หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 4 วันที่ 5 มกราคม 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 4 วันที่ 5 มกราคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 4
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มกราคม 2560
มีความสุขกันทุกคน ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศก็แจ่ม สงสัยความหนาวก็คงจะเริ่มคลายแล้ว ถ้าอากาศหรือหนาวเป็นหย่อมๆ ทั้งหนาวทั้งไม่หนาว ตื่นเช้าขึ้นมาก็พากันเจริญสติทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายของเราตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้ความปกติปุ๊บ รู้สัมผัสของลมหายใจปั๊บ ฝึกให้เกิดความเคยชินรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรม
รู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจ และก็รู้จักการเกิดของใจ การเกิดของความคิด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย จนกระทั่งถึงเวลานี้และก็เดี๋ยวนี้ เวลาจะรับประทานข้าวปลาอาหาร ขบฉันต่างๆ เราก็รู้ใจของเรา จำแนกแจกแจงความอยากกับความหิว กายเกิดความหิว หรือใจเกิดความอยาก ถ้ากายหิวนี่อะไรก็อร่อยมันบอกว่าอย่างนั้นกิเลส มันบอกว่าเอาเยอะๆ เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม กิเลสมันสั่งกายก็หิว ใจก็เกิดความอยาก
เราสะสมเราเพิ่มความอยากทีละเล็กทีละน้อย มันก็มากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงอยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา เห็นใครพูดอะไรก็วิ่งตามไปหมด ทั้งพระทั้งชีก็ใช้การไม่ได้ พยายามดับความเกิดเพื่อตัวใจของเรา มันอยากไปเราตามความอยากไม่ไปให้มัน มันอยากกินก็ดับความอยาก ความอยากนี่แหละที่คนเรามองข้าม ยิ่งกายต้องการอาหารเราก็ยิ่งจะเห็นความอยากได้เยอะ ความอยากก็ก่อตัวให้เป็นความโลภต่างๆ ทั้งความโลภ ทั้งความโกรธ แต่ความหลงนี่ การเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก
ความเกิด เกิดอยู่ในภพของมนุษย์มาสร้างภพปิดกั้นตัววิญญาณหรือว่าตัวใจเอาไว้ แล้วก็เกิดต่อ ทั้งเกิดต่อ ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด หลงกันไปอีรุงตุงนัง นอกจากปัญญาของผู้รู้ ปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่จะจำแนกแจกแจงเดินตามทางของท่าน เพียงแค่การเจริญสติ หัดสังเกต น้อมดูภายในนี้ก็ยังไม่เชื่อมโยงยังไม่ต่อเนื่อง ปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เราต้องดูรู้ใจทุกอิริยาบถ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจเกิดกิเลสก็รู้จักละ ใจจะเกิดปรุงแต่งเราก็ต้องรู้จักดับ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน มีกันทุกคน แต่ขาดการทำความเพียรที่ต่อเนื่อง ที่เชื่อมโยงจนรู้แจ้งเห็นจริง ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น วิ่งตามกิเลสตัวเองตัวเรายังไม่พอ เราวิ่งตามกิเลสคนโน้นคนนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็วิ่งไปหมด แทนที่จะเจริญสติเป็นที่พึ่งของใจ แก้ไขใจ ปรับปรุงใจของเราทุกอิริยาบถ
เราละความอยาก ดับความเกิด มันก็มีตั้งแต่อยู่กับที่ ดูมีอะไรก็ทำไปให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ จะต้องพยายาม พยายามทำเอา ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย ตื่นเช้าขึ้นมาอะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อะไรประโยชน์ใกล้ อะไรประโยชน์ไกล อะไรประโยชน์มากประโยชน์น้อย อานิสงส์มากอานิสงส์น้อย เราก็พยายามเพียรหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสำรวจ แล้วก็สร้างให้มีให้เกิดขึ้น บุญของสมมติ บุญของวิมุตติ
บุญสมมติเราก็ทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้น คิดดีทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ชนะกิเลสภายในใจของเรา เราก็ชนะหมด ไม่ใช่ว่าวันโน้นถึงจะปฏิบัติ วันนี้ถึงจะปฏิบัติ เราอย่าให้กิเลสเล่นงาน จงใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส เป็นนี้ การสร้างการทำ ทุกอิริยาบถในส่วนลึกๆ ใจก็หลงความคิด หลงอารมณ์ หลงขันธ์ห้าก็ยังไม่พอ แล้วก็เป็นหลงในทุกสิ่งทุกอย่างอีก ถ้าคลายใจออกจากขันธ์ห้าได้ มันก็คลายความหลงได้ ละกิเลส ใจเกิดกิเลสเมื่อไรแล้วก็ละ ทั้งดีทั้งไม่ดีเราละหมด แต่ยังประโยชน์ในส่วนที่ดีแต่ไม่ยึด เราต้องพยายาม
พระก็เยอะ ชีก็เยอะ อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ดูแลความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ความเป็นอยู่ทางสมมติเราก็พยายามช่วยกันดูแลทำความสะอาด อย่าไปรักสะอาดแต่ชอบสกปรก ทิ้งมันเกลื่อนก็ใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามคอยดูแลช่วยกัน เห็นใครทิ้งขยะก็ตักเตือนเอาไปเก็บให้เป็นที่เป็นทาง รู้จักคัดแยกเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ใช่ขี้เหนียว ใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ก็ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ จนเป็นสิ่งใหญ่ จะเอาตั้งแต่สิ่งใหญ่ๆ จะไปละกิเลสตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไอ้ตัวน้อยๆ ความเกิดไม่รู้จักหยุดรู้จักทำความเข้าใจ มันจะไปเห็นได้อย่างไร
รู้จักวิธีการแล้ว รู้จักแนวทางแล้ว ก็หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตรา ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของใจที่เกิดความโกรธรหรือเกิดความโลภเราจะแก้ไขอย่างไร กายมีวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร จะเอาตั้งแต่ธรรม แต่มีตั้งแต่สะสมแต่กิเลส มันจะเป็นไปได้อย่างไร เราละกิเลสออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้
เราละกิเลสออกมันก็จะค่อยเบาบางลงไปเรื่อยๆ เบาบางลงไปเรื่อยๆ ละกิเลสที่นั่น ละกิเลสที่นี่ มันก็จะค่อยออกไปเรื่อยๆ คนเราเกิดมาก็อยู่ในกฎของไตรลักษณ์ อยู่ในกฎของความเป็นจริง อนิจจัง คำว่า อนิจจังความไม่เที่ยงเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกข์ขัง มันเป็นทุกข์เป็นอย่างไร เวลาอนัตตาเข้ามาปรากฏมันเป็นอย่างไร อยู่ที่กายที่ใจเราหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนนามธรรม ส่วนรูปธรรม มันมีอยู่ในกายของเราหมด เว้นแต่ว่าเราจะทำความเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ของใจหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ความเกิดความดับมีกันทุกเวลา ไม่ขี้เกียจคิดหรืออย่างไร คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด ใจนี่ไม่ให้คิดไม่ให้เกิด ให้คิดด้วยสติคิดด้วยปัญญา แม้แต่สติปัญญาก็ ถ้าเป็นอกุศลเรายังให้ละให้ดับ พยายามค่อยๆ เดิน เดินทางภายในทั้งจิตใจเราก็เดิน เดินทางสมมติเราก็สร้างประโยชน์
หลวงพ่อก็จะพาทำพาสร้างเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยให้แล้วแต่วิบากกรรม กรรมถึงไหนก็เอาถึงนั่น กายของเรานี่แหละก้อนกรรม หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ขอบใจทุกคนแล้วก็ขอขอบคุณเหล่าเทวดาที่มาช่วย หลวงพ่ออาศัยอำนาจของเทวดาเนี่ยมากทีเดียว เทวดามาช่วยกัน จะทำอะไรก็ไม่ให้ลำบาก เพียงแค่นึกแค่ปะเทวดาก็มาช่วย เทวดาก็หาช่องทางที่จะเข้ามาทำบุญ
เทวดาในที่นี้ก็คือเทวดาเดินดินนี่แหละ เทวดาที่มีกายเนื้อนี่แหละ บอกกล่าวเทวดาที่มีกายทิพย์ไปบอกกล่าวเทวดาที่มีกายเนื้อ ให้อานิสงส์อย่างไรก็ให้มารับเอา มาช่วยกันยังประโยชน์ สร้างประโยชน์ให้กับแผ่นดิน สร้างประโยชน์ให้กับสถานที่ ฝากคุณงามความดีเอาไว้ในโลก เทวดาก็พากันหลั่งไหลมา ทั้งใกล้ ทั้งไกล ได้ยินข่าวได้ทราบข่าว ยิ่งเทวดาที่มีกายทิพย์เขาก็คอยจดจ่อจดจ้องที่จะคอยช่วยเหลือ ไปบอกกล่าวเทวดาที่มีกายเนื้อให้มารับอานิสงส์ผลบุญของตัวเอง มาทำมาสร้างช่วยกัน สถานบุญ ที่แห่งบุญ อานิสงส์แห่งบุญ อยู่ที่ไหนเหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมาอันนี้เป็นกฎของธรรมชาติ กฎของความเป็นจริง เทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็เยอะ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เยอะ
อยากจะรู้ความจริงก็ต้องมาปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นดังนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละวางได้ด้วย ประกาศด้วยตนเองว่าเราถึงไหน เราละกิเลสได้เท่าไร กิเลสตัวไหนมันยังเกิด เราละได้อีกหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามัวตั้งแต่เมาเล่นสนุกสนานเพียงแค่กาย วาจา แล้วก็ใจ ก็ยังควบคุมระดับสมมตินี่ก็ยังยากถ้าไม่มีความเพียร เราจงพยายามมีความเพียร
ตั้งใจรับพร
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มกราคม 2560
มีความสุขกันทุกคน ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศก็แจ่ม สงสัยความหนาวก็คงจะเริ่มคลายแล้ว ถ้าอากาศหรือหนาวเป็นหย่อมๆ ทั้งหนาวทั้งไม่หนาว ตื่นเช้าขึ้นมาก็พากันเจริญสติทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายของเราตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้ความปกติปุ๊บ รู้สัมผัสของลมหายใจปั๊บ ฝึกให้เกิดความเคยชินรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรม
รู้ตัว รู้กาย รู้ลมหายใจ และก็รู้จักการเกิดของใจ การเกิดของความคิด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย จนกระทั่งถึงเวลานี้และก็เดี๋ยวนี้ เวลาจะรับประทานข้าวปลาอาหาร ขบฉันต่างๆ เราก็รู้ใจของเรา จำแนกแจกแจงความอยากกับความหิว กายเกิดความหิว หรือใจเกิดความอยาก ถ้ากายหิวนี่อะไรก็อร่อยมันบอกว่าอย่างนั้นกิเลส มันบอกว่าเอาเยอะๆ เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม กิเลสมันสั่งกายก็หิว ใจก็เกิดความอยาก
เราสะสมเราเพิ่มความอยากทีละเล็กทีละน้อย มันก็มากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงอยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา เห็นใครพูดอะไรก็วิ่งตามไปหมด ทั้งพระทั้งชีก็ใช้การไม่ได้ พยายามดับความเกิดเพื่อตัวใจของเรา มันอยากไปเราตามความอยากไม่ไปให้มัน มันอยากกินก็ดับความอยาก ความอยากนี่แหละที่คนเรามองข้าม ยิ่งกายต้องการอาหารเราก็ยิ่งจะเห็นความอยากได้เยอะ ความอยากก็ก่อตัวให้เป็นความโลภต่างๆ ทั้งความโลภ ทั้งความโกรธ แต่ความหลงนี่ การเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก
ความเกิด เกิดอยู่ในภพของมนุษย์มาสร้างภพปิดกั้นตัววิญญาณหรือว่าตัวใจเอาไว้ แล้วก็เกิดต่อ ทั้งเกิดต่อ ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด หลงกันไปอีรุงตุงนัง นอกจากปัญญาของผู้รู้ ปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่จะจำแนกแจกแจงเดินตามทางของท่าน เพียงแค่การเจริญสติ หัดสังเกต น้อมดูภายในนี้ก็ยังไม่เชื่อมโยงยังไม่ต่อเนื่อง ปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เราต้องดูรู้ใจทุกอิริยาบถ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจเกิดกิเลสก็รู้จักละ ใจจะเกิดปรุงแต่งเราก็ต้องรู้จักดับ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน มีกันทุกคน แต่ขาดการทำความเพียรที่ต่อเนื่อง ที่เชื่อมโยงจนรู้แจ้งเห็นจริง ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น วิ่งตามกิเลสตัวเองตัวเรายังไม่พอ เราวิ่งตามกิเลสคนโน้นคนนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็วิ่งไปหมด แทนที่จะเจริญสติเป็นที่พึ่งของใจ แก้ไขใจ ปรับปรุงใจของเราทุกอิริยาบถ
เราละความอยาก ดับความเกิด มันก็มีตั้งแต่อยู่กับที่ ดูมีอะไรก็ทำไปให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ จะต้องพยายาม พยายามทำเอา ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย ตื่นเช้าขึ้นมาอะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อะไรประโยชน์ใกล้ อะไรประโยชน์ไกล อะไรประโยชน์มากประโยชน์น้อย อานิสงส์มากอานิสงส์น้อย เราก็พยายามเพียรหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสำรวจ แล้วก็สร้างให้มีให้เกิดขึ้น บุญของสมมติ บุญของวิมุตติ
บุญสมมติเราก็ทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้น คิดดีทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ชนะกิเลสภายในใจของเรา เราก็ชนะหมด ไม่ใช่ว่าวันโน้นถึงจะปฏิบัติ วันนี้ถึงจะปฏิบัติ เราอย่าให้กิเลสเล่นงาน จงใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส เป็นนี้ การสร้างการทำ ทุกอิริยาบถในส่วนลึกๆ ใจก็หลงความคิด หลงอารมณ์ หลงขันธ์ห้าก็ยังไม่พอ แล้วก็เป็นหลงในทุกสิ่งทุกอย่างอีก ถ้าคลายใจออกจากขันธ์ห้าได้ มันก็คลายความหลงได้ ละกิเลส ใจเกิดกิเลสเมื่อไรแล้วก็ละ ทั้งดีทั้งไม่ดีเราละหมด แต่ยังประโยชน์ในส่วนที่ดีแต่ไม่ยึด เราต้องพยายาม
พระก็เยอะ ชีก็เยอะ อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ดูแลความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ความเป็นอยู่ทางสมมติเราก็พยายามช่วยกันดูแลทำความสะอาด อย่าไปรักสะอาดแต่ชอบสกปรก ทิ้งมันเกลื่อนก็ใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามคอยดูแลช่วยกัน เห็นใครทิ้งขยะก็ตักเตือนเอาไปเก็บให้เป็นที่เป็นทาง รู้จักคัดแยกเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ใช่ขี้เหนียว ใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ก็ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ จนเป็นสิ่งใหญ่ จะเอาตั้งแต่สิ่งใหญ่ๆ จะไปละกิเลสตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไอ้ตัวน้อยๆ ความเกิดไม่รู้จักหยุดรู้จักทำความเข้าใจ มันจะไปเห็นได้อย่างไร
รู้จักวิธีการแล้ว รู้จักแนวทางแล้ว ก็หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตรา ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของใจที่เกิดความโกรธรหรือเกิดความโลภเราจะแก้ไขอย่างไร กายมีวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร จะเอาตั้งแต่ธรรม แต่มีตั้งแต่สะสมแต่กิเลส มันจะเป็นไปได้อย่างไร เราละกิเลสออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้
เราละกิเลสออกมันก็จะค่อยเบาบางลงไปเรื่อยๆ เบาบางลงไปเรื่อยๆ ละกิเลสที่นั่น ละกิเลสที่นี่ มันก็จะค่อยออกไปเรื่อยๆ คนเราเกิดมาก็อยู่ในกฎของไตรลักษณ์ อยู่ในกฎของความเป็นจริง อนิจจัง คำว่า อนิจจังความไม่เที่ยงเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกข์ขัง มันเป็นทุกข์เป็นอย่างไร เวลาอนัตตาเข้ามาปรากฏมันเป็นอย่างไร อยู่ที่กายที่ใจเราหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนนามธรรม ส่วนรูปธรรม มันมีอยู่ในกายของเราหมด เว้นแต่ว่าเราจะทำความเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ของใจหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ความเกิดความดับมีกันทุกเวลา ไม่ขี้เกียจคิดหรืออย่างไร คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด ใจนี่ไม่ให้คิดไม่ให้เกิด ให้คิดด้วยสติคิดด้วยปัญญา แม้แต่สติปัญญาก็ ถ้าเป็นอกุศลเรายังให้ละให้ดับ พยายามค่อยๆ เดิน เดินทางภายในทั้งจิตใจเราก็เดิน เดินทางสมมติเราก็สร้างประโยชน์
หลวงพ่อก็จะพาทำพาสร้างเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยให้แล้วแต่วิบากกรรม กรรมถึงไหนก็เอาถึงนั่น กายของเรานี่แหละก้อนกรรม หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ขอบใจทุกคนแล้วก็ขอขอบคุณเหล่าเทวดาที่มาช่วย หลวงพ่ออาศัยอำนาจของเทวดาเนี่ยมากทีเดียว เทวดามาช่วยกัน จะทำอะไรก็ไม่ให้ลำบาก เพียงแค่นึกแค่ปะเทวดาก็มาช่วย เทวดาก็หาช่องทางที่จะเข้ามาทำบุญ
เทวดาในที่นี้ก็คือเทวดาเดินดินนี่แหละ เทวดาที่มีกายเนื้อนี่แหละ บอกกล่าวเทวดาที่มีกายทิพย์ไปบอกกล่าวเทวดาที่มีกายเนื้อ ให้อานิสงส์อย่างไรก็ให้มารับเอา มาช่วยกันยังประโยชน์ สร้างประโยชน์ให้กับแผ่นดิน สร้างประโยชน์ให้กับสถานที่ ฝากคุณงามความดีเอาไว้ในโลก เทวดาก็พากันหลั่งไหลมา ทั้งใกล้ ทั้งไกล ได้ยินข่าวได้ทราบข่าว ยิ่งเทวดาที่มีกายทิพย์เขาก็คอยจดจ่อจดจ้องที่จะคอยช่วยเหลือ ไปบอกกล่าวเทวดาที่มีกายเนื้อให้มารับอานิสงส์ผลบุญของตัวเอง มาทำมาสร้างช่วยกัน สถานบุญ ที่แห่งบุญ อานิสงส์แห่งบุญ อยู่ที่ไหนเหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมาอันนี้เป็นกฎของธรรมชาติ กฎของความเป็นจริง เทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็เยอะ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เยอะ
อยากจะรู้ความจริงก็ต้องมาปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นดังนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละวางได้ด้วย ประกาศด้วยตนเองว่าเราถึงไหน เราละกิเลสได้เท่าไร กิเลสตัวไหนมันยังเกิด เราละได้อีกหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามัวตั้งแต่เมาเล่นสนุกสนานเพียงแค่กาย วาจา แล้วก็ใจ ก็ยังควบคุมระดับสมมตินี่ก็ยังยากถ้าไม่มีความเพียร เราจงพยายามมีความเพียร
ตั้งใจรับพร