หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 44

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 44
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 44
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 44
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 เมษายน 2558

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจตัวเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักพักหนึ่งนะ สักนิดหนึ่ง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก น้อมเข้าไปดู รู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้ที่กระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่าความรู้ตัว หรือว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเวลาลมวิ่งเข้า เวลาลมวิ่งออก เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ

เราพยายามฝึกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงจาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง จนรู้ทุกขณะลมหายใจเข้าออกให้เกิดความเคยชิน อันนี้สติตัวนี้แหละในหลักธรรมที่ท่านให้เจริญ ส่วนความคิดของใจซึ่งมีอยู่ตลอด ความคิดของขันธ์ห้าที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดอันนี้ก็มีตลอด เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวตัวนี้ให้ต่อเนื่อง บางทีความรู้ตัวตัวนี้เผลอไป ความคิดตัวเก่า ตัวเกิดจากตัววิญญาณนั่นแหละ เขาก็จะผุดขึ้นมา ส่วนมากมีตั้งแต่ความคิดเก่าของเก่า ที่ยังเกิดอยู่ ยังวิ่งอยู่ตลอดเวลา เขาหลงอยู่ในตรงนั้นอยู่ ส่วนในทางระดับของสมมติการสร้างบุญ สร้างบารมี ตรงนี้สร้างกันมาดี อย่างสมมติ อะไรผิดอะไรถูกผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็รู้จัก มองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่ตัวใจ ความเกิดของใจซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราต้องมาเจริญสติ

เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง ก็เลยควบคุมใจไม่ได้ อบรมใจไม่ได้ ไปสังเกต วิเคราะห์ใจการเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ซึ่งเรียกว่าวิปัสสนา ถ้าแยกรูปแยกนามได้ มีการตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องอีก ก็ขึ้นอยู่กําลังสติปัญญาของตัวเรา สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้าม มองผ่านไป ก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ ทั้งที่พากันสร้างบุญมาดี การให้ทาน พรหมวิหาร ความเมตตา ความเสียสละ การฝักใฝ่ การสนใจ แต่เป็นการสนใจที่เกิดจากปัญญาของโลกีย์ ไม่ใช่ปัญญาของโลกุตระ

ปัญญาของโลกุตระ ปัญญาธรรม เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจจาก1 ครั้ง 2 ครั้ง จนแยกได้ ทำได้ จนสติของเราที่สร้างขึ้นมาเป็นมหาสติ จากมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ใจของเรามองเห็นความเป็นจริง เพียงแค่การเกิดก็เป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ถ้าเขารู้ความเป็นจริง ก่อนที่เขาจะไม่เกิดได้ เราก็ต้องละต้องดับ ต้องทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าฉันมีพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว ฉันไม่ทุกข์แล้ว ไม่ใช่ ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์ กายนี้ก็เป็นก้อนทุกข์ เราต้องหาวิธีแนวทาง แนวทางนั้นมีมานาน เราต้องทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา

ใหม่ๆ สติปัญญาจะมีมากมายถึงขนาดไหน อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้งในคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านให้บอกว่าเจริญสติ เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต รู้ไม่ทันต้นเหตุ ก็หยุดเขาไว้ ดับเอาไว้ ใหม่ๆ ก็อึดอัด เพราะว่าเขาเคยอิสระแบบโลกๆ มาก่อน อึดอัดจนถึงที่สิ้นสุด เขาก็จะคลายออกให้เราเห็น ถ้าคลายได้เราก็ตามดูได้ ทำความเข้าใจได้ กําลังสติก็จะเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในดวงวิญญาณ รอบรู้ในขันธ์ห้าของเรา การพูดง่าย การลงมือ การกระทำ ต้องพยายามทำจากน้อยๆ ไปหามากๆ ถ้าไม่ทำแล้วก็ไม่มีใครจะทำให้เรา กิเลสของเรา เราก็ละเอา ชีวิตของเรา เราต้องรู้จักวิธีการดำเนิน แนวทางไม่มีเราก็แสวงหาแนวทาง รู้จักวิธีแล้วก็ไปดำเนินกันนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน

พากันไหว้พระพร้อมๆ พร้อมกัน ค่อยไปสร้างสานต่อกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง