หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 50 วันที่ 27 พฤษภาคม 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 50 วันที่ 27 พฤษภาคม 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 50 วันที่ 27 พฤษภาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 50
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2560

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพวกเราพวกท่านได้เจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามสร้างขึ้นมาให้เกิดความเคยชิน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน อยู่ที่ใด พยายามหัดสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลส

การขัดเกลากิเลส กิเลสเกิดขึ้น อย่างเช่นความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก การเกิดของใจ เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ เจริญสติเข้าไปอบรม ไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลยตามเลย เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน มองเห็นหนทางเดิน อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล เราพยายามฝักใฝ่สนใจ มีความสุขในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ

ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในวิญญาณในขันธ์ห้าในกายของเรา รอบรู้โลกธรรมคือ ลาภยศ สรรเสริญ สุขทุกข์ นินทา รอบรู้ในปัจจัยสี่ แล้วก็แสวงหาด้วยปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้ใจของเราเข้าไปร่วมเข้าไปยึด แต่เราต้องคลายภายในให้ได้ เจริญสติเข้าไปแยกสังเกต แยกรูปแยกนามที่ใจของเราให้ได้เสียก่อน ถ้าใจของเราคลายขันธ์ห้าไม่ได้มันก็ยึดขันธ์ห้า แล้วก็ไปยึดเอาหมดทุกอย่าง ถ้าใจของเราคลายหรือว่าแยกรูปแยกนามภายในได้มันก็วางทุกอย่าง

ทีนี้เราก็มาละกิเลส ใจเกิดกิเลสก็รู้จักละ รู้จักดับ รู้จัก ให้รู้จักเอาออก แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ หรือว่าใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น มีความทะเยอทะยานอยาก มีทิฏฐิมานะต่างๆ เราก็พยายามขัดเกลาเอาออกอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง

การเกิดของใจนั่นแหละก็คือความหลงอันลุ่มลึก หลงอย่างละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ในเวลานี้ใจเกิดมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเราอันนี้ก็หลงอีก หลงในขันธ์ห้าอีกขึ้นมาอีก มีขันธ์ห้าแล้วก็หลงในรูป รส กลิ่น เสียง หลงในโลกธรรมอีก มันจะเป็นชั้นๆ ของเขาอยู่ ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปแยกแยะดู คายกิเลสหยาบ แล้วก็กิเลสละเอียด สังเกตวิเคราะห์จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หงายเหมือนกับหงายของที่คว่ำ แล้วก็ขัดเกลากิเลสละเอียดที่มีในใจของเรา แล้วก็ดับความเกิดของใจ ใจก็จะบริสุทธิ์หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ เหลือตั้งแต่ปัญญาบริหารสมมติ อันนี้พูดในหลักธรรมขั้นสูงเลย

แต่ฐานบารมี ความเสียสละ ความอดทน การให้ การเอาออก การทำความเข้าใจ การทำบุญให้ทานตรงนี้มีกันอยู่กันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติต้องต่อเนื่องเข้มแข็ง แล้วก็ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล มองเห็นตามความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่า ท่านสอนอัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ ความว่า คําว่า สมมติวิมุตติเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องแยกได้ ทำความเข้าใจได้ อยู่กับสมมติ จนกว่าจะหมดลมหายใจ กายของเรานี่แหละก้อนสมมุติ ไม่ใช่ที่ไหนเลย ที่นี้ก็สมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็พยายามกัน หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีกันอยู่ตลอด

พวกเรามาวัดก็มาทำบุญเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ถ้าเราละกิเลสไม่ได้เราก็มาไม่ได้ เพื่อที่จะขัดเกลาเอาออก อนุเคราะห์ธาตุขันธ์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่าลืมในการทำบุญให้ทาน ไม่ว่าจะอยู่บ้าน อยู่ไร่ อยู่นา อยู่ที่ทำการทำงาน แล้วก็รู้จักการสังเกต การวิเคราะห์ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า มันไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า ในสิ่งที่พวกเราทำจะติดตามตัวเราไปไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดตำบลใดก็จะอยู่กับเรานั่นแหละ กุศลกับอกุศล เพราะว่าใจก็เป็นของเรา ก็พยายามทำความเข้าใจกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง