หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 19 วันที่ 3 มีนาคม 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 19 วันที่ 3 มีนาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 19
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มีนาคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ หยุดไม่ได้ ก็ขอให้ควบคุมให้หยุดขณะที่เรากำลังเจริญสติอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งหมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย
เราพยายามสร้างขึ้นมา สร้างความรู้ตัวขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องจนเป็นกิจวัตร เป็นความเคยชิน รู้กายลึกลงไป ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นเขามีมาตั้งแต่เดิม การเกิดการดับของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาก็มีมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตั้งแต่หลายภพหลายชาติโน่นแหละ จนกระทั่งถึงเวลามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ คือปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ความคิดที่เกิดจากใจเขาส่งต่อไปอีก
ความเกิดนั่นแหละเราเรียกว่า ความหลง ความเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของเราหลงเกิด แล้วก็มาหลงสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเราเอาไว้ ไอ้ส่วนหนึ่งเป็นรูปธรรม ไอ้ส่วนหนึ่งเป็นนามธรรม เราต้องเจริญสติสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ลงที่กายของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง แล้วก็อบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
รู้จักลักษณะของการเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จนเอาไปใช้การใช้งานได้ ชี้เหตุชี้ผลได้ เห็นเหตุเห็นผลได้ อบรมใจของเราได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ จนกระทั่งถึงเวลาเราจะหมดลมหายใจ สติปัญญานี่ต้องอยู่กับตัวเรา เอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไร เหมือนกันกับหงายของที่คว่ำ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ ตามดูรู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผล เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในร่างกายของเรา
ส่วนความเพียรส่วนอื่น พยายามสร้างความเพียร ความขยัน ความเสียสละ ความอดทน ให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย สร้างพรหมวิหาร สร้างความกตัญญู สร้างความเมตตาให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา อันนี้เขาเรียกว่า ตบะบารมี ที่จะนำเราขึ้นสู่ที่สูง ที่จะนำเราให้ปล่อยให้วางได้เร็วได้ไว ถ้าเราใช้ตัวเองไม่ได้บอกตัวเองไม่เป็น ก็ไม่รู้ว่าใครจะสอนให้นอกจากเรานั่นแหละ เจริญสติเข้าไปสอนใจของตัวเรา
เราไม่เข้าใจแนวทางเข้าใจวิธี ก็ศึกษาค้นคว้าที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง จนรู้จักวิธีการแนวทางการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องเอาไปใช้การใช้งานเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ใจเกิดความกังวลความฟุ้งซ่าน หรือว่าอิจฉาริษยา หรือว่าเกิดกิเลสต่างๆ เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักละ อบรมใจของเราอยู่บ่อยๆ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราได้เลย นอกจากตัวของเรา
ทั้งพระใหม่พระเก่า ทั้งชี ทุกคนนั่นแหละที่มาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัย อย่าไปอคติกัน อย่าไปว่ากัน อย่าไปเพ่งโทษกัน จงแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไขให้ออกจากใจของเราให้หมดจดก่อนที่ร่างกายของเรายังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดกำลังแล้วก็มีตั้งแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะดำเนินไปในวันข้างหน้า พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมกัน อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญเราก็ช่วยกันทำ อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไข
ความสะอาด ความเป็นระเบียบ อันนี้ต้องพยายามดูแลช่วยกัน อย่าไปทิ้งขยะไปเกลื่อน ตั้งแต่ถนนหนทาง ปากทางเข้ามาถึงโรงครัว ถึงหลังวัด ความสะอาดความเป็นระเบียบเราต้องพยายามช่วยกัน คนเรารักสะอาด แต่ชอบสกปรกไปที่ไหนเห็นทิ้งกันเกลื่อน แต่ใจรักสะอาดอยากจะได้ความสะอาด อยากจะได้อยู่กับธรรมชาติแต่การกระทำไม่มี มันก็เลยห่างไกล ห่างไกลทั้งธรรม ห่างไกลทั้งความสะอาดความบริสุทธิ์
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราพยายามวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา อยู่คนเดียวก็วิเคราะห์ใจ อยู่หลายคนก็วิเคราะห์ใจของเรา อยู่ร่วมกันกับหมู่คณะกับสังคม เราก็ให้อยู่ด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา พวกเราได้มีโอกาสมีบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ถ้าไม่มีบุญร่วมกันไม่ได้มาอยู่ร่วมกันหรอก ขณะที่อยู่ด้วยกันก็พยายามเจริญสร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ความเป็นสิริมงคลก็จะเกิดขึ้นกับเรา
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มีนาคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ หยุดไม่ได้ ก็ขอให้ควบคุมให้หยุดขณะที่เรากำลังเจริญสติอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งหมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย
เราพยายามสร้างขึ้นมา สร้างความรู้ตัวขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องจนเป็นกิจวัตร เป็นความเคยชิน รู้กายลึกลงไป ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นเขามีมาตั้งแต่เดิม การเกิดการดับของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาก็มีมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ตั้งแต่หลายภพหลายชาติโน่นแหละ จนกระทั่งถึงเวลามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ คือปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ความคิดที่เกิดจากใจเขาส่งต่อไปอีก
ความเกิดนั่นแหละเราเรียกว่า ความหลง ความเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของเราหลงเกิด แล้วก็มาหลงสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเราเอาไว้ ไอ้ส่วนหนึ่งเป็นรูปธรรม ไอ้ส่วนหนึ่งเป็นนามธรรม เราต้องเจริญสติสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ลงที่กายของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง แล้วก็อบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
รู้จักลักษณะของการเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จนเอาไปใช้การใช้งานได้ ชี้เหตุชี้ผลได้ เห็นเหตุเห็นผลได้ อบรมใจของเราได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ จนกระทั่งถึงเวลาเราจะหมดลมหายใจ สติปัญญานี่ต้องอยู่กับตัวเรา เอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไร เหมือนกันกับหงายของที่คว่ำ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ ตามดูรู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผล เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในร่างกายของเรา
ส่วนความเพียรส่วนอื่น พยายามสร้างความเพียร ความขยัน ความเสียสละ ความอดทน ให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย สร้างพรหมวิหาร สร้างความกตัญญู สร้างความเมตตาให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา อันนี้เขาเรียกว่า ตบะบารมี ที่จะนำเราขึ้นสู่ที่สูง ที่จะนำเราให้ปล่อยให้วางได้เร็วได้ไว ถ้าเราใช้ตัวเองไม่ได้บอกตัวเองไม่เป็น ก็ไม่รู้ว่าใครจะสอนให้นอกจากเรานั่นแหละ เจริญสติเข้าไปสอนใจของตัวเรา
เราไม่เข้าใจแนวทางเข้าใจวิธี ก็ศึกษาค้นคว้าที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง จนรู้จักวิธีการแนวทางการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องเอาไปใช้การใช้งานเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ใจเกิดความกังวลความฟุ้งซ่าน หรือว่าอิจฉาริษยา หรือว่าเกิดกิเลสต่างๆ เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักละ อบรมใจของเราอยู่บ่อยๆ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราได้เลย นอกจากตัวของเรา
ทั้งพระใหม่พระเก่า ทั้งชี ทุกคนนั่นแหละที่มาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัย อย่าไปอคติกัน อย่าไปว่ากัน อย่าไปเพ่งโทษกัน จงแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไขให้ออกจากใจของเราให้หมดจดก่อนที่ร่างกายของเรายังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดกำลังแล้วก็มีตั้งแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะดำเนินไปในวันข้างหน้า พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมกัน อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญเราก็ช่วยกันทำ อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไข
ความสะอาด ความเป็นระเบียบ อันนี้ต้องพยายามดูแลช่วยกัน อย่าไปทิ้งขยะไปเกลื่อน ตั้งแต่ถนนหนทาง ปากทางเข้ามาถึงโรงครัว ถึงหลังวัด ความสะอาดความเป็นระเบียบเราต้องพยายามช่วยกัน คนเรารักสะอาด แต่ชอบสกปรกไปที่ไหนเห็นทิ้งกันเกลื่อน แต่ใจรักสะอาดอยากจะได้ความสะอาด อยากจะได้อยู่กับธรรมชาติแต่การกระทำไม่มี มันก็เลยห่างไกล ห่างไกลทั้งธรรม ห่างไกลทั้งความสะอาดความบริสุทธิ์
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราพยายามวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา อยู่คนเดียวก็วิเคราะห์ใจ อยู่หลายคนก็วิเคราะห์ใจของเรา อยู่ร่วมกันกับหมู่คณะกับสังคม เราก็ให้อยู่ด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา พวกเราได้มีโอกาสมีบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ถ้าไม่มีบุญร่วมกันไม่ได้มาอยู่ร่วมกันหรอก ขณะที่อยู่ด้วยกันก็พยายามเจริญสร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ความเป็นสิริมงคลก็จะเกิดขึ้นกับเรา
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน