หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 10 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 10 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 10
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้เจริญสติ แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ เอาสติปัญญาของเราอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ดูรู้ให้ทันความเกิดความดับของวิญญาณในกายของเรา หรือว่าความคิดนั่นแหละ เขาเกิดอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร ทำไมเขาถึงเกิด ทำไมเขาถึงหลง ความหลงนี้มีกี่ชั้น มีหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าจิตวิญญาณแต่ละดวงถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า
คำว่า ขันธ์ห้า ก็กายของเรา ส่วนกายส่วนรูปนี้แหละ แล้วก็มายึดติด ยึดติดขันธ์ห้าตัวนี้ยังไม่พอ แล้วก็เป็นทาสกิเลสอีก กิเลสความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก เป็นทาสของความเกิด วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
พระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติลงที่กาย รู้เท่ารู้ทัน สังเกตวิเคราะห์จนใจของเราคลายออกจากความคิดหรือเรียกว่าแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกอยู่ตรงนี้ เห็นถูกแล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา ละทิ้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด
ทำความเข้าใจทุกเรื่อง แล้วก็อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ พูดง่ายอยู่นะแต่การกระทำ การลงมือ การวิเคราะห์ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียร ขยันหมั่นเพียร ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ แล้วก็มองโลกในทางที่ดี คิดดี แล้วรีบตักตวงสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเราขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป
ในหลักธรรมท่านให้ละบาปหรือว่าละอกุศล เจริญกุศล เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรดำเนิน อะไรไม่ควรดำเนิน หมั่นเจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็สร้างตบะบารมี ใจเกิดแล้วก็ดับความเกิด ใจเกิดความโลภก็ละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากใจของเรา ใจเกิดความโกรธก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัยด้วยอโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้าม
อย่าไปมองข้ามแม้แต่การหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร หายใจเป็นธรรมชาติเป็นอย่างไร อะไรที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าส่วนรูปเป็นอย่างไร ส่วนนามเป็นอย่างไร อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเราเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด
ส่วนการทำบุญให้ทาน ถวายทาน ทุกคนสร้างกันมาดี ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ศรัทธาตรงนี้มีอยู่ แต่ศรัทธาที่เจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ทำความเข้าใจอัตภาพร่างกายเรานี้ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ทั้งห้าเป็นของทุกข์ มันเป็นลักษณะอย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน จนใจมองเห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ใจเขาถึงจะปล่อยจะวางได้
เราก็อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันประมาท ความมุ่งหมาย พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ทุกคนจุดมุ่งหมายปลายทางอันเดียวกันก็คือความไม่กลับมาเกิด แต่เราก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมาย เดินได้เท่าไหร่เราพยายามเดิน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา ทำความเข้าใจบ่อยๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าไปทิ้ง พยายามทำเอา
เรื่องของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้จบขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ มันไม่จบในวันนี้ก็พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี ภพหน้ามี เราต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
ท่านถึงพูดถึงตนเป็นที่พึ่งของตน ตนคือตัวสติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ไปแยกไปคลาย ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ตนตัวที่สองคือใจนี่แหละ ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิด ทำความเข้าใจ คลายออกให้มันได้หมดจด ก็ต้องมีความเพียรเป็นเลิศ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย
กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ก็ต้องพยายามกัน ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน การได้ศึกษาค้นคว้าแนวทางนั้นทุกคนอาจจะไปศึกษามากันเยอะ แต่การลงมือปฏิบัติ การลงมือศึกษาค้นคว้าด้วยการน้อมเข้าไปดูรู้ การเกิดการดับภายในที่แท้จริงนั้นต้องขึ้นอยู่ที่ตัวของเรา
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้เจริญสติ แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ เอาสติปัญญาของเราอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ดูรู้ให้ทันความเกิดความดับของวิญญาณในกายของเรา หรือว่าความคิดนั่นแหละ เขาเกิดอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร ทำไมเขาถึงเกิด ทำไมเขาถึงหลง ความหลงนี้มีกี่ชั้น มีหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าจิตวิญญาณแต่ละดวงถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า
คำว่า ขันธ์ห้า ก็กายของเรา ส่วนกายส่วนรูปนี้แหละ แล้วก็มายึดติด ยึดติดขันธ์ห้าตัวนี้ยังไม่พอ แล้วก็เป็นทาสกิเลสอีก กิเลสความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก เป็นทาสของความเกิด วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
พระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติลงที่กาย รู้เท่ารู้ทัน สังเกตวิเคราะห์จนใจของเราคลายออกจากความคิดหรือเรียกว่าแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกอยู่ตรงนี้ เห็นถูกแล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา ละทิ้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด
ทำความเข้าใจทุกเรื่อง แล้วก็อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ พูดง่ายอยู่นะแต่การกระทำ การลงมือ การวิเคราะห์ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียร ขยันหมั่นเพียร ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ แล้วก็มองโลกในทางที่ดี คิดดี แล้วรีบตักตวงสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเราขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป
ในหลักธรรมท่านให้ละบาปหรือว่าละอกุศล เจริญกุศล เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรดำเนิน อะไรไม่ควรดำเนิน หมั่นเจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็สร้างตบะบารมี ใจเกิดแล้วก็ดับความเกิด ใจเกิดความโลภก็ละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากใจของเรา ใจเกิดความโกรธก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัยด้วยอโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้าม
อย่าไปมองข้ามแม้แต่การหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร หายใจเป็นธรรมชาติเป็นอย่างไร อะไรที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าส่วนรูปเป็นอย่างไร ส่วนนามเป็นอย่างไร อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเราเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด
ส่วนการทำบุญให้ทาน ถวายทาน ทุกคนสร้างกันมาดี ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ศรัทธาตรงนี้มีอยู่ แต่ศรัทธาที่เจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ทำความเข้าใจอัตภาพร่างกายเรานี้ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ทั้งห้าเป็นของทุกข์ มันเป็นลักษณะอย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน จนใจมองเห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ใจเขาถึงจะปล่อยจะวางได้
เราก็อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันประมาท ความมุ่งหมาย พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ทุกคนจุดมุ่งหมายปลายทางอันเดียวกันก็คือความไม่กลับมาเกิด แต่เราก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมาย เดินได้เท่าไหร่เราพยายามเดิน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา ทำความเข้าใจบ่อยๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าไปทิ้ง พยายามทำเอา
เรื่องของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้จบขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ มันไม่จบในวันนี้ก็พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี ภพหน้ามี เราต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
ท่านถึงพูดถึงตนเป็นที่พึ่งของตน ตนคือตัวสติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ไปแยกไปคลาย ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ตนตัวที่สองคือใจนี่แหละ ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิด ทำความเข้าใจ คลายออกให้มันได้หมดจด ก็ต้องมีความเพียรเป็นเลิศ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย
กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ก็ต้องพยายามกัน ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน การได้ศึกษาค้นคว้าแนวทางนั้นทุกคนอาจจะไปศึกษามากันเยอะ แต่การลงมือปฏิบัติ การลงมือศึกษาค้นคว้าด้วยการน้อมเข้าไปดูรู้ การเกิดการดับภายในที่แท้จริงนั้นต้องขึ้นอยู่ที่ตัวของเรา
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ