หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 45

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 45
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 45
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 45
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 เมษายน 2558

พระบวชใหม่ อากาศก็ร้อน การเปลี่ยนแปลง การแก้ไขปรับปรุงตัวเรา จากเพศจากสมมติ เป็นเพศของบรรพชิตขึ้นมา ก็การเปลี่ยนแปลงไปเยอะ กายก็หิว อากาศก็ร้อน ทุกสิ่งทุกอย่าง กายก็แสดงอาการออกอย่างโน้นบ้างอย่างนี้บ้าง ก็มาแก้ไขปรับปรุงกัน ถ้าอย่างนั้นก็ให้ไปนั่งพักผ่อนนะ ไปพักผ่อนที่ที่พักที่อาศัย ค่อยเอาอาหารไปไว้ขบไว้ฉันกัน เดี๋ยวค่อยเอาอาหารไปส่ง เป็นมาตั้งแต่เมื่อคืน แล้วแต่จะแสดงอาการออกมา อาการโน่นอาการนี่ คงจะมีตั้งแต่เก่า ของเก่า ถ้าเรามีสติมีปัญญา คอยควบคุม คอยพิจารณา คอยบริหาร บริหารใจของตัวเรา บริหารกายของเรา เพราะว่าแต่ละสภาพจิตวิญญาณแต่ละดวง สร้างอานิสงส์ทางบุญบารมีมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย

เอาไปพักผ่อนที่นั่นเถอะนะ แล้วก็ค่อยเอาอาหารให้ไปขบไปฉัน ที่พักที่อาศัย คืนนี้ก็ทำวัตรก็แสดงอาการออกมาก็ค่อยแก้ไขกันไป มีการควบคุมกาย ควบคุมวาจาและก็ควบคุมใจ พิจารณาใจของตัวเรา บวชใหม่ๆ หรือว่าไปฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาใหม่ๆ แล้วแต่กิเลสมารต่างๆ จะแสดงออกมา เรารู้จักควบคุมก็เอาอยู่ ถ้าไม่รู้จักควบคุมก็แสดงออกทางกายทางใจ พอกิเลสหมาดมันก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ก็จะแสดงสิ่ง เหตุการณ์ต่างๆ ออกมา ถ้าหลงก็หลงไปเลยก็มี

ถ้าเรารู้จักการเจริญสติควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจ นี่เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล มองเห็นความเป็นจริงของชีวิตว่าเราจะดำนินอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร แล้วก็ค่อยแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ทีละเล็กทีละน้อย นี่จนถึงจุดหมายปลายทางกัน ดูดีๆ พระเราชีเราก็เหมือนกัน พิจารณาปฏิสังขาโยทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ ว่าการขบการฉันเป็นอย่างไร กายของเราเกิดความหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก กายของเราเกิดความหิวใจจะเกิดความอยากปรุงแต่งได้เร็วได้ไว เพียงแค่เรื่องอาหารเราก็ขาดการสังเกต ลึกลงไปความคิดอารมณ์ต่างๆ เขาเกิดเขาดับอยู่ตลอดเวลา เราก็ขาดการเจริญสติเข้าไปสังเกต ก็เลยไม่เข้าใจในชีวิตของตัวเรา

กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ จากกายของเรานี่แหละก้อนธรรม ถ้าเราเปลี่ยนจากก้อนทุกข์ให้เป็นก้อนธรรม แสวงหาความบริสุทธิ์ของใจของเรา ลงอยู่ที่กายของเราให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ว่าใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร แต่เวลานี้กําลังสติไม่ค่อยจะมี ไม่ค่อยจะฝึกให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง ก็เลยไม่เข้าใจ ก็ต้องค่อยฝึก ค่อยเป็นค่อยไป

พระที่นั้นก็ให้ไปพักผ่อน อาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยเอากับข้าวกับปลาไปส่งด้วย ไม่เป็นไรหรอก เอามาม่าสักชามใหญ่ๆ ไปส่ง ช่วงเที่ยง ช่วงเพลก็ลงมาฉันเพลกับเพื่อน องค์ไหนที่อยากจะฉันมื้อเดียว ก็ฉันมื้อเดียว เวลานี้ต้องดูว่าใจมันอยากหรือว่ากายมันหิว ต้องพิจารณาทันที ตรงรู้จักหยุดรู้จักดับ อะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือใจเพียงแค่ระดับสมมติ โลกธรรม เราก็ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็ยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ เพราะว่าเรายังอาศัยสมมติอยู่ จะเอาตั้งแต่ธรรม ไม่ทำความเข้าใจ ชีวิตก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกัน ก็ต้องพยายามเอา

ในหลักธรรมท่านให้ละทั้งความอยาก ละความหวัง ให้ทำความเข้าใจด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา รู้แจ้งเห็นจริง ชี้เหตุชี้ผล โลกก็มีเหตุมีผล ธรรมก็มีเหตุมีผล โลกธรรมก็อยู่ร่วมกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน เพียงแค่เรามาพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ พลิกวิญญาณในกายของเรา คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น ให้รู้ความเป็นจริง แล้วก็ชี้เหตุชี้ผล ละกิเลสดับความเกิดให้มันหมด พูดง่ายอยู่หรอก แต่การกระทำ ต้องอาศัยความเพียรที่ยิ่งยวด ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้

แต่ละวันจิตใจของเราเป็นอย่างไร มีความแข็งกร้าว มีความแข็งกระด้าง มีทิฐิ มีมานะ เราก็พยายามค่อยอบค่อยรม ค่อยบ่ม ค่อยแก้ไขตัวเราไปเรื่อยๆ ถ้าเราบอกตัวเราไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ไม่มีใครที่จะมาบอกให้เราได้หรอก นอกจากพระพุทธองค์ ค้นพบชี้แนะแนวทาง ชี้ทางบอกให้พวกเราจะดำเนินตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราหรือไม่เท่านั้นเอง ส่วนกิเลสถ้าเราละให้ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีใครอื่นเขาจะละให้ได้หรอก นอกจากตัวของเรา ท่านถึงบอกว่า บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นทุกอิริยาบถ ถ้าสอนตัวเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์

วิธีแนวทางนั้นมีมานาน ทุกวันนี้ครูบาอาจารย์ก็เยอะ ชี้แนะแนวทางให้ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะปฏิบัติหรือเปล่าเท่านั้นเอง ปฏิบัติอยู่ แต่ไม่เข้าใจ อาจารย์ที่แท้จริงก็สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเรา ว่าใจของเราไปอย่างไร มาอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด เพียงแค่การเกิดนั้นหลงแล้ว เขามาเกิดมาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวใจเอาไว้อีกนั้น ก็หลงอีกชั้นอย่างละเอียดอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด นิวรณธรรม มลทิน มาปิดกั้นอีก หลายชั้นจริงๆ เพียงแค่ชั้นระดับสมมตินี่ก็ปิดกั้นเอาไว้ พวกเราก็มาหลงอยู่ตรงนี้แล้ว ลึกลงไปอีกนั่นแหละ ใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า ซึ่งแยกรูปแยกนามไม่ได้ ตัวนั้นก็ปิดกั้นไว้อีก กิเลสต่างๆก็มาปิดกั้นไว้อีก ความคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจที่เกิดจากใจส่งไปภายนอกก็ปิดกั้นตัวมันไว้อีก

ต้องอาศัยอานิสงส์บารมีของตัวเรา สร้างอานิสงส์สร้างตบะให้เต็มเปี่ยม ความเสียสละของเรามีหรือไม่ การละกิเลสของเรามีหรือเปล่า มีความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ การเจริญสติ การสังเกต การวิเคราะห์ ให้รู้แจ้งเห็นจริงหมดทุกอย่าง หมดความสงสัย หมดความลังเล จนใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ เราก็พยายามเดิน วิบากกรรมมันคลาย เราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง

เราต้องทำความเข้าใจกับกรรม กรรมในหลักธรรมก็คือการกระทำ ตัวจิตวิญญาณในขันธ์ห้าของเรานี่แหละตัวกรรม กายของเราก็ก้อนกรรม ยกใจคลายออกให้อยู่เหนือกรรม ก็เป็นแค่เพียงกริยาการกระทำ กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน ก็อยู่เหนือกรรม กรรมใหม่ก็ไม่หลงไม่ยึด ดับตัวกรรมเสีย คือดับตัววิญญาณไม่ให้เกิด ยกวางวิญญาณนี้ให้อยู่เหนือกรรมทุกอย่าง เหลือตั้งแต่กิริยาของสติปัญญาทำหน้าที่จนกว่าจะหมดลมหายใจ ก็ต้องพยายามกันแต่ละวัน กว่าจะเป็นมหาสติมหาปัญญาได้ต้องรู้จักตัววิญญาณคลายออกจากขันธ์ห้าตามดูรู้ทุกเรื่อง แล้วก็ละกิเลสให้มันได้ เราก็จะเข้าใจคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร

ท่านสอนเรื่องหลักของอนัตตาความว่างเปล่า สอนเรื่องชีวิต การเกิด การดับ การแยก การทำความเข้าใจ การละ เราจะใช้กิเลสตัวไหน ใช้ปัญญาตัวไหนไปประหัดประหารกิเลส มีหมด ความเพียรตัวไหนที่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ท่านถึงวางเอาไว้ว่าอานิสงส์บารมี บุญบารมีสิบ การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา สัจจะ วิริยะ ความเพียร ทางอริยมรรคในองค์แปด สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ก่อนที่จะเห็นถูกได้ เราเห็นถูกตรงไหน ทุกคนก็เห็นถูกหมดนะ ตาเนื้อก็มองเห็นหมด มันถูกหมด แต่พระพุทธองค์ว่ายังไม่ถูกต้อง มันถูกอยู่ของสมมติเท่านั้นเอง ถูกของวิมุตติต้องวิญญาณคลายออก แยกรูปแยกนาม ตามดูละกิเลสให้มันได้ เห็นจริง เข้าถึงจริง แล้วก็ละได้จริง

ท่านถึงบอกให้เชื่อ มันมีอยู่ ทีนี้เราแยกแยะได้ ทำความเข้าใจได้ เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ก็ทุกคนก็เกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม ก็ต้องพยายามนะ มีโอกาสได้สร้างอานิสงส์กันมากมาย มีอะไรก็ค่อยประคับประคองกัน ไม่มีใครอยากจะไปตกอยู่สถานที่ลําบาก หรือเพียงแค่ระดับของสมมติก็ไม่อยากจะให้ลําบาก

ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มีหมด วิญญาณในกายของเรานี่แหละ เราต้องแก้ไข บางคนบางท่านก็เรียกใจ บางคนบางท่านก็เรียกวิญญาณ เราต้องรีบแก้ไข นี่แก้ไขใจของเรา ท่านถึงบอกให้ทั้งอบ ทั้งรม ทั้งข่มทั้งตี ทั้งขนาบ ทั้งพร่ำทั้งสอน ไม่ให้ใจของเราเกิดกิเลส ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก ใจของคนเรานี่เร็วไว เร็วไวมาก เดี๋ยวก็แป๊บนั่นแป๊บนี่ สารพัดอย่าง บางทีก็เป็นเรื่องเป็นราว กว่าจะเอาอยู่ กําลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล รู้จักอบรม รู้จักช่องทางแก้ไขตัว เราอยู่ตลอดเวลา

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการสนใจ หายใจตั้งแต่เกิด ว่าลมหายใจเข้า หายใจออกเป็นอย่างไร นี่นั่นเพียงแค่รู้กายนะ เพียงแค่รู้กาย เรื่องใจน่ะมันเร็ว มันไว เร็วยิ่งกว่าลิงซะอีก ก็ต้องพยายามได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงเราใหม่ อย่าไปโทษใคร จงโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง มาวัดก็มาโทษท่านเจ้าคุณ ไม่พาเดิน ไม่พานั่ง ว่าอย่างนั้น

จะปฏิบัติธรรมที่ไหน ก็ที่ใจเรานั่นแหละ วิธีการที่จะเข้าถึงใจ มีตั้งแต่พาทำงานนะ มาวัดเจ้าคุณไล่ไปทำงาน ตรงไหนมันไม่ดีก็ไปแก้ไข ตรงไหนมันสกปรกก็ไปทำ ทำได้กี่อันแล้วก็ไม่รู้ ทำห้องน้ำเสร็จหรือยัง ถ้าน้ำไหลนี่ติดค้างยัง คนเรามีแต่ใช้ แต่คนที่จะช่วยมีน้อย เพียงแค่ขยะก็ยังไม่รู้จักเก็บ รู้จักดูแลรักษา มีให้ใช้ก็ดี มีให้อยู่ก็ดี มีโอกาสได้สร้างอานิสงส์ใหญ่ สร้างบุญใหญ่กัน

หลวงพ่อก็จะเป็นสะพานพระธรรม พาสร้าง เพียงแค่เรื่องการให้ทาน ทานอย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ ทานอย่างไรถึงจะทานไม่หลงไม่ยึด ทานด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ถึงจะมีความสุข อานิสงส์บุญจากผู้ที่มีความพร้อมเข้าสู่ผู้ที่ไม่มีความพร้อม มีความพร้อมแล้วก็ให้พร้อมยิ่งๆ ขึ้นไป แต่งานภายใน งานชําระกิเลส เราต้องจัดการตลอดเวลา

กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรแล้วก็จัดการเมื่อนั้น กิเลสมาก กิเลสน้อย อย่าไปวิ่งหนี จะไปหวังปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ มันไม่ทันการหรอก เจริญสติรู้ว่าใจเกิดกิเลส ก็จัดการกับกิเลสขณะที่มันเกิดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเวลาขบเวลาฉันก็เหมือนกัน ใจเกิดความอยาก เราก็ดับความอยากเสีย เราก็ค่อยเอา กายก็ทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ ลิ้นก็ทำหน้าที่ของเขานั่นแหละ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วอะไรก็จะจืดชืดไปหมด

เราทำความเข้าใจ การปล่อยการวาง บางคนก็มาถามว่าปฏิบัติธรรมแล้ว อะไรมันจะไปทำอะไรได้หมด มีแต่คนโง่เท่านั้นน่ะคิดอย่างนั้น คนปฏิบัติคนฝึกก็ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนสละเป็นคนละ เป็นคนรับผิดชอบที่สูง อยู่เหนือสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย ปฏิบัติจนเทวดารอด เทวดาได้ยินข่าวก็นั่งไม่ติด บอกกล่าวหลวงพ่อจะเอาอะไร จะทำอะไร เทวดาต้องรีบ เทวดาเคยมาบอกเอาไว้ บอกว่าหลวงพ่อได้ร่วม 20 ปีแล้วแหละ หลวงพ่อจะทำอะไร มีเงินทองของผม หลวงพ่อคงไม่ให้หลวงพ่อลําบากผมจัดการหามาให้ เทวดามาบอกนะ หลวงพ่อก็เลยบอกเทวดาว่าหลวงพ่อไม่ได้บวชมาหาเงินหาทอง หลวงพ่อบอกว่าบวชมา เพื่อหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น

ถ้าหลวงพ่อจะทำอะไรนี่ พวกผมไม่ให้หลวงพ่อลําบาก เพียงแค่หลวงพ่อนึกนะ แต่ใจไม่นึกนะ ปัญญานึก มีมาหมดเลย มีมาหมด จะเอาร้อยสองร้อย เอาพันสองพัน เอา 1ล้าน 2 ล้าน 5 ล้าน 10 ล้าน กำหนดเท่าไร รู้สึกว่าเขาจัดการหามาให้ทันทีเลย เทวดาเอามาส่ง เทวดาร้อน เทวดาที่มีกายเนื้อกับเทวดาที่ไม่มีกายเนื้อ สมัยก่อนเขาก็เป็นทิฏฐิ มีความเห็นผิด เปลี่ยนจากความเห็นผิดให้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ในกองบุญ มาช่วยเหลือเราหมด ไปที่ไหนเทวดาเยอะ เจอเทวดาเยอะ ขึ้นไปบนภูเขาป่าไร่วัดแรกเท่านั้นแหละ ภพภูมิเทวดาก็มาหา มาขอนิมนต์ให้ช่วยสร้างวัด รับปากตั้งแต่วันนั้นจนทำสำเร็จทุกอย่าง ทุกวันนี้เป็นฐานที่ปฏิบัติหน้ารื่นรมย์น่าอาศัยอยู่บนยอดเขา

มีโอกาสก็เชิญไปเที่ยวพักได้ ที่บนหลังภูพาน มุกดาหาร เลยที่อนามัยแยกเข้าไป สวยงาม เทวดามานิมนต์ให้หลวงพ่อไปช่วยทำ ตั้งแต่ขึ้นไปวันแรกก็รับปาก ทำจนสำเร็จ ทุกวันนี้เป็นแหล่งบุญใหญ่ สวยงาม สวยงามกว่าที่วัดของเรา น้ำก็เจาะบนภูเขาเป็นน้ำแร่อย่างดี ไฟฟ้าก็นําขึ้นไป ไปหมด นี่แหละอำนาจแห่งบุญ หลวงพ่อถึงได้พิจารณาดูว่าบุญอะไรที่ใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์ตอนนี้ ตั้งแต่สมัยแรก 5 ปีแรก ตั้งแต่ 30 ปีก่อน คําหนึ่งมันผุดขึ้นมาเลยว่า ธรรมของพระพุทธองค์ เราต้องปฏิบัติธรรมให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าคนเข้าไม่ถึงล่ะ รองลงมาล่ะ ก็บอกองค์แทนพระพุทธองค์ หลวงพ่อถึงได้สร้างองค์พระพุทธรูปองค์แรกขึ้นที่ทางด้านหน้า

ถ้าอยากปฏิบัติดับทุกข์ให้พ้นทุกข์ได้ก็ปฏิบัติตามคําสอนของท่าน ก่อนที่จะปฏิบัติตามคําสอนของท่านให้ถึงจุดหมายปลายทาง อะไรที่เป็นเครื่องเสบียงเป็นเครื่องนําทางโรงทานโรงครัว กายก็จะได้ไม่ได้ลําบาก การปฏิบัติก็จะได้บรรเทาเบาบางลงไปด้วย หลวงพ่อถึงได้จัดตั้งโรงทานก่อนที่จะสร้างองค์หลวงปู่ใหญ่กลางป่าอีก พอสร้างองค์หลวงปู่ใหญ่กลางป่าเริ่มเต็ม เทวดาก็เริ่มมาช่วย ไปขึ้นไปสร้างบนภูยอดเขาที่ภูป่าไร่ ไม่มีเงินสักบาทขึ้นไป ก็เลยนึกว่าเราจะทำฐานองค์พระนี่ใช้เงินประมาณเท่าไร ช่วง 30 ปี ประมาณ 30,000 ไม่ต้องทำใหญ่ ภายใน 3 วัน มีคนเอาขึ้นไปถวายให้เลย

พอทำฐานเสร็จ สร้างองค์พระจะใช้งบประมาณสักเท่าไร ประมาณสัก 100,000 ภายในอาทิตย์เดียว ก็มีคนเอาเงินไปถวายให้ 100,000 พอทำเสร็จ ปีนั้นหลวงพ่อยังสร้างเมรุข้างล่างไม่เสร็จ มีโยมไปนิมนต์ให้หลวงพ่อลงมา เอาตังค์ไปให้อีก 300,000 บาท มาทำเมรุให้เสร็จ ถึงได้เอาเงินมาสร้างเมรุให้เสร็จ ทีแรกว่าจะขึ้นประจำพรรษาอยู่ที่โน่น ก็มีเหตุปัจจัย โยมเอาเงินไปถวายให้มาจัดการสร้างเมรุให้เสร็จแล้วก็ได้พาลงมาก็ได้เร็วมาสร้างเมรุเสร็จอีก 500,000 ปีนั้นก็เงินก็แพงอยู่นะ เทวดาคอยช่วยไม่ให้ลําบาก

หลังจากสร้างพระองค์เล็กเสร็จก็สร้างองค์ใหญ่ ว่าจะไปสร้างที่เขื่อนป่าสัก องค์ใหญ่ที่เขื่อนป่าสัก พิจารณาดูแล้วก็คงจะใช้งบเยอะประมาณสัก 4 ล้าน ทีแรกก็คิดว่าสัก4 ล้าน ก็เลยรับปากว่าจะหาทำ ตื่นเช้าขึ้นมา มีโยมเอาเงินมาถวายให้อีก 4 ล้าน ก็เลยไปทำ พอไปทำเท่านั้นแหละ พอไปที่ตรงโน้นเท่านั้นแหละ มันคาดการณ์ พิจารณาผิดอยู่บ้าง เพราะว่าเปลี่ยนสถานที่ ที่เรียกว่าจะทำฝั่งทางลพบุรี ก็เลยได้ลงมาทำฝั่งของสระบุรี ฝั่งวังม่วง ต้องวางเสาเข็มขึ้นแท่นขึ้นอะไร ใช้งบเยอะประมาณสัก 18 ล้าน เทวดาก็นําไปให้อีก เสร็จภายใน 7-8 เดือน

ปีนั้นเดี๋ยวนี้ก็เป็นแหล่งบุญใหญ่ของทุกคน เป็นพระประจำจังหวัดของสระบุรี ทุกคนไปเที่ยวเขื่อนก็ต้องไปที่นั่น ไปขอพร ไปทำความเข้าใจ ในการละกิเลสของเรา หลายที่ ที่จะไปทำไปสร้างเจริญหมดมีโอกาสเราอย่าไปทิ้งบุญ มีโอกาสทั้งได้ไถ่ชีวิตโคกระบือเยอะ รวมแล้วก็ประมาณสัก 8 พันกว่าตัว ไถ่ออกให้หมด ละออกให้หมด แต่กิเลสเราต้องละเอานะ

มีโอกาสมาศึกษา มาปฏิบัติ มาขัดเกลา มาฝึกหัดปฏิบัติตัวเรา แก้ไขตัวเรา เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ถ้ามีโอกาสก็จะได้พาทำบุญใหญ่ สร้างบุญใหญ่ ยังมีลมหายใจจะพาสร้างมหาเจดีย์ใหญ่ อยู่ที่หลังวัด จะได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาไว้ที่นี่ให้หมด

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักพักหนึ่ง ไม่สักพักล่ะ เอาให้ต่อเนื่องกันให้จนกระทั่งหมดลมหายใจได้ยิ่งดีใหญ่ อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือนเฉยๆ เป็นวิธีการเป็นแนวทาง เราพยายามเจริญสติเข้าไปสํารวจกาย สํารวจใจของตัวเรา ว่าอะไรขาดตกบกพร่อง อะไรควรแก้ไขในเวลานี้

เราต้องให้รู้ใจของเราให้ชัดเจน ใจของเราต้องคลายออกจากความคิดให้ชัดเจน เราต้องตามดูตามรู้ เห็นความเกิดความดับในความคิด ในอารมณ์ ในขันธ์ห้าของเราให้ชัดเจน ที่ว่าท่านว่าเป็นกองอย่างไร เป็นขันธ์อย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ตรงนี้แหละ ความหลง เพียงแค่ระดับของภพมนุษย์ กายเนื้อนี้ก็มาปิดกันเอาไว้อีกทีหนึ่ง ตัววิญญาณกับความคิดอารมณ์นั้นก็ปิดกั้นอีกทีหนึ่ง ใจเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มันไล่ลงไปเรื่อยๆ

มันมานาน เกิดมานาน มันหลงมานาน เราต้องขัดต้องเกลาด้วยการเจริญตบะบารมี การบริจาค การให้การเอาออก ความเสียสละ ความอดทน อดกลั้น ทุกเรื่อง ความขยัน หมั่นเพียร ความรับผิดชอบ จนกระทั่งรู้จักการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจ วิเคราะห์ไม่ทัน รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักกด รู้จักข่ม จนกว่าจะถึงเวลาเขาคลายออก ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ถึงจะมองเห็นหนทางเดิน เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร

คําว่าอัตตาของพระพุทธเจ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดการดับของวิญญาณในกายเป็นอย่างนี้ การหยุด การดับ การละ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด เราละกิเลสได้มากได้มากได้น้อยเท่าไร มันจะเห็นชัดเจน ก็อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทุกอิริยาบถ ยืน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย

บุคคลที่มีบุญมีสติมีปัญญา รู้จักวิธีการนิดเดียวเท่านั้นแหละ กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ สติเป็นนี้ รู้ใจเป็นอย่างนี้ อบรมใจเป็นนี้ อยู่คนเดียวก็หมั่นพร่ำสอนใจตัวเรา แก้ไขใจของเรา ภาษาธรรม ภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร กายทวารทั้งหมดทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายของเราทำหน้าที่อย่างไร กายแตกดับ แล้วเราจะไปไหนต่อ

ตราบใดที่ใจยังดับความเกิดไม่ได้ ละกิเลสไม่หมดจด ก็ขอให้ทุกคนอยู่ในกองบุญกองกุศล เป็นข้าวพกข้าวห่อ ติดตามตัวของเราเอาไว้ ดีกว่าจะทำให้ใจของเราตกไปสู่ที่ลําบาก เราก็ต้องพยายาม เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ทางด้านจิตวิญญาณก็มีเหตุมีผล ทางด้านโลกธรรมก็มีเหตุมีผล เหตุผลฝ่ายไหนมันจะเยอะกว่ากัน เหตุผลฝ่ายไหนที่จะมากจะน้อย ก็เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ ใจคลายได้นั่นแหละ ยกธงขาวได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอม ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ ก็ต้องพยายามนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ให้เกิดความเคยชิน สักวันหนึ่งก็จะรู้ความหมายของการเจริญสติ

พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อให้ทุกอิริยาบถนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง