หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 13
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 13
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 13
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ รู้จักลักษณะการสร้างความรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ทุกเรื่อง เพียงแค่สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราก็จะชัดเจน อันนี้เขาเรียกว่าสติรู้กาย
เพียงแค่สร้างขึ้นมาให้รู้กาย รู้ลมหายใจ เขาเรียกว่ารู้กาย แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมเข้าลมออก ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ทั้งกายก็อึดอัด ใจก็อึดอัด เพราะว่าใจมันยังคลายออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้ เรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง
ส่วนใจนั้นบางทีเขาก็จะคิดไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ บางทีก็แว็บ บางทีก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราว บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา แต่ละวันนี่มีกันเยอะ แต่กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอก็เลยรู้ไม่ทัน เพราะว่าความคิดตัวเก่า ความเกิดความหลงเขามีมานาน เขาก็มีเหตุมีผลมาปิดบังอำพรางตัวเอง ก็เลยไปเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าตัวนั้น อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง
แต่แนวทางจริงๆ แล้วเราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนรู้เท่าทันการก่อตัวของใจ จะรู้เท่าทันความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ รู้เท่าทันเมื่อไร เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันเมื่อไรใจก็จะพลิกออก ในหลักธรรมเขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์
คําว่าอัตตา อนัตตา คําว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ คําว่าสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ดูเห็น รู้เห็น ทิฏฐิความเห็น เห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า แต่กายสมมติก็มีอยู่ ในส่วนใจหรือว่าส่วนวิญญาณ ส่วนเป็นนามธรรมนั้นก็จะเห็นชัดเจน เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ใจว่างรับรู้อยู่ ก็เรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารทุกเรื่อง
แต่เวลานี้กําลังความรู้ตัวกำลังสติของเรามีต่อเนื่องกันสัก 2-3 นาทีก็ทั้งยาก 5 นาทีก็ทั้งยาก 10 นาทีก็ทั้งยาก วันหนึ่งมีกี่นาที วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ท่านถึงบอกว่าให้รู้ตัวทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทำไมถึงจะรู้ถึงขนาดนั้น ถ้าใจเราคลายออกจากความคิด แยกรูปแยกนามได้ กําลังสติตามดูตามคนคว้า กําลังสติจะเพิ่มพลังมากมาย ตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง ค้นคว้าทุกเรื่อง เห็นเหตุเห็นผลทุกเรื่อง นี่แหละถึงเรียกว่าเริ่มเป็นมหาสติ จากมหาสติรู้ความจริงก็จะเริ่มเป็นมหาปัญญา เห็นเหตุเห็นผล ใจเกิดเข้าไปรวมเมื่อไรเราก็หยุด เราก็ละ เราก็ดับ เรียกว่าใช้สมถะดับ สมถะดับยังไม่พอ เราต้องเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี คิดดี เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีการขวนขวาย เรามีการวิเคราะห์ การสังเกต เห็นเหตุเห็นผลหรือเปล่า มาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ให้ละเอียด
ทั้งที่ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สร้างอานิสงส์กันมาดี ขวักไขว่มีศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป แต่การเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้ความเป็นจริงในกายของเราตรงนี้ไม่ค่อยจะมี เขาเรียกว่าปัญญาอยู่ แต่ปัญญาสมมติ ปัญญาโลกีย์ ถึงจะพิจารณาในธรรม คิดในธรรมก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เราต้องดับความเกิด คลายความหลง แยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจให้ละเอียด แล้วก็ดับความเกิดของตัววิญญาณ ละกิเลสออกจากวิญญาณออกจากใจของเรา เราละกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ จนกิเลสไม่มีความคั่งค้างอยู่ในใจของเรา
ความอยากแม้แต่นิดเดียว แม้แต่การเกิดนั่นแหล่ะ ดับความเกิด ดับความเกิดของวิญญาณ จนวิญญาณไม่เกิดหรือว่าใจไม่เกิด ก็ว่าง วิญญาณให้เป็นอิสรภาพอีก อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ บริหารกายใจด้วยปัญญาล้วนๆ ทำความเข้าใจกับโลกธรรม โลกธรรมแปดในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ภาระหน้าที่การงานต่างๆ เอาการเอางานเป็นหลักของการปฏิบัติ คลายภายในให้ได้ บริหารภายนอกด้วยปัญญา เพราะว่าเรายังอยู่กับสมมติ เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเรานี่แหละคือก้อนสมมติ
ส่วนใจของเรานั้นต้องคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมอีก ถึงจะหลุดพ้น ถึงจะปล่อยวางสมมติก้อนนี้ได้ แต่เราก็ยังอาศัยก้อนสมมติก้อนนี้อยู่ ถ้าเราไม่ศึกษาให้ละเอียดยากที่จะเข้าใจ ถ้าความเพียรไม่ต่อเนื่อง อานิสงส์บุญบารมีของเราไม่เต็มเปี่ยม แต่ก็อย่าไปน้อยใจ เราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเองใหม่ ปรับปรุงตัวเราเองใหม่อยู่ตลอดเวลา จนบริหารด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ
อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักลักษณะของสติ มันก็ปฏิบัติด้วยความหลง การเกิดการดับของจิตในกายของเราตั้งแต่เช้าขึ้นมามีสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจสักกี่ครั้ง กําลังสติของเราเร็วไวแหลมคม เห็นเหตุเห็นผลหรือไม่
อานิสงส์ส่วนอื่นทุกคนสร้างกันมาดี ถ้าถึงเวลาก็ย่อมจะเข้าใจตราบใดที่เราฝักใฝ่สนใจ เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผลให้ได้รับผลวันเดียวก็ไม่ได้ การปฏิบัติใจก็เหมือนกันเราต้องปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ เราก็จะเห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้า น้อมนําเอาคําสอนของท่าน น้อมนําเอาความเป็นจริงให้มาปรากฏขึ้นที่ใจ
ท่านถึงบอกว่าใครเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเรา เห็นใจของเรานั่นแหละ พุทธะก็คือผู้รู้ รู้อะไร ก็รู้ใจ ไม่ให้ใจของเราเกิด ไม่ให้ใจของเราหลง มองเห็นว่าทางเดิน ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ชี้เหตุชี้ผล จนหมดความสงสัย หมดความลังเลทุกเรื่อง จนไม่มีอะไรที่จะไปแก้ไข จนอยู่อย่างมีความสุข
กายก็มันเป็นก้อนทุกข์ เราก็ทำความเข้าใจเขาเสีย ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่ามันจะได้ง่ายๆ นะ พูดง่ายแต่การลงมือการกระทำนี่ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ขัดเกลาตัวเองเป็นเลิศ ได้เท่าไรก็เอา ดีกว่าไม่ได้ ในการทำบุญในการให้ทาน ทานจนกระทั่งถึงปรมัตถ์ ทานคือ ทานความยึดมั่นถือมั่น ก่อนที่จะเข้าถึงตรงนั้น ก็ทั้งข้างนอกทั้งข้างในมันเกื้อหนุนกันหมด จิตวิญญาณมันเกิดมานานมันหลงมานาน ถึงได้เกิดมาภพมนุษย์ เราก็ต้องมาเจริญสติมาแก้ไข แล้วก็ทำความเข้าใจ ละวางหมดแล้วก็บริหารด้วยปัญญาหมด ถึงจะอยู่มีความสุขได้ มองเห็นหนทางเดินได้ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน แล้วก็ให้เชื่อมโยง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ไปสร้างสานต่อนะ ให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ รู้จักลักษณะการสร้างความรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ทุกเรื่อง เพียงแค่สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราก็จะชัดเจน อันนี้เขาเรียกว่าสติรู้กาย
เพียงแค่สร้างขึ้นมาให้รู้กาย รู้ลมหายใจ เขาเรียกว่ารู้กาย แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมเข้าลมออก ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ทั้งกายก็อึดอัด ใจก็อึดอัด เพราะว่าใจมันยังคลายออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้ เรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง
ส่วนใจนั้นบางทีเขาก็จะคิดไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ บางทีก็แว็บ บางทีก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราว บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา แต่ละวันนี่มีกันเยอะ แต่กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอก็เลยรู้ไม่ทัน เพราะว่าความคิดตัวเก่า ความเกิดความหลงเขามีมานาน เขาก็มีเหตุมีผลมาปิดบังอำพรางตัวเอง ก็เลยไปเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าตัวนั้น อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง
แต่แนวทางจริงๆ แล้วเราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนรู้เท่าทันการก่อตัวของใจ จะรู้เท่าทันความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ รู้เท่าทันเมื่อไร เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันเมื่อไรใจก็จะพลิกออก ในหลักธรรมเขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์
คําว่าอัตตา อนัตตา คําว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ คําว่าสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ดูเห็น รู้เห็น ทิฏฐิความเห็น เห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า แต่กายสมมติก็มีอยู่ ในส่วนใจหรือว่าส่วนวิญญาณ ส่วนเป็นนามธรรมนั้นก็จะเห็นชัดเจน เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ใจว่างรับรู้อยู่ ก็เรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารทุกเรื่อง
แต่เวลานี้กําลังความรู้ตัวกำลังสติของเรามีต่อเนื่องกันสัก 2-3 นาทีก็ทั้งยาก 5 นาทีก็ทั้งยาก 10 นาทีก็ทั้งยาก วันหนึ่งมีกี่นาที วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง ท่านถึงบอกว่าให้รู้ตัวทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทำไมถึงจะรู้ถึงขนาดนั้น ถ้าใจเราคลายออกจากความคิด แยกรูปแยกนามได้ กําลังสติตามดูตามคนคว้า กําลังสติจะเพิ่มพลังมากมาย ตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง ค้นคว้าทุกเรื่อง เห็นเหตุเห็นผลทุกเรื่อง นี่แหละถึงเรียกว่าเริ่มเป็นมหาสติ จากมหาสติรู้ความจริงก็จะเริ่มเป็นมหาปัญญา เห็นเหตุเห็นผล ใจเกิดเข้าไปรวมเมื่อไรเราก็หยุด เราก็ละ เราก็ดับ เรียกว่าใช้สมถะดับ สมถะดับยังไม่พอ เราต้องเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี คิดดี เรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีการขวนขวาย เรามีการวิเคราะห์ การสังเกต เห็นเหตุเห็นผลหรือเปล่า มาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ให้ละเอียด
ทั้งที่ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สร้างอานิสงส์กันมาดี ขวักไขว่มีศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป แต่การเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้ความเป็นจริงในกายของเราตรงนี้ไม่ค่อยจะมี เขาเรียกว่าปัญญาอยู่ แต่ปัญญาสมมติ ปัญญาโลกีย์ ถึงจะพิจารณาในธรรม คิดในธรรมก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เราต้องดับความเกิด คลายความหลง แยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจให้ละเอียด แล้วก็ดับความเกิดของตัววิญญาณ ละกิเลสออกจากวิญญาณออกจากใจของเรา เราละกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ จนกิเลสไม่มีความคั่งค้างอยู่ในใจของเรา
ความอยากแม้แต่นิดเดียว แม้แต่การเกิดนั่นแหล่ะ ดับความเกิด ดับความเกิดของวิญญาณ จนวิญญาณไม่เกิดหรือว่าใจไม่เกิด ก็ว่าง วิญญาณให้เป็นอิสรภาพอีก อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ บริหารกายใจด้วยปัญญาล้วนๆ ทำความเข้าใจกับโลกธรรม โลกธรรมแปดในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ภาระหน้าที่การงานต่างๆ เอาการเอางานเป็นหลักของการปฏิบัติ คลายภายในให้ได้ บริหารภายนอกด้วยปัญญา เพราะว่าเรายังอยู่กับสมมติ เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเรานี่แหละคือก้อนสมมติ
ส่วนใจของเรานั้นต้องคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมอีก ถึงจะหลุดพ้น ถึงจะปล่อยวางสมมติก้อนนี้ได้ แต่เราก็ยังอาศัยก้อนสมมติก้อนนี้อยู่ ถ้าเราไม่ศึกษาให้ละเอียดยากที่จะเข้าใจ ถ้าความเพียรไม่ต่อเนื่อง อานิสงส์บุญบารมีของเราไม่เต็มเปี่ยม แต่ก็อย่าไปน้อยใจ เราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเองใหม่ ปรับปรุงตัวเราเองใหม่อยู่ตลอดเวลา จนบริหารด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ
อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักลักษณะของสติ มันก็ปฏิบัติด้วยความหลง การเกิดการดับของจิตในกายของเราตั้งแต่เช้าขึ้นมามีสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจสักกี่ครั้ง กําลังสติของเราเร็วไวแหลมคม เห็นเหตุเห็นผลหรือไม่
อานิสงส์ส่วนอื่นทุกคนสร้างกันมาดี ถ้าถึงเวลาก็ย่อมจะเข้าใจตราบใดที่เราฝักใฝ่สนใจ เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผลให้ได้รับผลวันเดียวก็ไม่ได้ การปฏิบัติใจก็เหมือนกันเราต้องปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ เราก็จะเห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้า น้อมนําเอาคําสอนของท่าน น้อมนําเอาความเป็นจริงให้มาปรากฏขึ้นที่ใจ
ท่านถึงบอกว่าใครเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเรา เห็นใจของเรานั่นแหละ พุทธะก็คือผู้รู้ รู้อะไร ก็รู้ใจ ไม่ให้ใจของเราเกิด ไม่ให้ใจของเราหลง มองเห็นว่าทางเดิน ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ชี้เหตุชี้ผล จนหมดความสงสัย หมดความลังเลทุกเรื่อง จนไม่มีอะไรที่จะไปแก้ไข จนอยู่อย่างมีความสุข
กายก็มันเป็นก้อนทุกข์ เราก็ทำความเข้าใจเขาเสีย ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่ามันจะได้ง่ายๆ นะ พูดง่ายแต่การลงมือการกระทำนี่ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ขัดเกลาตัวเองเป็นเลิศ ได้เท่าไรก็เอา ดีกว่าไม่ได้ ในการทำบุญในการให้ทาน ทานจนกระทั่งถึงปรมัตถ์ ทานคือ ทานความยึดมั่นถือมั่น ก่อนที่จะเข้าถึงตรงนั้น ก็ทั้งข้างนอกทั้งข้างในมันเกื้อหนุนกันหมด จิตวิญญาณมันเกิดมานานมันหลงมานาน ถึงได้เกิดมาภพมนุษย์ เราก็ต้องมาเจริญสติมาแก้ไข แล้วก็ทำความเข้าใจ ละวางหมดแล้วก็บริหารด้วยปัญญาหมด ถึงจะอยู่มีความสุขได้ มองเห็นหนทางเดินได้ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน แล้วก็ให้เชื่อมโยง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ไปสร้างสานต่อนะ ให้รู้ทุกอิริยาบถ