ทำ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปทำความเข้าใจต่อ ขัดเกลาตัวเราเองให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง