หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 89 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 89 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 89 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 89
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2560

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง หยุดความกังวล หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่

ความรู้ตัวเวลาลมหายใจสัมผัสเข้า เขาเรียกว่าสติรู้กาย ลมหายใจสัมผัสออก เขาเรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเราไปบังคับ การหายใจก็อึดอัด ถ้าเราไปเพ่ง สมองส่วนบนก็จะตึงเครียด ถ้าเราเอาใจไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของเรา หน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้ของการหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด ลมหายใจก็ไม่ได้ซื้อ แต่เราขาดการวิเคราะห์ ขาดการสังเกต ขาดการศึกษา ขาดการทำความเข้าใจ

ส่วนปัญญาทางโลก ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม บางคนก็มีมาก บางคนก็มีน้อย อันนั้นก็ปัญญาไปใช้กับสมมติ ไม่ใช่ปัญญาที่จะเข้าไปดับทุกข์ที่ใจได้ ไม่ใช่ปัญญาที่จะเข้าไปทำความเข้าใจได้ นอกจากการเจริญสติที่เข้าไปรู้เท่ารู้ทัน ทำความเข้าใจที่เป็นปัญญาของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบ เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การทำความเข้าใจเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ คําว่าอัตตาอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร คําว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในหลักธรรม เราดูรู้เท่ารู้ทันหรือไม่ อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา

การเจริญสติถ้าไม่รู้จักเอาไปใช้ มันก็จะไม่ทำความเข้าใจ ไม่กระจ่าง ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ การขัดเกลากิเลส เราก็พยายามขัดเกลา พยายามเอาออก พยายามละ ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ ปรารถนาหาทางหลุดพ้น ขณะที่ยังมีกําลังกายอยู่ บุญสมมติเราก็ช่วย ก็ได้ทำ บุญวิมุตติ การขัดเกลากิเลสเราก็ทำ ก็ต้องพยายามทำ ถ้าเราไม่ทำไม่มีใครจะทำให้เราได้ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ ถ้าเราเข้าใจ รู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้ว ก็ไปทำ หมั่นวิเคราะห์ ขณะนี้เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละหรือไม่ ใจของเรามีพรหมวิหาร มีความเมตตาหรือเปล่า ใจของเราปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร มีไม่เยอะ มีอยู่ในการกายของเรา แต่ถ้าเรารู้เข้าไปถึงต้นเหตุ การเกิดการดับนั้นถึงจะเห็นเยอะ แต่ในวงหลักธรรมแล้วก็ดูที่กายของเรานี่แหละ

ความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนนาม ส่วนรูป ส่วนการขัดเกลากิเลส กิเลสนี้มีมาทีหลัง ความเกิดนี่ใจนี่หลงมานาน หลงเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็หลงมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็เกิดต่อ แล้วก็เป็นทาสของกิเลสต่อ เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อของเขา แต่เรายังไม่เคยเห็นหน้าตาอาการ อาการตัวโน้นชื่ออย่างโน้น ตัวนี้ชื่ออย่างนี้ เราก็พยายามหัดเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เข้าใจในความหมายของภาษาธรรมภาษาโลก ทุกเรื่อง ทุกครั้ง ในชีวิตของเราตั้งแต่ตื่น จนกระทั่งนอนหลับ แล้วก็จนกระทั่งหมดลมหายใจ เราจะไปปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย

นี่การเกิดในหลักธรรม ความเกิดทางด้านรูปธรรมก็มี ความเกิดในทางด้านนามธรรมก็มี เรียกว่าสมมติ เรียกว่าวิมุตติ เรียกว่า อัตตาอนัตตา ถ้าเราจําแนกแจกแจงได้ ก็ต้องพยายามกันนะ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง พวกเราก็ทำกันลําบาก วันหนึ่งมีกี่นาที นาทีหนึ่งมีกี่วินาที ขณะลมหายใจเข้าหายใจออกทุกขณะจิตตรงนี้แหละ ที่ท่านเรียกว่าปัจจุบัน จนกําลังสติของเราเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง จนเป็นเอง รู้เอง รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินของตัวเรา ก็ต้องการพยายามกัน สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ทำสมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง