หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 4 วันที่ 5 กันยายน 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 4 วันที่ 5 กันยายน 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 4
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 กันยายน 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง แล้วก็ให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียกไปด้วย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง แล้วก็น้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบีบลมหายใจ อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจแบบธรรมชาติ หายใจยาวๆ ให้ละเอียด แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ
เวลาเราสูดลมหายใจยาวๆ ความรู้สึกที่ลมกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละท่านเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ถ้าลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าความรู้สึกของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ให้ปะติดปะต่อกัน จนจาก 1 นาทีเป็น 2 นาที เป็น 3 เป็น 5 เป็น 10 เป็น 20 เป็นชั่วโมง จนความรู้ตัวต่อเนื่องเชื่อมโยง เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนสติตัวนี้เราไม่มีเลย ถึงมีก็มีแค่กระท่อนกระแท่น เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้
ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ใจของเราอยากจะได้บุญ บางครั้งบางคราวนี่บุญนี่จนเต็มเปี่ยมจนล้นเลยก็มี แต่ขาดกําลังสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ว่าใจไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่หลงขันธ์ห้า หลงความคิด ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด อาการซึ่งเรียกว่า อาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมไปด้วยกันนั่นแหละทำให้เกิดอัตตาตัวตน เป็นนี่แหละที่ท่านเรียกว่า ‘มิจฉาทิฏฐิ’ ความเห็นผิด
ถ้าใจคลายออกจากความคิด ใจเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจก็ว่าง กายก็เบา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งอยู่ในกายของเราว่าเป็นเรื่องอะไร นี่แหละกําลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเข้าไปไม่ถึงตรงนี้ ไม่เห็นตรงนี้ ก็เลยมีตั้งแต่ความคิดเก่าซึ่งเขาเกิดอยู่แล้ว เขามีมาตั้งแต่เดิม บางทีก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ในภาพรวมเขายังหลงอยู่
ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขามาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกอีก เป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริม หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ หลายชั้นนะ ไม่ใช่ว่ามีแค่ชั้นหนึ่งชั้นเดียว เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณ หรือความคิดนั้นก็ ก็หลงแล้ว ในส่วนลึกๆ เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด เขาหลงมาสร้างขันธ์ห้ามาสร้างภพมนุษย์ ปิดกั้นตัวเราเอง
ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปคลายขันธ์ห้าให้ได้ซึ่งท่านเรียกว่าให้รอบรู้ในวิญญาณในกองสังขาร ให้รอบรู้ขันธ์ห้าของตัวเอง ให้รอบรู้ในโลกธรรม ตื่นขึ้นมาแล้วรีบดูรีบแก้ไข จากน้อยๆ ไปหามากๆ บางคนบางท่านก็แก้ไขในระดับของสมมติได้ให้สมบูรณ์ไป บางคนบางท่านก็แก้ไขทั้งภายในทั้งภายนอกได้ควบคู่กัน หรือ ได้สิ่งหนึ่งเสียจริงหนึ่ง ได้จริงหนึ่งเสียจริงหนึ่ง เราก็ต้องพยายามแก้ไขให้ได้ทั้งสองทางให้สมดุลกันทั้งภายนอกทั้งภายใน
ทรัพย์ภายในเป็นอย่างนี้ ทรัพย์ภายนอกเป็นอย่างนี้ ต่างฝ่ายต่างก็เกื้อหนุนกันอยู่ ก็ต้องพยายาม อย่าทิ้งในการสร้างคุณงามความดี ในการสร้างบุญสร้างกุศล อย่าไปท้อถอย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว
คําสอนแนวทางนั้นมีมาตั้งนานแล้วแหละ พวกเราพยายามยังสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านได้พร่ำสอนให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 กันยายน 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง แล้วก็ให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียกไปด้วย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง แล้วก็น้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบีบลมหายใจ อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจแบบธรรมชาติ หายใจยาวๆ ให้ละเอียด แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ
เวลาเราสูดลมหายใจยาวๆ ความรู้สึกที่ลมกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละท่านเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ถ้าลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าความรู้สึกของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ให้ปะติดปะต่อกัน จนจาก 1 นาทีเป็น 2 นาที เป็น 3 เป็น 5 เป็น 10 เป็น 20 เป็นชั่วโมง จนความรู้ตัวต่อเนื่องเชื่อมโยง เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนสติตัวนี้เราไม่มีเลย ถึงมีก็มีแค่กระท่อนกระแท่น เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้
ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ใจของเราอยากจะได้บุญ บางครั้งบางคราวนี่บุญนี่จนเต็มเปี่ยมจนล้นเลยก็มี แต่ขาดกําลังสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ว่าใจไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่หลงขันธ์ห้า หลงความคิด ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด อาการซึ่งเรียกว่า อาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมไปด้วยกันนั่นแหละทำให้เกิดอัตตาตัวตน เป็นนี่แหละที่ท่านเรียกว่า ‘มิจฉาทิฏฐิ’ ความเห็นผิด
ถ้าใจคลายออกจากความคิด ใจเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจก็ว่าง กายก็เบา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งอยู่ในกายของเราว่าเป็นเรื่องอะไร นี่แหละกําลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเข้าไปไม่ถึงตรงนี้ ไม่เห็นตรงนี้ ก็เลยมีตั้งแต่ความคิดเก่าซึ่งเขาเกิดอยู่แล้ว เขามีมาตั้งแต่เดิม บางทีก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ในภาพรวมเขายังหลงอยู่
ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขามาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกอีก เป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริม หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ หลายชั้นนะ ไม่ใช่ว่ามีแค่ชั้นหนึ่งชั้นเดียว เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณ หรือความคิดนั้นก็ ก็หลงแล้ว ในส่วนลึกๆ เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด เขาหลงมาสร้างขันธ์ห้ามาสร้างภพมนุษย์ ปิดกั้นตัวเราเอง
ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปคลายขันธ์ห้าให้ได้ซึ่งท่านเรียกว่าให้รอบรู้ในวิญญาณในกองสังขาร ให้รอบรู้ขันธ์ห้าของตัวเอง ให้รอบรู้ในโลกธรรม ตื่นขึ้นมาแล้วรีบดูรีบแก้ไข จากน้อยๆ ไปหามากๆ บางคนบางท่านก็แก้ไขในระดับของสมมติได้ให้สมบูรณ์ไป บางคนบางท่านก็แก้ไขทั้งภายในทั้งภายนอกได้ควบคู่กัน หรือ ได้สิ่งหนึ่งเสียจริงหนึ่ง ได้จริงหนึ่งเสียจริงหนึ่ง เราก็ต้องพยายามแก้ไขให้ได้ทั้งสองทางให้สมดุลกันทั้งภายนอกทั้งภายใน
ทรัพย์ภายในเป็นอย่างนี้ ทรัพย์ภายนอกเป็นอย่างนี้ ต่างฝ่ายต่างก็เกื้อหนุนกันอยู่ ก็ต้องพยายาม อย่าทิ้งในการสร้างคุณงามความดี ในการสร้างบุญสร้างกุศล อย่าไปท้อถอย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว
คําสอนแนวทางนั้นมีมาตั้งนานแล้วแหละ พวกเราพยายามยังสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านได้พร่ำสอนให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ