หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 91
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 91
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละ ให้เกิดขึ้นให้ต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนสามารถเอาไปใช้การใช้งานได้ อบรมใจของเราได้ เห็นการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า จนรู้เท่ารู้ทัน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม มีกันทุกคน ความเกิดนี่มีกันทุกคน เราทำอย่างไรถึงจะรู้เท่ารู้ทัน จนรู้เห็น หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง บอกวิธีการแนวทางให้พวกท่านไปทำจนปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อ
การศึกษาการค้นคว้าทางสมมติทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติ รู้เท่ารู้ทัน รู้เหตุรู้ผล จนคลายออก จนใจคลายออก หรือว่าหงายขึ้นมา หรือว่าแยกรูปแยกนาม เห็นใจชัดเจน รู้ลักษณะของใจชัดเจน รู้ลักษณะอาการของความคิดชัดเจน ตามดูรู้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเขาเกิดอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร คําว่า อัตตา-ตัวตน อนัตตา-ความว่างเปล่า
การขัดเกลากิเลส กิเลสนี่ก็มีหลายชั้น กิเลสความโลภ ความเกิด ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง สารพัดอย่าง แม้แต่การเกิดของใจก็เป็นกิเลสที่ละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ท่านถึงให้เจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็หัดวิเคราะห์หัดสังเกต อบรมใจของเราให้ได้ ชี้เหตุชี้ผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ส่วนรูปส่วนนาม ร่างกายของเรานี่ก้อนรูป เราก็คอยดูแลบริหารเขาไป ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็ต้องหมดสภาพ เขาก็ต้องแตกต้องดับ เราให้รู้ก่อน ก่อนที่ร่างกายของเราจะเสื่อม รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้ละ จนไม่มีอะไรที่จะไปขัดเกลาอีก จนเหลือตั้งแต่ปัญญาไปใช้ ให้ใจรับรู้ รอเวลาธาตุขันธ์แตกดับก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด ความเกิดนี่เป็นกิเลสตัวที่ละเอียดมากที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
แต่คนทั่วไปก็เพียงแค่เจริญสติให้ต่อเนื่องได้สักนิดหนึ่งนี่ก็ลําบากอยู่ แต่การทำบุญให้ทานสร้างบารมีส่วนอื่นนี่ก็มีกันอยู่ แต่การศึกษาค้นคว้าให้รู้ทุกอย่างในกายในใจของเรา จนไม่มีอะไรที่จะค้างคาใจของเราได้ ตรงนี้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ หมั่นทำความเข้าใจเป็นเลิศ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนตามดูรู้เห็นทุกอย่าง จนปล่อยวางได้ เบื่อหน่าย ปล่อยวางได้ ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ จนถึงวาระเวลาหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ แต่เวลานี้เราละวางด้วยปัญญา รู้เห็น รู้นั่นด้วยปัญญา ดำเนินไปเถอะ พยายามทำ ผิดพลาดเราแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่
ตนจงเตือนตน ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนคือสติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่สองก็คือใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งติด สารพัดอย่าง เหมือนกับยางเหนียว เรามาขัดเกลาเอาออกทีละเล็กทีละน้อย สักวันหนึ่งก็คงจะถึง ไม่ถึงจริงๆ ก็ วันนี้ไม่หลุดพ้นก็วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า
ตราบใดที่ใจยังเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ เห็นมีโอกาส โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เราพยายามทำ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ ก็ต้องพยายามทำ แล้วก็เข้าถึงความหมายให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ไม่เหลือวิสัยหรอก ความจริงมีอยู่ในกายในใจของเราหมด ก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละ ให้เกิดขึ้นให้ต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนสามารถเอาไปใช้การใช้งานได้ อบรมใจของเราได้ เห็นการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า จนรู้เท่ารู้ทัน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม มีกันทุกคน ความเกิดนี่มีกันทุกคน เราทำอย่างไรถึงจะรู้เท่ารู้ทัน จนรู้เห็น หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง บอกวิธีการแนวทางให้พวกท่านไปทำจนปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อ
การศึกษาการค้นคว้าทางสมมติทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติ รู้เท่ารู้ทัน รู้เหตุรู้ผล จนคลายออก จนใจคลายออก หรือว่าหงายขึ้นมา หรือว่าแยกรูปแยกนาม เห็นใจชัดเจน รู้ลักษณะของใจชัดเจน รู้ลักษณะอาการของความคิดชัดเจน ตามดูรู้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเขาเกิดอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร คําว่า อัตตา-ตัวตน อนัตตา-ความว่างเปล่า
การขัดเกลากิเลส กิเลสนี่ก็มีหลายชั้น กิเลสความโลภ ความเกิด ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง สารพัดอย่าง แม้แต่การเกิดของใจก็เป็นกิเลสที่ละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ท่านถึงให้เจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็หัดวิเคราะห์หัดสังเกต อบรมใจของเราให้ได้ ชี้เหตุชี้ผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ส่วนรูปส่วนนาม ร่างกายของเรานี่ก้อนรูป เราก็คอยดูแลบริหารเขาไป ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็ต้องหมดสภาพ เขาก็ต้องแตกต้องดับ เราให้รู้ก่อน ก่อนที่ร่างกายของเราจะเสื่อม รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้ละ จนไม่มีอะไรที่จะไปขัดเกลาอีก จนเหลือตั้งแต่ปัญญาไปใช้ ให้ใจรับรู้ รอเวลาธาตุขันธ์แตกดับก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด ความเกิดนี่เป็นกิเลสตัวที่ละเอียดมากที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
แต่คนทั่วไปก็เพียงแค่เจริญสติให้ต่อเนื่องได้สักนิดหนึ่งนี่ก็ลําบากอยู่ แต่การทำบุญให้ทานสร้างบารมีส่วนอื่นนี่ก็มีกันอยู่ แต่การศึกษาค้นคว้าให้รู้ทุกอย่างในกายในใจของเรา จนไม่มีอะไรที่จะค้างคาใจของเราได้ ตรงนี้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ หมั่นทำความเข้าใจเป็นเลิศ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนตามดูรู้เห็นทุกอย่าง จนปล่อยวางได้ เบื่อหน่าย ปล่อยวางได้ ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ จนถึงวาระเวลาหมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ แต่เวลานี้เราละวางด้วยปัญญา รู้เห็น รู้นั่นด้วยปัญญา ดำเนินไปเถอะ พยายามทำ ผิดพลาดเราแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่
ตนจงเตือนตน ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนคือสติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่สองก็คือใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งติด สารพัดอย่าง เหมือนกับยางเหนียว เรามาขัดเกลาเอาออกทีละเล็กทีละน้อย สักวันหนึ่งก็คงจะถึง ไม่ถึงจริงๆ ก็ วันนี้ไม่หลุดพ้นก็วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า
ตราบใดที่ใจยังเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ เห็นมีโอกาส โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เราพยายามทำ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ ก็ต้องพยายามทำ แล้วก็เข้าถึงความหมายให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ไม่เหลือวิสัยหรอก ความจริงมีอยู่ในกายในใจของเราหมด ก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ