หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 17 วันที่ 9 มีนาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 17 วันที่ 9 มีนาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 17
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 มีนาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ส่วนศรัทธา ส่วนอื่นการทำบุญให้ทานเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรมตรงนั้นมีอยู่ แต่การเจริญสติอาจจะมีเป็นบางช่วง เป็นบางครั้งบางคราว
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติให้ต่อเนื่องจนเอาไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่าทันใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการของความคิด อาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราต้องให้รู้เท่ารู้ทัน แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ รู้จักกัน รู้จักแก้ รู้จักละ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ภายในกายของเรา เหตุผลในทางสมมติ เหตุผลในทางวิมุตติ
เหตุผลตามคำสอนของพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต ว่าคนเราเกิดมาแล้ว มาจากไหน ไปอย่างไร มาอย่างไร อะไรคือความเกิด ความเกิดเราอาจจะมองเห็นเฉพาะทางด้านรูปธรรม ให้ท่านให้ทำความเข้าใจทั้งรูปทั้งนาม ความเกิดทางด้านจิตวิญญาณหรือว่าความคิดของเรานั่นแหละ ความหลงนี้ หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด เขาหลงมาแล้วก็มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าคือร่างกายของเรา ส่วนรูปส่วนนาม แล้วก็ปิดกั้นตัวเอง จิตใจของเราก็เกิดต่อ เกิดต่อส่งไปภายนอกแล้วก็เป็นทาสของกิเลส กิเลสก็มีหลายชนิด กิเลสละเอียดสุดก็คือความเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แล้วก็มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็เกิดต่อ แล้วก็เป็นทาสกิเลสต่อ
ท่านให้เจริญสติลงที่กายของเรา แล้วก็รู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผล ละกิเลส ให้กิเลสเบาบางลงไปเรื่อยๆ คนเราก็ปรารถนาที่จะหาหนทางดับทุกข์ หาหนทางหลุดพ้น บางทีก็เดินออกนอกทาง บางทีก็ไปยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็ต้องพยายาม พยายามทำความเข้าใจ ไม่เข้าใจเท่าไรเรายิ่งพยายามทำความเข้าใจให้เป็นทวีคูณ หรือว่าความเพียรให้เป็นทวีคูณ กิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน ความเกิดจากจิตวิญญาณเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้เหมือนกัน
นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติ มีกำลังปัญญา แล้วก็รู้จักสร้างตบะสร้างบารมีให้แรงกล้า ขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากจิตจากใจของเรา จนกระทั่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์คือใจที่ปราศจากกิเลส แล้วก็ดับความเกิด วางใจให้เป็นอิสรภาพ ใจก็จะมีตั้งแต่ความสงบความสุข ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง จิตเที่ยงนั่นแหละนิพพานก็เที่ยง จิตไม่เที่ยงนิพพานก็ไม่เที่ยง เราจงพยายามเข้าให้ถึงความหมายในสิ่งต่างๆ ในร่างกายของเรา อย่าพากันปล่อยปละละเลย
การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การเจริญสติที่ต่อเนื่อง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เรารู้จักดับ รู้จักควบคุมได้ในระดับไหน กิเลสเหตุเกิดจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายในของเราโดยตรง กำลังสติหรือว่ากำลังความรู้ตัวของเราเข้มแข็งต่อเนื่องหรือไม่ เราก็ต้องพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็เอาไปใช้จนกำลังสติปัญญาของเราเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตามดูรู้ทุกอย่างจนหมดความสงสัย หมดความลังเล นั่นแหละคำสอนของพระพุทธองค์ก็จะเกิดที่ใจของเรา มองเห็นความเป็นจริง เราละกิเลสได้ระดับไหน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด หรือเราดับความเกิดของใจของเราได้หรือไม่ ก็ต้องพยายาม
ทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นธรรม ธรรม ใจของเราคือตัวธรรม ใจของเราคือองค์ธรรม กายของเราคือก้อนธรรม แต่เวลานี้ใจของเรายังเป็นโลก ยังเกิด ยังวิ่ง กายของเราก็เป็นก้อนโลก ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสได้ ใจก็เป็นองค์ธรรม กายของเราก็เป็นก้อนธรรม กำลังสติปัญญาของเราก็จะค้นคว้าทุกอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้ค้นคว้า แล้วก็ทำความเข้าใจกับสมมติ กายเราทำหน้าที่อย่างนี้นะ ใจของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเขาทำหน้าที่ของเขา แต่ใจของเราไปหลงไปยึด ก็ทำให้กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ยึดจากข้างใน แล้วก็ยึดทั้งภายนอกภายใน ก็เลยหนักตลอดเวลา
เราจงพยายามหมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเรา กิเลสมีมากมีน้อย กิเลสเบาบาง เป็นเรื่องของเราทุกคน จงแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา โทษตัวเรา ตำหนิตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการละ ในการทำความเข้าใจ
ทุกคนก็ไม่อยากปรารถนาหาทาง ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ไม่ปรารถนาที่จะให้ใจของเราเกิดความทุกข์ ทุกคนก็ต้องการความสุข แต่การดำเนินวิธีการแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งหลายร้อยหลายพันปี ทำความเข้าใจให้ได้ทั้งภายในภายนอก ภายนอกก็คือสมมติในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เช่น ปัจจัยสี่ โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราก็ยุ่งเกี่ยวด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญากัน ก็ต้องพยายามกันนะ
อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด เราดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนหน้า เดือนหน้า ปีหน้า เพราะว่าวันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนหน้ามีภพหน้ามี มันไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 มีนาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันสร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ส่วนศรัทธา ส่วนอื่นการทำบุญให้ทานเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรมตรงนั้นมีอยู่ แต่การเจริญสติอาจจะมีเป็นบางช่วง เป็นบางครั้งบางคราว
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติให้ต่อเนื่องจนเอาไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่าทันใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการของความคิด อาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราต้องให้รู้เท่ารู้ทัน แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ รู้จักกัน รู้จักแก้ รู้จักละ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ภายในกายของเรา เหตุผลในทางสมมติ เหตุผลในทางวิมุตติ
เหตุผลตามคำสอนของพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต ว่าคนเราเกิดมาแล้ว มาจากไหน ไปอย่างไร มาอย่างไร อะไรคือความเกิด ความเกิดเราอาจจะมองเห็นเฉพาะทางด้านรูปธรรม ให้ท่านให้ทำความเข้าใจทั้งรูปทั้งนาม ความเกิดทางด้านจิตวิญญาณหรือว่าความคิดของเรานั่นแหละ ความหลงนี้ หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด เขาหลงมาแล้วก็มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าคือร่างกายของเรา ส่วนรูปส่วนนาม แล้วก็ปิดกั้นตัวเอง จิตใจของเราก็เกิดต่อ เกิดต่อส่งไปภายนอกแล้วก็เป็นทาสของกิเลส กิเลสก็มีหลายชนิด กิเลสละเอียดสุดก็คือความเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แล้วก็มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็เกิดต่อ แล้วก็เป็นทาสกิเลสต่อ
ท่านให้เจริญสติลงที่กายของเรา แล้วก็รู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผล ละกิเลส ให้กิเลสเบาบางลงไปเรื่อยๆ คนเราก็ปรารถนาที่จะหาหนทางดับทุกข์ หาหนทางหลุดพ้น บางทีก็เดินออกนอกทาง บางทีก็ไปยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็ต้องพยายาม พยายามทำความเข้าใจ ไม่เข้าใจเท่าไรเรายิ่งพยายามทำความเข้าใจให้เป็นทวีคูณ หรือว่าความเพียรให้เป็นทวีคูณ กิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน ความเกิดจากจิตวิญญาณเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้เหมือนกัน
นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติ มีกำลังปัญญา แล้วก็รู้จักสร้างตบะสร้างบารมีให้แรงกล้า ขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากจิตจากใจของเรา จนกระทั่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์คือใจที่ปราศจากกิเลส แล้วก็ดับความเกิด วางใจให้เป็นอิสรภาพ ใจก็จะมีตั้งแต่ความสงบความสุข ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง จิตเที่ยงนั่นแหละนิพพานก็เที่ยง จิตไม่เที่ยงนิพพานก็ไม่เที่ยง เราจงพยายามเข้าให้ถึงความหมายในสิ่งต่างๆ ในร่างกายของเรา อย่าพากันปล่อยปละละเลย
การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การเจริญสติที่ต่อเนื่อง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เรารู้จักดับ รู้จักควบคุมได้ในระดับไหน กิเลสเหตุเกิดจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายในของเราโดยตรง กำลังสติหรือว่ากำลังความรู้ตัวของเราเข้มแข็งต่อเนื่องหรือไม่ เราก็ต้องพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็เอาไปใช้จนกำลังสติปัญญาของเราเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตามดูรู้ทุกอย่างจนหมดความสงสัย หมดความลังเล นั่นแหละคำสอนของพระพุทธองค์ก็จะเกิดที่ใจของเรา มองเห็นความเป็นจริง เราละกิเลสได้ระดับไหน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด หรือเราดับความเกิดของใจของเราได้หรือไม่ ก็ต้องพยายาม
ทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นธรรม ธรรม ใจของเราคือตัวธรรม ใจของเราคือองค์ธรรม กายของเราคือก้อนธรรม แต่เวลานี้ใจของเรายังเป็นโลก ยังเกิด ยังวิ่ง กายของเราก็เป็นก้อนโลก ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสได้ ใจก็เป็นองค์ธรรม กายของเราก็เป็นก้อนธรรม กำลังสติปัญญาของเราก็จะค้นคว้าทุกอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้ค้นคว้า แล้วก็ทำความเข้าใจกับสมมติ กายเราทำหน้าที่อย่างนี้นะ ใจของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเขาทำหน้าที่ของเขา แต่ใจของเราไปหลงไปยึด ก็ทำให้กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ยึดจากข้างใน แล้วก็ยึดทั้งภายนอกภายใน ก็เลยหนักตลอดเวลา
เราจงพยายามหมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเรา กิเลสมีมากมีน้อย กิเลสเบาบาง เป็นเรื่องของเราทุกคน จงแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา โทษตัวเรา ตำหนิตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการละ ในการทำความเข้าใจ
ทุกคนก็ไม่อยากปรารถนาหาทาง ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ไม่ปรารถนาที่จะให้ใจของเราเกิดความทุกข์ ทุกคนก็ต้องการความสุข แต่การดำเนินวิธีการแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งหลายร้อยหลายพันปี ทำความเข้าใจให้ได้ทั้งภายในภายนอก ภายนอกก็คือสมมติในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เช่น ปัจจัยสี่ โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราก็ยุ่งเกี่ยวด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญากัน ก็ต้องพยายามกันนะ
อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด เราดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนหน้า เดือนหน้า ปีหน้า เพราะว่าวันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนหน้ามีภพหน้ามี มันไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ