หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 096
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 096
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันปวารณาออกพรรษากัน ในวันสองวัน ใกล้วันงานกฐิน วันที่ 1 พฤศจิกายน วันนี้วันที่ 29 เนอะ 27, 28 เมื่อวาน วันนี้ 29 30 31 สองวันก็เป็นงานกฐิน วันออกพรรษาเหมือนกับโลกนี้ทั้งโลก เปิด พระเราชีเรานั่งนับนิ้วมือเมื่อไหร่จะออกพรรษาสักที เมื่อไหร่จะถึงงานกฐินสักที วันหนึ่งคืนหนึ่งทำไมยาวนานจัง อยากออกไปใส่กางเกงแล้วก็มี อยากเที่ยวแล้วก็มี ต่อวีซ่าให้อีกสักสามเดือนจะได้สร้างตบะอย่างแรงเลย มันอยาก ไม่ไป ให้มัน หายอยากค่อยไปว่าอย่างนั้น
การทานข้าวก็เหมือนกัน พิจารณาปฏิสังขาโย ถ้าใจเกิดความอยากก็ให้รีบดับ ดับความอยากไม่ได้ก็อย่าเพิ่งเอา ปล่อยให้มันดับเอง อย่าไปทำตาม ความอยากนี่แหละสำคัญ เพราะว่ากายเกี่ยวเนื่องด้วยอาหารตั้งแต่เกิด โตขึ้นมาหล่อเลี้ยงขึ้นมาด้วยอาหาร ด้วยคําข้าวจากมารดาบิดาเลี้ยงมาจนเติบจนโต แต่ใจเกิดความอยาก ยิ่งอยากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสวงหา ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด อยากร่ำอยากรวย อยากมี อยากมีความสุข ไม่อยากทุกข์ ในหลักธรรมทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ท่านก็ให้ละให้มันหมด ดับให้หมด ทำใจให้เป็นกลาง เปลี่ยนจากความอยากที่เกิดจากตัวใจเป็นการบริหารด้วยสติด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็เป็นเรื่องสติปัญญายังเพื่อให้เกิดประโยชน์
ส่วนมากใจสั่งมาว่าอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ใจแล้ว ทั้งใจทั้งกิเลสมันสั่ง สั่งอยากได้บุญ สั่งอยากได้ธรรม ไปที่โน่นไปที่นี่ ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไม่ดูใจตัวเองสักที ไปดูตั้งแต่ข้างนอก คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ กิเลสมันเล่นงานเอาไม่รู้จัก เราต้องจัดการกิเลสภายในของเราให้มันจบ สนุกสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ช่วยกัน อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ตื่นดึกได้งานเยอะ ละความเกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียร ได้งานเยอะ อย่าไปกังวลว่าจะเสียเปรียบคนโน้นเสียเปรียบคนนี้ เราทำให้ดี ทำให้เกิดประโยชน์ คนรุ่นหลังมาก็จะได้สานต่อ พวกเราจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้สานต่อให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าคิดว่าไม่ใช่ของเรา ทำไปเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าคิดอย่างนี้ไปที่ไหนเขาก็คิดอย่างเรา ไปเจอตั้งแต่คนที่เขาคิดอย่างเรา ก็เลยลําบาก เพราะว่าความเสียสละของเราไม่มี พรหมวิหารของเราไม่มี ความขยันหมั่นเพียรไม่มี ไปคิดแต่ว่าช่างมันเถอะ อย่างนั้นคิดผิด ไปที่ไหนเขาก็ ถ้ามีคนคิดอย่างเรา เราก็เจอกับคนคิดอย่างเรา ไปที่ไหนก็เลยลําบาก ถ้าเราเคยทำเคยสร้างเอาไว้ ไปที่ไหนมีแต่คนเขาทำเขาสร้างไว้รอเราหมดเลย มันจะกลับกัน ถ้าเราเคยเอาออกเคยให้ มีแต่คนจะคอยช่วยเหลือ อันนี้มันก็เป็นสิ่งที่เป็นพรหมวิหาร เป็นความเมตตา เราเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมโลกก็มีความเมตตาต่อเรา เราเคยเอาออก เราเคยให้ เราเคยแจกทาน เราไม่อยากจะให้คนมาทำบุญทำทานกับเรา คนก็มาทำบุญทำทานกับเรา เพราะว่าเราเคยให้ เคยเอาออก เคยช่วยเหลือ อันนี้เกิดขึ้นกับหลวงพ่อเอง เกิดขึ้นกับหลวงพ่อเอง เพราะว่าหลวงพ่อให้ทานตั้งแต่เป็นเด็ก เพราะว่าโยมพ่อโยมแม่พาให้ทานมา ไม่หวังสิ่งตอบแทน ทานเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ แล้วก็ความขยันหมั่นเพียร จนกระทั่งออกบวช ออกบวชก็ให้ทานต่อ
ขณะนั่งเครื่องไปอินเดีย พระก็เยอะอยู่ด้วยกันหลายองค์หลายท่าน อยู่บนเครื่อง ญาติโยม พนักงานเครื่องบิน ทั้งคนขับเครื่องบินก็บริจาคเงิน เรี่ยไรกันมาถวายหลวงพ่ออยู่บนเครื่องบินนั่นแหละ พระองค์อื่นก็เยอะอยู่ ทั้งขาไปก็รวบรวมสตางค์มาถวายให้ ทั้งขากลับก็รวบรวมสตางค์มาถวายอีก ไปพักที่โรงแรม ไปที่โรงแรมของประเทศอินเดีย ฆราวาสญาติโยม เจอหลวงพ่อก็รวบเงินทองมาถวายให้หลวงพ่อที่โรงแรม ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก แต่หลวงพ่อก็รับเอาไว้ ก็มอบให้กับคนนําทาง ก็อนุเคราะห์ ก็หลายร้อยดอลลาร์เหมือนกัน
ก็มองเห็นอานิสงส์ผลทานที่เราเคยเอาออกเคยให้ คนก็มาอยากจะให้ทานกับเรา ทานหมด ทานทั้งกิเลส ทานทั้งความยึดมั่นถือมั่น ทานความคิด ทานอารมณ์ ทานภายนอก แล้วก็ส่งถึงทาน ทานภายใน ไม่เสียหาย มีแต่จะย้อนกลับมาหาเรา ขอให้เราจัดระบบระเบียบให้ดี หลวงพ่อไม่ปล่อยทิ้ง เงินทุกบาททุกสตางค์ของญาติโยมมาทำบุญ แม้แต่สตางค์แดงหลวงพ่อก็ต้องเก็บ เก็บตังค์บาท ตังค์ห้า ตังค์สิบ เก็บเอาไว้ รวบรวมเอาไว้ ให้ได้จำนวนเยอะแล้วก็ไปแลก แล้วก็มอบให้กับโรงทานมาตลอด ได้ทีละสองแสน สามแสนก็มอบให้กับโรงทาน เงินเพียงแค่เงินบาท เงินสตางค์นะ รวบรวมเอาไว้ทีละ 5-6 เดือน แล้วก็ไปแลกทีก็มอบให้โรงทานที ได้กระจายบุญให้กว้างขวางออกไปไม่จบไม่สิ้น มองเห็นคุณค่า มองเห็นประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราอย่าไปมองข้าม
ความขยันหมั่นเพียรเราก็ต้องเต็มเปี่ยม การฝักใฝ่ การสนใจ มีความรับผิดชอบ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน จากภาระ จากปัญหา เราก็มาแก้ไขปัญหา จากแก้ไขปัญหาก็เป็นภาระ จากเป็นภาระเราก็มาเปลี่ยนเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เราก็มาเปลี่ยนเป็นความรับผิดชอบ ช่วยกันทำ รู้จักแก้ไขตัวเรา อย่าไปงอมืองอเท้า บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ให้รู้จักพิจารณาตัวเองทันที อย่าไปแก้ไขมากมาย เพราะว่าถ้าทุกคนปกครองตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปพูดกันมากมาย พูดกันคําสองคําก็รู้เรื่อง ถ้าจะนําความทุกข์ความลําบากมาให้หมู่ให้คณะ ก็รู้จักแก้ไขตัวเอง แก้ไขไม่ได้ก็ไม่ได้อยู่กับเพื่อน ก็แค่นั้นเอง
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง หรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วก็ใจไม่รู้ว่าคิดไปไหนบ้าง วิ่งตามความคิด วิ่งตามอารมณ์ ส่งเสริมกิเลส เราต้องมาเจริญสติ รู้จักการสร้างสติให้รู้ทุกอิริยาบถ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด หายใจอย่างไรเราถึงจะรู้เท่าทัน ความรู้สึกนั่นแหละ ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ สติรู้กาย แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ จนเกิดความเคยชิน จนกําลังสติของเรามีกําลังเข้มแข็ง รู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุดเอาไว้
ส่วนใจของเรานั้นเป็นบุญอยู่แล้ว ฝักใฝ่ในบุญ อยากได้บุญ อยากได้ธรรม ความอยากนั่นแหละคือความเกิด เรามาดับความอยากเสีย ละความเกิดเสียตั้งแต่การก่อตัว ไม่ต้องให้มันเกิดกิเลส ความโลภ ความโกรธอะไรมากมาย เพียงแค่เริ่มเกิด ใจเริ่มเกิดเราก็ดับเสีย จนอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา
มีความคิดอีกอันหนึ่งที่แทรกเข้ามา เรียกว่าขันธ์ห้า ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม เมื่อเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิด คิดไปได้คืบได้ศอก ได้เป็นเมตร ได้เป็นเรื่องเป็นราว เราถึงรู้ว่าเราคิด เพราะว่ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ เราต้องมาสร้างสติเสียก่อน กําลังสติเข้มแข็งแล้วก็รู้เท่าทัน รู้อาการ รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดการดับ รู้การแยกการคลาย เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล สร้างความขยันหมั่นเพียรให้ได้ทุกอิริยาบท บุคคลที่มีบุญฟังนิดเดียว รู้แนวทางนิดเดียวกัน การละกิเลสเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างนี้ มีความสุข หมั่นอบรมใจหมั่นพร่ำสอนใจ เจริญสติไปเป็นเพื่อนของใจนั่นแหละ เขาถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน
แต่เวลานี้สติก็ไม่มี จะเป็นที่พึ่งของใจได้อย่างไร เพียงแค่ระดับของสมมติ เราก็ไม่ยังจัดระบบระเบียบของสมมติให้เรียบร้อย ก็ต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป บุญสมมติเราก็พากันช่วยกันทำ การขัดเกลากิเลส เราก็ขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ว่าไม่ให้มี ไม่ให้เอาให้เป็น มีให้เป็น ทำให้เป็น ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา มีมากมีน้อยก็มีด้วยสติ มีด้วยปัญญา อย่ามีด้วยอำนาจของความอยาก อำนาจของกิเลส การพูดง่ายๆแต่การกระทำการลงมือต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความขยันเป็นเลิศ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสํารวจ หัดทำความเข้าใจ คําสอนแนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย เพียงแค่พวกเราจะดำเนินให้ถึงรากถึงโคน ถึงฐานของใจหรือไม่เท่านั้นเอง เราก็รู้ความจริงแล้วใจมันไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ถ้าเขารู้ความจริง แต่เขาไม่รู้ความจริง เขาทั้งหลงทั้งเกิด เขาหลงมานาน เขาเกิดมานานตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาในภพของมนุษย์ ตั้งแต่เป็นวิญญาณ เขาก็เกิดในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์
พระพุทธองค์ท่านถึงได้มาตรัสรู้ในภพของมนุษย์ เพื่อที่จะอาศัยกายก้อนนี้เจริญสติเข้าไปดูรู้ใจ อบรมใจอยู่ในกายเนื้อก้อนนี้ ให้มองเห็นหนทางเดิน พวกเราก็พยายามกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ต้องถึงมะรืนนี้ ไม่ถึงเดือนนี้เดือนหน้า วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนหน้ามีปีหน้ามี ภพหน้ามี ทุกภพทุกภูมิมีหมด ขอให้เราจงเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ สักวันหนึ่งเราคงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำสมองให้โล่ง ทำใจให้โปร่ง ทำความรู้สึกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
การทานข้าวก็เหมือนกัน พิจารณาปฏิสังขาโย ถ้าใจเกิดความอยากก็ให้รีบดับ ดับความอยากไม่ได้ก็อย่าเพิ่งเอา ปล่อยให้มันดับเอง อย่าไปทำตาม ความอยากนี่แหละสำคัญ เพราะว่ากายเกี่ยวเนื่องด้วยอาหารตั้งแต่เกิด โตขึ้นมาหล่อเลี้ยงขึ้นมาด้วยอาหาร ด้วยคําข้าวจากมารดาบิดาเลี้ยงมาจนเติบจนโต แต่ใจเกิดความอยาก ยิ่งอยากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสวงหา ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด อยากร่ำอยากรวย อยากมี อยากมีความสุข ไม่อยากทุกข์ ในหลักธรรมทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ท่านก็ให้ละให้มันหมด ดับให้หมด ทำใจให้เป็นกลาง เปลี่ยนจากความอยากที่เกิดจากตัวใจเป็นการบริหารด้วยสติด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็เป็นเรื่องสติปัญญายังเพื่อให้เกิดประโยชน์
ส่วนมากใจสั่งมาว่าอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ใจแล้ว ทั้งใจทั้งกิเลสมันสั่ง สั่งอยากได้บุญ สั่งอยากได้ธรรม ไปที่โน่นไปที่นี่ ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไม่ดูใจตัวเองสักที ไปดูตั้งแต่ข้างนอก คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ กิเลสมันเล่นงานเอาไม่รู้จัก เราต้องจัดการกิเลสภายในของเราให้มันจบ สนุกสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ช่วยกัน อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ตื่นดึกได้งานเยอะ ละความเกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียร ได้งานเยอะ อย่าไปกังวลว่าจะเสียเปรียบคนโน้นเสียเปรียบคนนี้ เราทำให้ดี ทำให้เกิดประโยชน์ คนรุ่นหลังมาก็จะได้สานต่อ พวกเราจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้สานต่อให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าคิดว่าไม่ใช่ของเรา ทำไปเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าคิดอย่างนี้ไปที่ไหนเขาก็คิดอย่างเรา ไปเจอตั้งแต่คนที่เขาคิดอย่างเรา ก็เลยลําบาก เพราะว่าความเสียสละของเราไม่มี พรหมวิหารของเราไม่มี ความขยันหมั่นเพียรไม่มี ไปคิดแต่ว่าช่างมันเถอะ อย่างนั้นคิดผิด ไปที่ไหนเขาก็ ถ้ามีคนคิดอย่างเรา เราก็เจอกับคนคิดอย่างเรา ไปที่ไหนก็เลยลําบาก ถ้าเราเคยทำเคยสร้างเอาไว้ ไปที่ไหนมีแต่คนเขาทำเขาสร้างไว้รอเราหมดเลย มันจะกลับกัน ถ้าเราเคยเอาออกเคยให้ มีแต่คนจะคอยช่วยเหลือ อันนี้มันก็เป็นสิ่งที่เป็นพรหมวิหาร เป็นความเมตตา เราเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมโลกก็มีความเมตตาต่อเรา เราเคยเอาออก เราเคยให้ เราเคยแจกทาน เราไม่อยากจะให้คนมาทำบุญทำทานกับเรา คนก็มาทำบุญทำทานกับเรา เพราะว่าเราเคยให้ เคยเอาออก เคยช่วยเหลือ อันนี้เกิดขึ้นกับหลวงพ่อเอง เกิดขึ้นกับหลวงพ่อเอง เพราะว่าหลวงพ่อให้ทานตั้งแต่เป็นเด็ก เพราะว่าโยมพ่อโยมแม่พาให้ทานมา ไม่หวังสิ่งตอบแทน ทานเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ แล้วก็ความขยันหมั่นเพียร จนกระทั่งออกบวช ออกบวชก็ให้ทานต่อ
ขณะนั่งเครื่องไปอินเดีย พระก็เยอะอยู่ด้วยกันหลายองค์หลายท่าน อยู่บนเครื่อง ญาติโยม พนักงานเครื่องบิน ทั้งคนขับเครื่องบินก็บริจาคเงิน เรี่ยไรกันมาถวายหลวงพ่ออยู่บนเครื่องบินนั่นแหละ พระองค์อื่นก็เยอะอยู่ ทั้งขาไปก็รวบรวมสตางค์มาถวายให้ ทั้งขากลับก็รวบรวมสตางค์มาถวายอีก ไปพักที่โรงแรม ไปที่โรงแรมของประเทศอินเดีย ฆราวาสญาติโยม เจอหลวงพ่อก็รวบเงินทองมาถวายให้หลวงพ่อที่โรงแรม ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก แต่หลวงพ่อก็รับเอาไว้ ก็มอบให้กับคนนําทาง ก็อนุเคราะห์ ก็หลายร้อยดอลลาร์เหมือนกัน
ก็มองเห็นอานิสงส์ผลทานที่เราเคยเอาออกเคยให้ คนก็มาอยากจะให้ทานกับเรา ทานหมด ทานทั้งกิเลส ทานทั้งความยึดมั่นถือมั่น ทานความคิด ทานอารมณ์ ทานภายนอก แล้วก็ส่งถึงทาน ทานภายใน ไม่เสียหาย มีแต่จะย้อนกลับมาหาเรา ขอให้เราจัดระบบระเบียบให้ดี หลวงพ่อไม่ปล่อยทิ้ง เงินทุกบาททุกสตางค์ของญาติโยมมาทำบุญ แม้แต่สตางค์แดงหลวงพ่อก็ต้องเก็บ เก็บตังค์บาท ตังค์ห้า ตังค์สิบ เก็บเอาไว้ รวบรวมเอาไว้ ให้ได้จำนวนเยอะแล้วก็ไปแลก แล้วก็มอบให้กับโรงทานมาตลอด ได้ทีละสองแสน สามแสนก็มอบให้กับโรงทาน เงินเพียงแค่เงินบาท เงินสตางค์นะ รวบรวมเอาไว้ทีละ 5-6 เดือน แล้วก็ไปแลกทีก็มอบให้โรงทานที ได้กระจายบุญให้กว้างขวางออกไปไม่จบไม่สิ้น มองเห็นคุณค่า มองเห็นประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราอย่าไปมองข้าม
ความขยันหมั่นเพียรเราก็ต้องเต็มเปี่ยม การฝักใฝ่ การสนใจ มีความรับผิดชอบ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน จากภาระ จากปัญหา เราก็มาแก้ไขปัญหา จากแก้ไขปัญหาก็เป็นภาระ จากเป็นภาระเราก็มาเปลี่ยนเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เราก็มาเปลี่ยนเป็นความรับผิดชอบ ช่วยกันทำ รู้จักแก้ไขตัวเรา อย่าไปงอมืองอเท้า บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ให้รู้จักพิจารณาตัวเองทันที อย่าไปแก้ไขมากมาย เพราะว่าถ้าทุกคนปกครองตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปพูดกันมากมาย พูดกันคําสองคําก็รู้เรื่อง ถ้าจะนําความทุกข์ความลําบากมาให้หมู่ให้คณะ ก็รู้จักแก้ไขตัวเอง แก้ไขไม่ได้ก็ไม่ได้อยู่กับเพื่อน ก็แค่นั้นเอง
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง หรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วก็ใจไม่รู้ว่าคิดไปไหนบ้าง วิ่งตามความคิด วิ่งตามอารมณ์ ส่งเสริมกิเลส เราต้องมาเจริญสติ รู้จักการสร้างสติให้รู้ทุกอิริยาบถ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด หายใจอย่างไรเราถึงจะรู้เท่าทัน ความรู้สึกนั่นแหละ ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ สติรู้กาย แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ จนเกิดความเคยชิน จนกําลังสติของเรามีกําลังเข้มแข็ง รู้เท่าทันการเกิดของใจ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุดเอาไว้
ส่วนใจของเรานั้นเป็นบุญอยู่แล้ว ฝักใฝ่ในบุญ อยากได้บุญ อยากได้ธรรม ความอยากนั่นแหละคือความเกิด เรามาดับความอยากเสีย ละความเกิดเสียตั้งแต่การก่อตัว ไม่ต้องให้มันเกิดกิเลส ความโลภ ความโกรธอะไรมากมาย เพียงแค่เริ่มเกิด ใจเริ่มเกิดเราก็ดับเสีย จนอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา
มีความคิดอีกอันหนึ่งที่แทรกเข้ามา เรียกว่าขันธ์ห้า ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม เมื่อเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิด คิดไปได้คืบได้ศอก ได้เป็นเมตร ได้เป็นเรื่องเป็นราว เราถึงรู้ว่าเราคิด เพราะว่ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ เราต้องมาสร้างสติเสียก่อน กําลังสติเข้มแข็งแล้วก็รู้เท่าทัน รู้อาการ รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดการดับ รู้การแยกการคลาย เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล สร้างความขยันหมั่นเพียรให้ได้ทุกอิริยาบท บุคคลที่มีบุญฟังนิดเดียว รู้แนวทางนิดเดียวกัน การละกิเลสเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างนี้ มีความสุข หมั่นอบรมใจหมั่นพร่ำสอนใจ เจริญสติไปเป็นเพื่อนของใจนั่นแหละ เขาถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน
แต่เวลานี้สติก็ไม่มี จะเป็นที่พึ่งของใจได้อย่างไร เพียงแค่ระดับของสมมติ เราก็ไม่ยังจัดระบบระเบียบของสมมติให้เรียบร้อย ก็ต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก ค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป บุญสมมติเราก็พากันช่วยกันทำ การขัดเกลากิเลส เราก็ขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ว่าไม่ให้มี ไม่ให้เอาให้เป็น มีให้เป็น ทำให้เป็น ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา มีมากมีน้อยก็มีด้วยสติ มีด้วยปัญญา อย่ามีด้วยอำนาจของความอยาก อำนาจของกิเลส การพูดง่ายๆแต่การกระทำการลงมือต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความขยันเป็นเลิศ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสํารวจ หัดทำความเข้าใจ คําสอนแนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย เพียงแค่พวกเราจะดำเนินให้ถึงรากถึงโคน ถึงฐานของใจหรือไม่เท่านั้นเอง เราก็รู้ความจริงแล้วใจมันไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ถ้าเขารู้ความจริง แต่เขาไม่รู้ความจริง เขาทั้งหลงทั้งเกิด เขาหลงมานาน เขาเกิดมานานตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาในภพของมนุษย์ ตั้งแต่เป็นวิญญาณ เขาก็เกิดในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์
พระพุทธองค์ท่านถึงได้มาตรัสรู้ในภพของมนุษย์ เพื่อที่จะอาศัยกายก้อนนี้เจริญสติเข้าไปดูรู้ใจ อบรมใจอยู่ในกายเนื้อก้อนนี้ ให้มองเห็นหนทางเดิน พวกเราก็พยายามกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ต้องถึงมะรืนนี้ ไม่ถึงเดือนนี้เดือนหน้า วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนหน้ามีปีหน้ามี ภพหน้ามี ทุกภพทุกภูมิมีหมด ขอให้เราจงเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ สักวันหนึ่งเราคงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ทำสมองให้โล่ง ทำใจให้โปร่ง ทำความรู้สึกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ