หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 37 วันที่ 13 เมษายน 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 37 วันที่ 13 เมษายน 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 37 วันที่ 13 เมษายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 37
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 เมษายน 2560

มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันที่ 13 เมษายน พรุ่งนี้เป็นวันที่ 14 ก็จะได้ทำพิธีสรงน้ำพระคุณเจ้า แล้วก็สรงน้ำผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านที่ไร่ที่นา ก็ถ้าใจดีก็เป็นบุญ หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ฝึกทำความเข้าใจ แต่ละวันตื่นขึ้นมาจิตใจของเราเป็นอย่างไร จิตใจของเรามีความสงบมีความปกติ จิตใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เราพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดอบรมใจของเรา เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ให้ใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา จิตแต่ละดวงปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น

แต่วิธีการแนวทางพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย การเจริญสติ คําว่า สติ รู้กายที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา น้อมใจเข้ามาแล้วก็ปฏิบัติตามคําสอนของท่าน การขัดเกลากิเลส การละกิเลส ความโลภเป็นอย่างไร ความโกรธเป็นอย่างไร ความอยากเป็นอย่างไร ความอยาก ความหิว พระเราชีเราก็พิจารณาปฏิสังขาโย กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ใจเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว

เพียงแค่เรื่องความอยากความหิวก็แก้ไขให้ได้ บอกตัวเองให้เป็น ให้เอาให้มีเหตุมีผลด้วยสติด้วยปัญญา สติปัญญาต้องรู้ใจอบรมใจ ใจนี่ถ้าไม่หลงก็ไม่ได้มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เขาหลงมาตั้งนาน หลงมาเกิด หลงมาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจแล้วก็ไปเกิดต่อ คือคิดต่อไปอีก ทั้งขันธ์ห้าทั้งใจรวมกัน ทั้งปัญญาหลงไปทั้งก้อน

นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติ ส่วนบนส่วนสมอง ส่วนสติส่วนปัญญา เข้าไปอบรมใจ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม เข้าสู่วิปัสสนาความรู้แจ้งเห็นจริง เข้าสู่สัมมาทิฏฐิแต่ทุกวันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิแต่ยังแยกไม่ได้ สัมมาทิฏฐิในการทำบุญในการให้ทาน มีความเชื่อ เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แต่ยังไม่รู้ความเป็นจริง ยังไม่รู้ลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร อะไรคือรูป อะไรคือนาม

คําว่า ความเกิด เกิดทางรูปก็เกิดทางด้านร่างกายของพวกเราก็เกิดมาแล้ว ทีนี้เกิดทางด้านนามธรรมคือใจมันเกิดมันคิดตลอด มันคิด ความเกิดนั่นแหละหลักธรรมท่านว่า ความเกิดถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้มาอยู่ในภพมนุษย์ วนเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นเราอย่าเพิ่งไปแสวงหาเขา เรามาเจริญสติลงที่กาย มาแสวงหาใจอยู่ปัจจุบันอยู่ในกายของเรา มาอบรมใจซึ่งอยู่ในกายของเรา ซึ่งเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมาโดยสติปัญญา ตัวนี้ยังไม่เข้มแข็ง ยังไม่ต่อเนื่อง ก็เลยไปอบรมใจไม่ได้ ก็มีตั้งแต่ตามอำเภอใจ ตามอำนาจของกิเลส ละขันธ์ห้าไม่ได้ ขันธ์ห้ากับที่เป็นส่วนนามธรรม ส่วนรูปธรรมอยู่ในกายของเรานี่แหละ รวมกันอยู่ มีหนังห่อหุ้มอยู่นี่แหละ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุสี่ ถ้าถึงวาระเวลาก็ต้องได้กลับคืนสู่สภาพเดิม

พวกเรามีโอกาส โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด พวกเราก็ได้มาช่วยกัน ญาติโยมท่านได้ปรารถนาอยากจะตั้งโรงทาน ก็มาได้นะ มาตั้งโรงทานกัน มาสร้างเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป นี่ถ้าเราไม่มีเข้าพกเข้าห่อ การเดินทางก็ลําบาก สมมติว่าเราจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ถ้าเราไม่มีความพร้อมก็ลําบาก ไม่มีความพร้อม สมมติว่าไปเมืองขอนแก่น ถ้าเราไม่รู้จักทางเราก็ไปไม่ถูก กว่าจะถึงเมืองขอนแก่น มีจุดแวะพักหลายที่ ที่นู่นบ้างที่นี่บ้าง เราต้องศึกษาค้นคว้า

การปฏิบัติใจของเราก็เหมือนกัน เราต้องดำเนินตามทางของผู้รู้ คือของพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย การทำทานเป็นลักษณะอย่างนี้ การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ ศรัทธาน้อมกายเข้ามา ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ มีอยู่ในกายของเราหมด ใครจะมาโต้เถียงนี้ไม่ได้เด็ดขาด ท่านถึงบอกว่าอย่าเอาทิฏฐิอย่าเอามานะมาขัดแย้ง พยายามดับของเราให้สงบเสียก่อน เจริญสติเข้าไปสังเกตวิเคราะห์ รู้ไม่ทันเราก็หยุดเอาไว้ ฝืนเอาไว้ จนกว่าจะเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า หงายของที่คว่ำ หรือว่าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นสัมมาทิฏฐิ

ถ้าเราขึ้นตัวเรือนก็เพียงแค่ขึ้นบันได ขึ้นบันไดยังไม่ปัดกวาดตัวเรือนให้สะอาดบริสุทธิ์ ท่านถึงบอกว่าให้เห็นแยกให้ได้คลายให้ได้ ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าเชื่อแบบงมงาย ต้องมีศรัทธาแล้วก็ปัญญาด้วย ทำความเข้าใจด้วย ปรับสภาพใจของเราให้มีพรหมวิหาร ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน หนักแน่น อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หวั่นไหวกับสิ่งต่างๆ มองให้เห็นตามความเป็นจริง ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าเชื่อแบบงมงาย ใครพูดอย่างไรก็หลงไปหมดเชื่อไปหมด นี่แหละกิเลสตัวเราก็ยังคลายไม่ได้ วิ่งตามกิเลสคนนู้นคนนี้อีกยิ่งไปกันใหญ่

เราต้องมาสะสางภายในให้จบ ทำใจของเราให้บริสุทธิ์นั่นแหละเราก็จะอยู่กับบุญ ทำอะไรก็เป็นบุญ บุญน้อยบุญมากบุญใหญ่ เรามีโอกาสทำ บุญระดับสมมติ บุญวิมุตติ มีอยู่ในกายในใจของเราหมด ถ้าเราไม่เป็นทาสของกิเลส ถ้าเราไม่เป็นทาสของความอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ใจก็จะไม่นิ่ง ละออกให้หมด ดับความเกิดให้ได้ วางใจให้เป็นอิสรภาพ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข

มีโอกาสก็ขอเชิญพี่น้องเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ทำการทำงาน ทำบุญให้ตัวเรา ทำบุญให้กับบริวาร ขัดเกลากิเลส กิเลสเกิดขึ้นที่กายเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายใน เราต้องหัดวิเคราะห์ ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน อยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทางมาอยู่รวมกัน จุดมุ่งหมายต่างคนก็มาเพื่อที่จะแสวงหาตัวเรา หาตัวเอง

แต่บางคนก็แทนที่จะหาตัวเอง หาตัวเองไม่เจอกลับไประรานคนนู้นระรานคนนี้ มันก็ไม่ดี ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนนู้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเราแล้วเราก็ชนะหมด ไม่จำเป็นต้องไปชนะคนโน้นคนนี้ สนามรบของเราก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ การขัดเกลากิเลส กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร หน้าตาเป็นอย่างไร เราต้องรู้ต้องศึกษาค้นคว้า เพียงแค่ความอยากกับความหิว

ความอยากก็ใจเกิดความอยากเราก็ละความอยาก ใจเกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอกเราก็ดับ คิด ดับความคิด แต่ต้องคิด เราต้องสร้างสติปัญญาตัวใหม่ส่วนสมองไปหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หรือว่าสร้างความรู้ตัวนั่นแหละ จนเป็นอัตโนมัติไม่ให้ใจเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว ผิดพลาดสติปัญญาไปแก้ไข เราก็จะมองเห็นบุญ กองใหญ่เบ้อเริ่มทำอะไรก็เป็นบุญ ทำเพื่อยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด

แต่ละวันๆ หลวงพ่อก็ขอขอบใจมาก ที่มาร่วมกันมาช่วยกัน ใครมาทันก็ทัน ไม่ทันก็อนุโมทนาสาธุ เราก็จะมีส่วนแห่งบุญ ส่วนวันสงกรานต์วันพรุ่งนี้ก็ขอเชิญมาร่วมสรงน้ำพระคุณเจ้า แล้วก็สรงน้ำแม่ชี เราทำมากเราก็ได้ เราทำน้อยเราก็ได้ อย่าไปอคติอย่าไปเพ่งโทษ วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนหน้ามีภพหน้ามี ถ้าเราศึกษาให้ละเอียด เราจะเห็นตามคําสอนของพระพุทธองค์

ตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง