หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 90
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 90
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งก็กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบายไม่ต้องประนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ และก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุด ระงับลงไปความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า สัมปชัญญะ รู้กายของเราแล้วก็รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของความคิด ของขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม เราพยายามหัดวิเคราะห์ หัดสํารวจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม
แยกรูปแยกนามหรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกเพิ่งเปิดทางให้ เราก็จะเข้าใจคําว่า อัตตา อนัตตา เข้าใจคําว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเรา อะไรควรละอะไรควรเจริญอะไรควรดำเนิน พยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้น ส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องคนอื่น คนโน่นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ อันนั้นมันมีแต่เรื่องภายนอก เรื่องภายในกายของเราใจของเราปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร
เราพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ให้รู้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย มองเห็นตามความเป็นจริง ตามหลักธรรมคําสอนของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบ เอามาเปิดเผยมาจําแนกแจกแจงหลายร้อยหลายพันปี สัจธรรมก็ยังอยู่ ก็ยังมีอยู่ประจำโลก มีอยู่ทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินให้ถูกที่ถูกจุดถูกทาง รู้จักขัดเกลากิเลส รู้จักบําเพ็ญเพียร รู้จักสร้างตบะบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเรามีความโลภ เรารู้จักละความโลภหรือไม่ ใจเกิดความอยาก เรารู้จักละความอยากหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา เรามีความเพียรเพียงพอหรือเปล่า อะไรคือสมมติ อะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็ต้องรีบแก้ไขทั้งภายนอกทั้งภายใน ไม่ใช่ว่าจะไปให้คนอื่นเขาบังคับเคี่ยวเข็ญ เราจงบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ซึ่งท่านเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่สองก็คือตัวใจ นี่เรายังอาศัยสมมติอยู่ กายของเรายังเป็นก้อนสมมติอยู่
เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักละรู้จักดับ ใจเกิดความทะเยอทะยานอยาก ใจส่งออกไปภายนอกเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ทุกเรื่อง อย่าพากันปล่อยปละละเลย ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกคนก็ปรารถนาหาทางสงบ หาทาง หาความหลุดพ้นใส่ตัวเรา เราต้องพยายามน้อมดู รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้จักทำความเข้าใจ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกเรื่อง กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ก็ต้องพยายามกัน
แต่เวลานี้เรามีศรัทธาอยู่ แต่ขาดกําลังสติที่จะเข้าไปทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ขาดกําลังสติที่ต่อเนื่อง เราก็ต้องพยายาม สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า สัมปชัญญะ รู้กายของเราแล้วก็รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของความคิด ของขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม เราพยายามหัดวิเคราะห์ หัดสํารวจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม
แยกรูปแยกนามหรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกเพิ่งเปิดทางให้ เราก็จะเข้าใจคําว่า อัตตา อนัตตา เข้าใจคําว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเรา อะไรควรละอะไรควรเจริญอะไรควรดำเนิน พยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้น ส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องคนอื่น คนโน่นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ อันนั้นมันมีแต่เรื่องภายนอก เรื่องภายในกายของเราใจของเราปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร
เราพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ให้รู้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย มองเห็นตามความเป็นจริง ตามหลักธรรมคําสอนของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบ เอามาเปิดเผยมาจําแนกแจกแจงหลายร้อยหลายพันปี สัจธรรมก็ยังอยู่ ก็ยังมีอยู่ประจำโลก มีอยู่ทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินให้ถูกที่ถูกจุดถูกทาง รู้จักขัดเกลากิเลส รู้จักบําเพ็ญเพียร รู้จักสร้างตบะบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเรามีความโลภ เรารู้จักละความโลภหรือไม่ ใจเกิดความอยาก เรารู้จักละความอยากหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา เรามีความเพียรเพียงพอหรือเปล่า อะไรคือสมมติ อะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็ต้องรีบแก้ไขทั้งภายนอกทั้งภายใน ไม่ใช่ว่าจะไปให้คนอื่นเขาบังคับเคี่ยวเข็ญ เราจงบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ซึ่งท่านเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่สองก็คือตัวใจ นี่เรายังอาศัยสมมติอยู่ กายของเรายังเป็นก้อนสมมติอยู่
เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักละรู้จักดับ ใจเกิดความทะเยอทะยานอยาก ใจส่งออกไปภายนอกเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ทุกเรื่อง อย่าพากันปล่อยปละละเลย ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกคนก็ปรารถนาหาทางสงบ หาทาง หาความหลุดพ้นใส่ตัวเรา เราต้องพยายามน้อมดู รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้จักทำความเข้าใจ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกเรื่อง กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ก็ต้องพยายามกัน
แต่เวลานี้เรามีศรัทธาอยู่ แต่ขาดกําลังสติที่จะเข้าไปทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ขาดกําลังสติที่ต่อเนื่อง เราก็ต้องพยายาม สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ