หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 59 วันที่ 19 สิงหาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 59 วันที่ 19 สิงหาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 59
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 สิงหาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องประนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละ เวลาหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าไปจดจ่อ อย่าไปเพ่ง ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น ถ้าเราไปเพ่ง สมองก็จะตึง เพียงแค่ให้หายใจแบบธรรมชาติที่สุด หายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ลมกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้ก็จะชัดเจน
ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ในหลักธรรมท่านว่าเจริญสติ เพื่อที่จะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ รู้การกระทำ การปฏิบัติธรรมก็คือ การปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของตัวเรานั่นแหละ ให้อยู่ในความปกติ ให้อยู่ในบุญในกุศล อะไรที่เป็นบุญเป็นกุศล อะไรที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกสมมติประโยชน์อยู่ปัจจุบัน เราพยายามศึกษาทำความเข้าใจในกายของเรามีอะไรดีๆ เยอะ รีบตักตวงเอาขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่
การทำบุญให้ทาน อันนี้เป็นพื้นฐานมีมากันทุกคน การทำความเข้าใจ รู้จักลักษณะใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเขาเรียกว่าลักษณะอย่างนี้ ใจรวมกับความคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน เขาเคลื่อนเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร ถ้าเรามีสติรู้ตัวเร็วไวขึ้น เราก็คงจะเห็นสักวันรู้ลักษณะการเคลื่อนตัวของใจเข้าไปรวมกับความคิดเป็นตัวเดียวไปด้วยกัน เราต้องพยายามจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน เจริญสติให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้เข้มแข็ง เอาไปใช้เอาไปอบรมใจของเรา เอาไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล เข้าใจในเรื่องอัตตา อนัตตา เข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของตัวเรา เป็นเรื่องของเรา
คำสอนแนวทางของพระพุทธองค์นั้นมีมานานหลายร้อยหลายพันปี ถึงจะพระพุทธองค์พระพุทธเจ้าไม่เกิด แต่ธรรมะมีอยู่ประจำโลก ท่านเป็นคนค้นพบ เป็นองค์ค้นพบ ถึงเอามาจำแนกแจกแจงว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ในกายของเรามีอะไรบ้างซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้า ที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กายทำหน้าที่อย่างไร จิตวิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร แต่เวลานี้เขารวมกันไปหมด เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา
ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ไม่หลงก็ไม่เกิด ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในบุญในกุศลเอาไว้ ถ้าบุคคลใดมีความเพียร รู้จักสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอดทนอดกลั้นของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีสัจจะ แล้วก็มีวิริยะความเพียรต่างๆ เขาเรียกว่า ตบะบารมี ใจของเราเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจของเราเกิดความโกรธเราก็ละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความโกรธดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี ทุกคนนั้นมีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์มาแต่เดิม แต่ความไม่เข้าใจ ใจถึงสร้างกิเลสหยาบกิเลสละเอียดจนฝังแน่นปิดมิดเอาไว้ที่ใจของตัวเรา
ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มลทินต่างๆ วิธีการแนวทางให้ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้เบาบางลงไป เราก็ต้องพยายาม การฝึกการศึกษาการค้นคว้าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การทำความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริง การเดินปัญญาอันนี้คือรูป อันนี้คือนาม การแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิความเห็นถูก เห็นถูกอย่างไร เห็นถูกในหลักในทางโลก เห็นถูกในทางธรรม เห็นถูกในทางธรรมคือ ใจต้องคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก
การตามดู ตามรู้ ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผลอีก การละกิเลสอีก ทุกคนก็มี ไม่มีมากก็มีน้อย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็คอยขัดคอยเกลา คอยวิเคราะห์ คอยอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเราที่จะต้องจัดการกับตัวเราแก้ไขตัวเรา โทษตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกคนเกิดมาความเกิดมีเกิดเท่าไรตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็วอันนี้เป็นหลักของความเป็นจริง
ตามที่หลวงพ่อได้อนุเคราะห์ให้กับผู้วายชนม์มาแค่สามปี สามสี่ปีนี้ก็ปาเข้าไปพันสามร้อยกว่าศพแล้ว มีโอกาสนั่นแหละไม่พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันจนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ เราก็พยายามศึกษาค้นคว้าให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย ขณะที่เรายังมีกำลังกายอยู่ อย่าไปโทษคนอื่น จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะเดินไปทางไหน จะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิด
วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี ขณะนี้เรายังอยู่ในภพมนุษย์ เรียกว่า ภพมนุษย์ มีจิตมีวิญญาณมีกาย อันนี้ส่วนรูปส่วนนาม กายมีกิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ เรามาศึกษามาทำความเข้าใจให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด ละไม่ได้หมด สิ่งที่พวกเราทำก็จะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติไปต่อเอาภพหน้า ก็ต้องพยายามกัน
การเจริญสติเราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื้นขึ้น รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดู กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรงกลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา กลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ รอบรู้ในกายของเรา เราก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 สิงหาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องประนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละ เวลาหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าไปจดจ่อ อย่าไปเพ่ง ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น ถ้าเราไปเพ่ง สมองก็จะตึง เพียงแค่ให้หายใจแบบธรรมชาติที่สุด หายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ลมกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้ก็จะชัดเจน
ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ในหลักธรรมท่านว่าเจริญสติ เพื่อที่จะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ รู้การกระทำ การปฏิบัติธรรมก็คือ การปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของตัวเรานั่นแหละ ให้อยู่ในความปกติ ให้อยู่ในบุญในกุศล อะไรที่เป็นบุญเป็นกุศล อะไรที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกสมมติประโยชน์อยู่ปัจจุบัน เราพยายามศึกษาทำความเข้าใจในกายของเรามีอะไรดีๆ เยอะ รีบตักตวงเอาขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่
การทำบุญให้ทาน อันนี้เป็นพื้นฐานมีมากันทุกคน การทำความเข้าใจ รู้จักลักษณะใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเขาเรียกว่าลักษณะอย่างนี้ ใจรวมกับความคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน เขาเคลื่อนเข้าไปร่วมกันได้อย่างไร ถ้าเรามีสติรู้ตัวเร็วไวขึ้น เราก็คงจะเห็นสักวันรู้ลักษณะการเคลื่อนตัวของใจเข้าไปรวมกับความคิดเป็นตัวเดียวไปด้วยกัน เราต้องพยายามจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน เจริญสติให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้เข้มแข็ง เอาไปใช้เอาไปอบรมใจของเรา เอาไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล เข้าใจในเรื่องอัตตา อนัตตา เข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของตัวเรา เป็นเรื่องของเรา
คำสอนแนวทางของพระพุทธองค์นั้นมีมานานหลายร้อยหลายพันปี ถึงจะพระพุทธองค์พระพุทธเจ้าไม่เกิด แต่ธรรมะมีอยู่ประจำโลก ท่านเป็นคนค้นพบ เป็นองค์ค้นพบ ถึงเอามาจำแนกแจกแจงว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ในกายของเรามีอะไรบ้างซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้า ที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กายทำหน้าที่อย่างไร จิตวิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร แต่เวลานี้เขารวมกันไปหมด เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา
ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ไม่หลงก็ไม่เกิด ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในบุญในกุศลเอาไว้ ถ้าบุคคลใดมีความเพียร รู้จักสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอดทนอดกลั้นของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ มีความจริงใจต่อตัวเราเอง มีสัจจะ แล้วก็มีวิริยะความเพียรต่างๆ เขาเรียกว่า ตบะบารมี ใจของเราเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจของเราเกิดความโกรธเราก็ละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความโกรธดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี ทุกคนนั้นมีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์มาแต่เดิม แต่ความไม่เข้าใจ ใจถึงสร้างกิเลสหยาบกิเลสละเอียดจนฝังแน่นปิดมิดเอาไว้ที่ใจของตัวเรา
ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มลทินต่างๆ วิธีการแนวทางให้ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้เบาบางลงไป เราก็ต้องพยายาม การฝึกการศึกษาการค้นคว้าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การทำความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริง การเดินปัญญาอันนี้คือรูป อันนี้คือนาม การแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิความเห็นถูก เห็นถูกอย่างไร เห็นถูกในหลักในทางโลก เห็นถูกในทางธรรม เห็นถูกในทางธรรมคือ ใจต้องคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก
การตามดู ตามรู้ ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผลอีก การละกิเลสอีก ทุกคนก็มี ไม่มีมากก็มีน้อย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็คอยขัดคอยเกลา คอยวิเคราะห์ คอยอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเราที่จะต้องจัดการกับตัวเราแก้ไขตัวเรา โทษตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกคนเกิดมาความเกิดมีเกิดเท่าไรตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็วอันนี้เป็นหลักของความเป็นจริง
ตามที่หลวงพ่อได้อนุเคราะห์ให้กับผู้วายชนม์มาแค่สามปี สามสี่ปีนี้ก็ปาเข้าไปพันสามร้อยกว่าศพแล้ว มีโอกาสนั่นแหละไม่พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันจนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ เราก็พยายามศึกษาค้นคว้าให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย ขณะที่เรายังมีกำลังกายอยู่ อย่าไปโทษคนอื่น จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะเดินไปทางไหน จะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิด
วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี ขณะนี้เรายังอยู่ในภพมนุษย์ เรียกว่า ภพมนุษย์ มีจิตมีวิญญาณมีกาย อันนี้ส่วนรูปส่วนนาม กายมีกิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ เรามาศึกษามาทำความเข้าใจให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด ละไม่ได้หมด สิ่งที่พวกเราทำก็จะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติไปต่อเอาภพหน้า ก็ต้องพยายามกัน
การเจริญสติเราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื้นขึ้น รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดู กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรงกลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา กลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ รอบรู้ในกายของเรา เราก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ