หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 84
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 84
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 84
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 ตุลาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเรื่องสัจธรรมของชีวิต การดำเนินชีวิต และวิธีการแนวทางที่จะให้เข้าถึงทางดับทุกข์ได้ แล้วก็มาเปิดเผย บุคคลใดประพฤติปฏิบัติตามย่อมจะเข้าถึง ขอให้มีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา แล้วก็เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ท่าน วิธีการอย่างไรถึงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางกัน ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีศรัทธาได้น้อมกายของเราเข้ามา ได้สร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีกัน บุญสมมติเราก็ทำ บุญวิมุตติการขัดเกลากิเลสเราก็ต้องดำเนิน เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเราทุกคน
ความจริงมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ สัจจะระดับของสมมติก็มี สัจจะระดับของวิมุตติก็มี คนเราเกิดมา เกิดมาแล้วจะไปอย่างไรมาอย่างไร เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจ มองเห็นทางเดินของตัวเราเอง ถ้าไม่หลง ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ใจหรือว่าวิญญาณในกายก็ยังเกิดต่อ ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้ หลงหลายชั้น หลงโลกธรรม หลงลาภหลงยศ ทุกข์สุขนินทาต่างๆ แล้วก็มาหลงกายเนื้อ หลงกายเนื้อแล้วก็ยังมาหลงความคิด จิตวิญญาณก็ยังเป็นทาสของความทะเยอทะยานอยากอีก หลายชั้นจริงๆ
เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณนั้นก็หลง ถ้าไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เราหลงมาทั้งก้อน หลงมาอยู่ในภพของมนุษย์ก็ยังว่าเราไม่หลงนะ เพราะว่าเรายังแยกไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติปัญญาเต็มเปี่ยม อันนั้นเป็นสติปัญญาของโลกีย์ของสมมติ ปัญญาวิมุตติเราต้องสร้างขึ้นมา สร้างความรู้ตัวขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปอบรมใจ ไปวิเคราะห์ใจ ว่าใจกับอาการของใจเขาแยกกันอย่างไร เขารวมกันอย่างไรถึงเกิดอัตตาตัวตน ทำไมใจถึงส่งไปภายนอก ทำไมใจถึงเกิดกิเลส แต่ละวันตื่นขึ้นมามีกันทุกคน แต่กําลังสติของเราวิเคราะห์ไม่ได้แยกไม่ได้ก็เลยไม่เห็นชัดเจน ไม่เห็นทั้ง ไม่เห็น ทำความเข้าใจให้ถึงฐานเดิมของใจจริงๆ ก็เลยไปทั้งก้อนถูกทั้งก้อน อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติทุกอย่าง ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจหรือว่าความเกิดนั่นแหละ
ความเกิด พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุให้เห็นเหตุ เห็นเหตุการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรา แล้วก็ทำความเข้าใจ อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม จะไปฟังที่ไหนจะไปแสวงหาที่ไหนถ้าไม่เน้นสติลงที่ใจของเราก็ยากที่จะเข้าใจพยายามเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เพียงแค่การเจริญการสร้างสติก็ยังยากลําบากอยู่ ก็เลยสอนใจตัวเราเองไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง อาจจะได้เป็นบางครั้งบางคราวคือการควบคุมใจ แต่การวิเคราะห์การแยกการคลาย การทำความเข้าใจให้ได้ทุกอย่าง ตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรที่ยิ่งยวด แล้วก็ทำความเข้าใจ รู้ด้วยเห็นด้วย
การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่านก็เป็นแค่เพียงแนวทาง การสังเกตการวิเคราะห์ การแยกการคลาย การรับรู้ ใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เราต้องเจริญผู้รู้หรือว่าสร้างสติเข้าไปอบรม เข้าไปอบรมเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ใจถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมรับได้ง่ายๆ
แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยมานาน มีโอกาสเราก็พยายามขวนขวายฝักใฝ่ศึกษากายใจของตัวเรา แล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้เต็มเปี่ยม ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ สักหนึ่งเราก็คงจะเห็น เห็นการเกิดการดับของใจ แล้วก็ละความเกิด ดับความเกิดของใจของเราให้ได้ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ถ้าคนเราจะเอาจะรู้จะเห็น ฟังนิดเดียว ไปจัดการกับใจของตัวเรา ก็จะมีความสุขทั้งทางโลกทั้งทางธรรม บุญภายนอกเราก็สนุกทำสนุกสร้าง ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้กับสมมติ ทำบุญให้กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด หลวงพ่อก็จะพยายามทำทุกอย่างที่จะเป็นบุญ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ให้พวกเราได้มาร่วมกัน
หลวงพ่อก็ขอบใจทุกคนที่ได้มาร่วมกัน ทั้งกําลังกายกําลังใจกําลังทรัพย์มาร่วมกันฝากเอาไว้ ทุกอย่างในสถานที่แห่งนี้ จะให้เป็นกองบุญตั้งเอาไว้ คนรุ่นหลังมาก็จะได้สร้างสานต่อไม่จบไม่สิ้น พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้ไม่ได้ลําบาก เข้ามาก็มีสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ก็เกิดจากพวกเราได้ช่วยกันทำ ใครเข้ามาก็มีความสุข บุญก็เกิดขึ้นที่ใจ ความสุขนั่นแหละคือตัวบุญ ใจบริสุทธิ์นั่นแหละคือตัวใจ ใจไม่เกิดหรือว่านิ่ง ความนิ่งความบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ดับความเกิด แล้วก็วางใจให้เป็นอิสรภาพ ก็จะมีความสุขกัน
โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด เรามาเจริญ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา ถ้าเราไม่ได้มาก็น้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุมีส่วนแห่งบุญ เราก็มีได้รับอานิสงส์แห่งบุญในสิ่งที่พวกเราทำ วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี ก็ให้เราศึกษาให้ดีๆ อย่าพากันประมาท ถ้าเรารู้เราเห็นแล้ว เราก็จะไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
การขัดเกลากิเลส ทำใจให้สะอาด จนดับ คลายความหลงได้ ละกิเลสได้ ดับความเกิดได้ จนไม่มีอะไรเหลือนั่นแหละ เหลือตั้งแต่สมมติ เคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติ ถึงเวลาสมมติก็แตกก็ดับกลับคืนสู่สภาพเดิม คือดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะว่ามาศึกษาดูดีๆ แล้วจะเห็นชัดเจน ชัดแจ้งตามแนวทางของพระพุทธองค์ ตราบใดที่ยังใจยังคลาย แยกรูปแยกนามไม่ได้ เราจะไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์อย่างลึกซึ้ง
ถ้าแต่เราก็เพียงแค่มีศรัทธาน้อมใจน้อมกายของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ตามดูรู้เห็นได้ รู้จักจุดปล่อยจุดวาง รู้จักการละกิเลสได้ เราก็จะเข้าถึงคำสอนของท่านปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ละออก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจเกิดสักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล สติปัญญาของเรา แม้แต่สติปัญญาของเราถ้าเป็นอกุศลให้หยุดให้ดับ หลายชั้นหลายขั้นหลายตอน ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ จังๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ
พูดก็เหมือนง่าย แต่การลงมือการกระทำนี่ถ้าไม่เอาจริงๆ นี่ยาก คนเราที่จะเข้าถึงธรรมได้ต้องเป็นบุคคลที่มีบุญบารมีสร้างอานิสงส์มาก่อน เราละกิเลสหรือเปล่า เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญู มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจ เขาเรียกว่า ‘บารมี’ บารมีของทุกคน บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย บางคนก็พร้อมหมดทั้งวิมุตติทั้งสมมติ ไม่ได้ลําบาก
แต่เราค่อยพยายาม เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด คำว่าขันธ์ห้าของพระพุทธองค์นั้นเป็นอย่างไร เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด อยู่ด้วยกันอีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ เราพยายามค้นหาจิตวิญญาณของเราให้เจอ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว น้อมสำเหนียก ฟังไปด้วยแล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัวไปด้วย วิธีการแนวทางหลวงพ่อเพียงแค่พูดแค่ชี้แค่แนะแค่บอกเท่านั้นเอง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็จะไม่เข้าใจ การเจริญสติลักษณะของความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก การสร้างความรู้สึกรับรู้ก็ขาดความเพียรกันทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ ใจก็อยากจะรู้ธรรมเข้าใจในธรรม ความอยากความเกิดของใจนั้นปิดกั้นตัวเอาไว้ในชั้นแรกเลยทีเดียวในกายของเรา เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่จนต่อเนื่องจนเชื่อมโยง ถ้าเราสร้างได้ต่อเนื่อง ใจจะเกิดเราก็จะเห็นอาการเกิดของใจ
แล้วก็รู้จักควบคุม ควบคุมแล้วก็วิเคราะห์ว่าทำไมใจถึงเกิด เพียงแค่การเกิดของใจ ยังมีความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ อาการของใจ แล้วก็ผุดขึ้นมาใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียว อันนี้เป็นความหลงอีกชั้นหนึ่ง มายึดเอาขันธ์ห้าอีกเป็นอัตตาตัวตนอีก แล้วก็เกิดส่งออกไปด้วยกัน รวมกันกับทั้งปัญญาไปเป็นก้อน
เราต้องมาแจงให้ออกบอกให้ได้ ว่าอันนี้ส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้ก็ตัวใจของเรา การควบคุมใจของเรา ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด บางทีเพราะความเคยชินเก่าๆ ความคิดเก่า ปัญญาเก่าเขา ทำเขาเกิดจนช่ำชอง เราจะไปควบคุมไปแยกแยะ ไปชี้เหตุชี้ผล ให้เขารู้ความจริงในชั่วครั้งชั่วคราวไม่ได้ เราต้องเจริญสติ แล้วก็เจริญพรหมวิหาร สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราพยายามปรับปรุงใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อม ใจของเรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ใจของเรามีความโกรธ เราก็รู้จักดับความโกรธ ดับความโกรธด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี
ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่ใจก่อน เกิดที่ใจก่อน ใจเกิด ใจปรุง ใจแต่ง จนใจหลงมาอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเรา อันนี้เขาหลงมานานเขาหลงมาก่อนแล้ว เขาถึงมาสร้างกายเนื้อขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง แล้วเขาก็เกิดต่อ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้มาแย้งกัน ขันธ์ห้าก็เหมือนกัน ถ้าเรามาดำเนินตามแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์ เราจะรู้เราจะเห็น
ท่านถึงวางแนวทางเอาไว้ ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก ตั้งแต่ข้อแรกในอริยมรรคในหนทางเดิน แล้วก็วิปัสสนาญาณ การแยกรูปแยกนาม การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร เหตุจากภายนอกเป็นอย่างไร เหตุจากภายในเราเป็นอย่างไร ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายให้ได้เสียก่อน แล้วก็รู้ใจ อบรมใจ ใช้วิธีการแนวทางต่างๆ จนรู้ด้วยเห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย จะละได้อีกด้วยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาล อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา บุคคลมีบุญมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นนี้ ใจวิเวกเป็นนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากการเกิด ใจที่แยกรูปแยกนาม ใจที่ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้
เราต้องฝักใฝ่สนใจวิเคราะห์ตัวเรา ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงพวกเราก็ยังทำกันยากอยู่ จะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้อย่างไร จะเอาไปอบรมใจได้ยังไง เพราะว่ากิเลสกับใจเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เราก็ต้องแก้ไขตัวเรานะ
สร้างความระลึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 ตุลาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเรื่องสัจธรรมของชีวิต การดำเนินชีวิต และวิธีการแนวทางที่จะให้เข้าถึงทางดับทุกข์ได้ แล้วก็มาเปิดเผย บุคคลใดประพฤติปฏิบัติตามย่อมจะเข้าถึง ขอให้มีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา แล้วก็เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ท่าน วิธีการอย่างไรถึงจะเข้าถึงจุดหมายปลายทางกัน ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีศรัทธาได้น้อมกายของเราเข้ามา ได้สร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีกัน บุญสมมติเราก็ทำ บุญวิมุตติการขัดเกลากิเลสเราก็ต้องดำเนิน เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเราทุกคน
ความจริงมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ สัจจะระดับของสมมติก็มี สัจจะระดับของวิมุตติก็มี คนเราเกิดมา เกิดมาแล้วจะไปอย่างไรมาอย่างไร เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจ มองเห็นทางเดินของตัวเราเอง ถ้าไม่หลง ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ใจหรือว่าวิญญาณในกายก็ยังเกิดต่อ ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้ หลงหลายชั้น หลงโลกธรรม หลงลาภหลงยศ ทุกข์สุขนินทาต่างๆ แล้วก็มาหลงกายเนื้อ หลงกายเนื้อแล้วก็ยังมาหลงความคิด จิตวิญญาณก็ยังเป็นทาสของความทะเยอทะยานอยากอีก หลายชั้นจริงๆ
เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณนั้นก็หลง ถ้าไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เราหลงมาทั้งก้อน หลงมาอยู่ในภพของมนุษย์ก็ยังว่าเราไม่หลงนะ เพราะว่าเรายังแยกไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องเราก็ว่าเรามีสติปัญญาเต็มเปี่ยม อันนั้นเป็นสติปัญญาของโลกีย์ของสมมติ ปัญญาวิมุตติเราต้องสร้างขึ้นมา สร้างความรู้ตัวขึ้นมาแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปอบรมใจ ไปวิเคราะห์ใจ ว่าใจกับอาการของใจเขาแยกกันอย่างไร เขารวมกันอย่างไรถึงเกิดอัตตาตัวตน ทำไมใจถึงส่งไปภายนอก ทำไมใจถึงเกิดกิเลส แต่ละวันตื่นขึ้นมามีกันทุกคน แต่กําลังสติของเราวิเคราะห์ไม่ได้แยกไม่ได้ก็เลยไม่เห็นชัดเจน ไม่เห็นทั้ง ไม่เห็น ทำความเข้าใจให้ถึงฐานเดิมของใจจริงๆ ก็เลยไปทั้งก้อนถูกทั้งก้อน อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติทุกอย่าง ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจหรือว่าความเกิดนั่นแหละ
ความเกิด พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุให้เห็นเหตุ เห็นเหตุการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรา แล้วก็ทำความเข้าใจ อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม จะไปฟังที่ไหนจะไปแสวงหาที่ไหนถ้าไม่เน้นสติลงที่ใจของเราก็ยากที่จะเข้าใจพยายามเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เพียงแค่การเจริญการสร้างสติก็ยังยากลําบากอยู่ ก็เลยสอนใจตัวเราเองไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง อาจจะได้เป็นบางครั้งบางคราวคือการควบคุมใจ แต่การวิเคราะห์การแยกการคลาย การทำความเข้าใจให้ได้ทุกอย่าง ตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรที่ยิ่งยวด แล้วก็ทำความเข้าใจ รู้ด้วยเห็นด้วย
การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่านก็เป็นแค่เพียงแนวทาง การสังเกตการวิเคราะห์ การแยกการคลาย การรับรู้ ใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เราต้องเจริญผู้รู้หรือว่าสร้างสติเข้าไปอบรม เข้าไปอบรมเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ใจถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมรับได้ง่ายๆ
แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยมานาน มีโอกาสเราก็พยายามขวนขวายฝักใฝ่ศึกษากายใจของตัวเรา แล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้เต็มเปี่ยม ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ สักหนึ่งเราก็คงจะเห็น เห็นการเกิดการดับของใจ แล้วก็ละความเกิด ดับความเกิดของใจของเราให้ได้ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ถ้าคนเราจะเอาจะรู้จะเห็น ฟังนิดเดียว ไปจัดการกับใจของตัวเรา ก็จะมีความสุขทั้งทางโลกทั้งทางธรรม บุญภายนอกเราก็สนุกทำสนุกสร้าง ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้กับสมมติ ทำบุญให้กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด หลวงพ่อก็จะพยายามทำทุกอย่างที่จะเป็นบุญ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ให้พวกเราได้มาร่วมกัน
หลวงพ่อก็ขอบใจทุกคนที่ได้มาร่วมกัน ทั้งกําลังกายกําลังใจกําลังทรัพย์มาร่วมกันฝากเอาไว้ ทุกอย่างในสถานที่แห่งนี้ จะให้เป็นกองบุญตั้งเอาไว้ คนรุ่นหลังมาก็จะได้สร้างสานต่อไม่จบไม่สิ้น พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้ไม่ได้ลําบาก เข้ามาก็มีสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ก็เกิดจากพวกเราได้ช่วยกันทำ ใครเข้ามาก็มีความสุข บุญก็เกิดขึ้นที่ใจ ความสุขนั่นแหละคือตัวบุญ ใจบริสุทธิ์นั่นแหละคือตัวใจ ใจไม่เกิดหรือว่านิ่ง ความนิ่งความบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ดับความเกิด แล้วก็วางใจให้เป็นอิสรภาพ ก็จะมีความสุขกัน
โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด เรามาเจริญ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา ถ้าเราไม่ได้มาก็น้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุมีส่วนแห่งบุญ เราก็มีได้รับอานิสงส์แห่งบุญในสิ่งที่พวกเราทำ วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี ก็ให้เราศึกษาให้ดีๆ อย่าพากันประมาท ถ้าเรารู้เราเห็นแล้ว เราก็จะไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
การขัดเกลากิเลส ทำใจให้สะอาด จนดับ คลายความหลงได้ ละกิเลสได้ ดับความเกิดได้ จนไม่มีอะไรเหลือนั่นแหละ เหลือตั้งแต่สมมติ เคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติ ถึงเวลาสมมติก็แตกก็ดับกลับคืนสู่สภาพเดิม คือดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะว่ามาศึกษาดูดีๆ แล้วจะเห็นชัดเจน ชัดแจ้งตามแนวทางของพระพุทธองค์ ตราบใดที่ยังใจยังคลาย แยกรูปแยกนามไม่ได้ เราจะไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์อย่างลึกซึ้ง
ถ้าแต่เราก็เพียงแค่มีศรัทธาน้อมใจน้อมกายของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ตามดูรู้เห็นได้ รู้จักจุดปล่อยจุดวาง รู้จักการละกิเลสได้ เราก็จะเข้าถึงคำสอนของท่านปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ละออก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจเกิดสักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล สติปัญญาของเรา แม้แต่สติปัญญาของเราถ้าเป็นอกุศลให้หยุดให้ดับ หลายชั้นหลายขั้นหลายตอน ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ จังๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ
พูดก็เหมือนง่าย แต่การลงมือการกระทำนี่ถ้าไม่เอาจริงๆ นี่ยาก คนเราที่จะเข้าถึงธรรมได้ต้องเป็นบุคคลที่มีบุญบารมีสร้างอานิสงส์มาก่อน เราละกิเลสหรือเปล่า เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญู มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจ เขาเรียกว่า ‘บารมี’ บารมีของทุกคน บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย บางคนก็พร้อมหมดทั้งวิมุตติทั้งสมมติ ไม่ได้ลําบาก
แต่เราค่อยพยายาม เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด คำว่าขันธ์ห้าของพระพุทธองค์นั้นเป็นอย่างไร เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด อยู่ด้วยกันอีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ เราพยายามค้นหาจิตวิญญาณของเราให้เจอ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว น้อมสำเหนียก ฟังไปด้วยแล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัวไปด้วย วิธีการแนวทางหลวงพ่อเพียงแค่พูดแค่ชี้แค่แนะแค่บอกเท่านั้นเอง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็จะไม่เข้าใจ การเจริญสติลักษณะของความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก การสร้างความรู้สึกรับรู้ก็ขาดความเพียรกันทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ ใจก็อยากจะรู้ธรรมเข้าใจในธรรม ความอยากความเกิดของใจนั้นปิดกั้นตัวเอาไว้ในชั้นแรกเลยทีเดียวในกายของเรา เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่จนต่อเนื่องจนเชื่อมโยง ถ้าเราสร้างได้ต่อเนื่อง ใจจะเกิดเราก็จะเห็นอาการเกิดของใจ
แล้วก็รู้จักควบคุม ควบคุมแล้วก็วิเคราะห์ว่าทำไมใจถึงเกิด เพียงแค่การเกิดของใจ ยังมีความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ อาการของใจ แล้วก็ผุดขึ้นมาใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียว อันนี้เป็นความหลงอีกชั้นหนึ่ง มายึดเอาขันธ์ห้าอีกเป็นอัตตาตัวตนอีก แล้วก็เกิดส่งออกไปด้วยกัน รวมกันกับทั้งปัญญาไปเป็นก้อน
เราต้องมาแจงให้ออกบอกให้ได้ ว่าอันนี้ส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้ก็ตัวใจของเรา การควบคุมใจของเรา ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด บางทีเพราะความเคยชินเก่าๆ ความคิดเก่า ปัญญาเก่าเขา ทำเขาเกิดจนช่ำชอง เราจะไปควบคุมไปแยกแยะ ไปชี้เหตุชี้ผล ให้เขารู้ความจริงในชั่วครั้งชั่วคราวไม่ได้ เราต้องเจริญสติ แล้วก็เจริญพรหมวิหาร สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราพยายามปรับปรุงใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อม ใจของเรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ใจของเรามีความโกรธ เราก็รู้จักดับความโกรธ ดับความโกรธด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี
ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่ใจก่อน เกิดที่ใจก่อน ใจเกิด ใจปรุง ใจแต่ง จนใจหลงมาอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเรา อันนี้เขาหลงมานานเขาหลงมาก่อนแล้ว เขาถึงมาสร้างกายเนื้อขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง แล้วเขาก็เกิดต่อ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้มาแย้งกัน ขันธ์ห้าก็เหมือนกัน ถ้าเรามาดำเนินตามแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์ เราจะรู้เราจะเห็น
ท่านถึงวางแนวทางเอาไว้ ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก ตั้งแต่ข้อแรกในอริยมรรคในหนทางเดิน แล้วก็วิปัสสนาญาณ การแยกรูปแยกนาม การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร เหตุจากภายนอกเป็นอย่างไร เหตุจากภายในเราเป็นอย่างไร ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายให้ได้เสียก่อน แล้วก็รู้ใจ อบรมใจ ใช้วิธีการแนวทางต่างๆ จนรู้ด้วยเห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย จะละได้อีกด้วยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาล อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา บุคคลมีบุญมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นนี้ ใจวิเวกเป็นนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากการเกิด ใจที่แยกรูปแยกนาม ใจที่ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้
เราต้องฝักใฝ่สนใจวิเคราะห์ตัวเรา ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงพวกเราก็ยังทำกันยากอยู่ จะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้อย่างไร จะเอาไปอบรมใจได้ยังไง เพราะว่ากิเลสกับใจเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เราก็ต้องแก้ไขตัวเรานะ
สร้างความระลึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ