
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 109
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 109
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 109
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชี พิจารณาปฏิสังขาโย พิจารณาใจของตัวเรา ใจเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว ตั้งแต่ตื่นขึ้นเป็นเรื่องของกายเรื่องของใจ ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ตื่นขึ้นมาปุ๊บ รู้กายปุ๊บ รู้ใจปั๊บ มีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันพยายามฝึก ฝึกตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จะลุก จะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราก็รู้ว่าใจปกติ จะทำนู้นทำนี่ ใจปกติ สติปัญญา พากายไปใจรับรู้ จะไปทำบุญ จะไปถวายทาน ก็ให้ปัญญาพากายไป ใจรับรู้
แต่ส่วนมากใจเป็นตัวบงการก่อน ใจกับขันธ์ห้า และก็รวมทั้งปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน ก็เลยได้ทำบุญทั้งก้อน ก็ได้บุญทั้งก้อนนั่นแหละ แต่ไม่ได้จำแนกแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร
บางทีใจเกิดความทุกข์ก็ทุกข์ทั้งก้อน กายก็ทุกข์ ใจก็ทุกข์ เพราะว่าจิตใจของคนเรานี้วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ แล้วก็แม้แต่อยู่ในภพมนุษย์ก็ยังเกิดต่อ ก็ยังคิดต่อสารพัดเรื่อง แต่เช้าขึ้นมาไม่รู้ว่าไปตั้งกี่เรื่องแล้ว ความคิดผุดขึ้นมา เรื่องอดีตบ้าง เรื่องอนาคตบ้างกลางๆ บ้าง นี่แหละ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องก็ต้องเกิด ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้
หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล หมั่นระลึกนึกถึงคุณงามความดี และหมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตรา หมั่นวิเคราะห์ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็ต้องพยายาม พยายามศึกษาค้นคว้าชีวิตของเรา
มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศลขณะยังมีกำลังกายอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญแต่เรื่องบาป นอกจากพ่อแม่พี่น้องจะทำบุญ สร้างบุญ ส่งอุทิศส่วนบุญไปให้ บางที่ก็ได้รับบ้าง บางทีก็ไม่ได้รับบ้าง บางทีจิตใจก็ไปตกอยู่สถานที่ลำบากๆ อานิสงส์ผลบุญผลทานบางทีก็ถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ก็คอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือกันไป
มีความพัฒนา จิตของคนเราก็มีการพัฒนาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ จากเด็กเล็กร้อง อุแว้ๆ พัฒนาเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีเสื้อผ้าใส่ มีอาหารการอยู่การกิน ร่างกายก็หล่อเลี้ยงด้วยอาหารหยาบ ก็คือข้าวปลาอาหารของเรานี่แหละ ส่วนทางด้านจิตใจ ก็หล่อเลี้ยงด้วยคุณงามความดี หล่อเลี้ยงด้วยคุณธรรม มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความเสียสละ รู้จักแก้ไขตัว รู้จักขยันหมั่นเพียร ไปในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล ก็จะได้เกิดประโยชน์
บางคนบางท่านก็มีมาเต็มเปี่ยมตั้งแต่เป็นฆราวาส บางคนบางท่านก็ไม่มีความพร้อม สมมติก็ลำบาก ทางด้านจิตใจก็เลยดิ้นรนแสวงหาสารพัดอย่าง ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็ดับความทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ความดิ้นรน ให้เป็นความต้องการบริหารด้วยปัญญา แต่เราต้องคลายของเก่าออกให้หมดเสียก่อน ดับความเกิดของใจให้หมดเสียก่อน หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาเกิด ขนาดเกิดอยู่ในภพมนุษย์เขาก็ยังเกิดต่ออีก ไม่รู้จะไปเป็นอะไรบ้าง แต่ละวัน บางทีก็ไปอคติคนโน้น บางทีก็ไปอคติคนนี้ บางทีก็ไปเพ่งโทษคนโน้นเพ่งโทษคนนี้ มีแต่เรื่องของคนอื่นไม่ใช่เรื่องของตัวเราเลย
ตื่นขึ้นมาเราต้องดูเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา อะไรที่พอช่วยเหลือหมู่คณะเพื่อนฝูงได้เราก็ช่วยช่วยไม่ได้เราก็อุเบกขา
พยายามศึกษาให้ได้ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ การหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร เราหลับสบายดีไหม เรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่านหรือเปล่า จะไปเอาตั้งแต่เวลาไปนั่งหลับตา ไปเดินจงกรม มีคนบอก คนกำชับ ถึงเป็นการปฏิบัติ อันนั้นมันเป็นแค่เพียงอุบาย เป็นแค่เพียงพิธีวิธีแนวทางบอกแล้วก็รู้จักวิธีการแล้วก็ไปทำ
ตั้งแต่ตื่นขึ้น คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก เข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง มากขึ้นๆ กำลังสติของเราก็เข้มแข็ง
รู้จักควบคุมใจ รู้จักวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลให้ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจคลายออกเมื่อไหร่ สัมมาทิฏฐิก็เปิดทางให้ มีความสุข กิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราก็จัดการกับกิเลสทันที มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศล บุญสมมติเราก็ทำ ทำให้กับตัวเรา ทำให้กับพ่อกับแม่กับพี่กับน้อง ให้กับลูกกับหลาน
ตื่นขึ้นมาดูใจ ใจของเราเกิดกิเลส เราละกิเลส ใจเกิดความกังวล เราละความกังวล ใจเกิดความทุกข์เราก็แก้ไข อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล
คนเราเกิดมาเดี๋ยวก็ไปจากกัน พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราพยายามรีบสร้างคุณงามความดี รีบขวนขวายบุญกุศลให้มีให้เกิดขึ้น
หมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป รีบๆ หากำไรขณะกำลังมีกำลังกายอยู่ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ อย่าไปมองข้ามบุญเล็กๆ น้อย
อย่าไปคิดว่าคนโน้น ทำแล้วก็แล้ว คนนี้ทำแล้วก็แล้ว คนอื่นทำก็เป็นของคนอื่น เราทำก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราพลอยยินดี อนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ จะทำมากทำน้อยก็ทำทำตามกำลังสติปัญญา ทำตามกำลังกายกำลังทรัพย์ที่เรามี เราไม่ต้องไปทำอะไรมากมาย ถ้าเราเข้าใจ ทำน้อยก็อานิสงส์มากมาย มีมากก็ดียิ่งได้ทำมาก ประโยชน์ก็ยิ่งมาก ยิ่งสนุกทำ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้น เสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะกิเลสเราแล้ว เราชนะหมดทุกอย่างเลย
มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะฝักใฝ่ขวนขวายทรัพย์ทั้งภายนอกและภายในเพื่อที่จะเป็นเสบียงเดินทางจนกว่าจะหมดลมหายใจ ขณะที่ยังมีลมหายใจให้รีบตักตวงเสียก็จะได้ไม่ลำบากในภายหลัง รีบทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจร่างกายของเรานี้เป็นก้อนทุกข์ ทำไมใจของเราถึงทุกข์ แก้ไขที่ใจของเราให้ได้ ใจของเรามีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ มีความอ่อนโยน หรือว่ามีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ สิ่งพวกนี้เป็นอานิสงส์ เป็นบันได เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา
เราอาจจะทำอยู่ บางที่อาจจะทำอยู่ แต่ยังทำไม่ถึงจุดหมาย เดินไม่ถึงจุดหมาย ก็ได้สร้างตบะสร้างบารมี เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปให้เร่งออกดอกออกผลให้สุกให้กินได้วันเดียวก็ไม่ได้ เราก็หมั่นดูแลให้น้ำให้ฝุ่นให้ปุ๋ยเขา ถึงวาระเวลาเขาเจริญเติบโตขึ้นไป ถึงเวลาเขาออกดอกออกผลเขาก็ต้องออก เพราะว่าเป็นกฎของธรรมชาติ ทีนี้เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผล เราไม่อยากจะได้กินสุกกินอะไรต่างๆ เราก็ได้ เพราะการกระทำของเรามี
การปฏิบัติ ใจก็เหมือนกัน เราละกิเลสให้เบาบางลงไป ใจของเราก็สะอาด เราอบรมใจของเราชี้เหตุ ชี้ผล ว่าอันนั้นเป็นทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ การยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์ การเป็นทาสกิเลสเป็นทุกข์ เมื่อเขารู้ความเป็นจริงแล้ว เขาก็จะไม่เอา แต่ต้องรู้จุดปล่อยจุดวาง คือแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้มันก็ถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ เป็นการสร้างบารมีอยู่ในระดับของสมมติ
เหมือนกับเรารดน้ำต้นไม้ คอยสะสมไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผล การปฏิบัติ ใจก็เหมือนกัน เราค่อยละกิเลสไปทีละเล็กละน้อย ทำใจของเราให้อยู่ในกองบุญ มองโลกในทางที่ดีคิดดี อะไรไม่ดีเราก็พยายามแก้ไข แม้แต่ใจของเราถ้าเกิดอกุศล เราก็พยายามรีบแก้ไข แม้แต่สติปัญญาของเรา ถ้าเกิดอคติ เกิดอกุศล เราก็พยายามให้ดับไม่ให้เกิด ให้เหลือแต่ปัญญาที่เป็นฝ่ายกุศล แต่ไม่ให้ยึด ให้อยู่เหนืออีก เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม
การพูดง่าย การกระทำการลงมือจริงๆ ต้องพยายาม..พยายาม ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเข้าถึงทรัพย์ตรงนี้ได้ ถึงเรายังเข้าถึงทรัพย์ตรงนี้ ไม่หนักแน่น เราก็พยายามหมั่นสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างกุศล สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ไม่เต็มช้าก็เต็มเร็ว ก็พยายามทำเอาขณะที่ยังมีลมหายใจ
หลวงพ่อก็เปิดโอกาสให้ทุกคน หลวงพ่อก็พาทำ มาร่วมกันช่วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด แล้วเรามาช่วยกับทำ อย่าไปตำหนิ อย่าไปอคติ ทำมากทำน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ที่มีมา ตามแรงบุญแรงศรัทธา ตามด้วยอำนาจของเทวดาที่มาช่วย
มีมากเราก็ทำให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย มีน้อยเราก็ทำตามกำลังของเรา อย่าคิดว่าไม่ทำ อยากให้คนที่ไม่มีนั่นแหละ ถึงไม่มีก็น้อมกายเข้ามาช่วยกันก็ยังดี จะได้มีเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา ไม่ใช่ว่าไม่มียิ่งห่างไกล ห่างไกลเราและลูกหลานก็ยิ่งห่างไกลอีก เราพยายามหมั่นสร้างหมั่นปลูกฝังให้ลูกให้หลานเข้าไปในวัด ไปทำโน่นทำนี่ ไปช่วยสังคม เป็นคนที่เสียสละ สักวันหนึ่งเขาจะรู้ความหมายในการให้ เป็นผู้ให้ ให้ทั้งทรัพย์ภายใน ให้ทั้งทรัพย์ภายนอก มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน รู้จักแสวงหา รู้จักรับผิดชอบ โตขึ้นไปก็รับผิดชอบตัวเองได้ ก็จะล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ
บุญกุศลที่เคยสร้างเคยทำมาก็จะเป็นเครื่องเกื้อหนุน ให้สู่ที่สูงได้เร็วได้ไวขึ้น คนเราถ้าไม่มีความเสียสละ ไม่มีการละกิเลส ไม่มีการช่วยเหลือ จิตใจก็จะเบาบางยาก ถ้าเรามีการอนุเคราะห์ถ้ามีการให้ มีการเอาออก มีการคลายออกโดยที่ไม่หวังไม่ยึด จิตใจของเราก็เบาบางด้วยกิเลสเราไม่อยากได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ เพราะว่าใจของเราไม่มีความอยาก ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ เรามาดับความเกิดของใจ ใจของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ได้เร็วได้ไว
คนทั่วไปส่วนมาก ก็มีตั้งแต่วิ่งตามอำนาจกิเลส เหมือนกับดินพอกหางหมู มันก็มากๆ ขึ้นๆ มันก็เลยเป็นสันดอน สันดาน ฝังเอาไว้ กว่าจะคลายออกได้ก็ทุลักทุเลเหมือนกัน ก็ต้องพยายาม มันไม่เหลือวิสัยหรอก
ทุกเรื่องในชีวิต เราต้องแก้ไข ได้บ้างไม่ได้บ้าง ล้มและลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่ อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าคนเราเกียจคร้าน ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ดี มีตั้งแต่หนักตัวเองแล้วก็หนักคนอื่น หนักสถานที่ เราจงเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ สิ่งพวกนี้แหละคือหลักของการปฏิบัติ ตั้งแต่ตื่นขึ้น เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ต่อครอบครัวของเราแล้วหรือยัง อะไรขาดตกบกพร่อง สมมติอะไรไม่สมบูรณ์ เราก็ทำหน้าที่ของเรา มาแก้ไขเรา จนล้นออกไปสู่สังคม มันก็เป็นอัตโนมัติในการขัดเกลากิเลส
คนเราจะปฏิบัติธรรม จะเอาตั้งแต่ความบริสุทธิ์ การละกิเลสไม่มี มันก็ยาก ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ ยิ่งเห็นเยอะนะ กิเลส ถ้าเจริญสติ ถ้าเราฝึกด้วยอำนาจของความหลงก็ยิ่งเพิ่มกิเลส ถ้าฝึกด้วยกำลังสติ ด้วยกำลังปัญญา ตามแนวทางของพระพุทธองค์ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจได้แล้วเราก็ค่อยละออกไปเรื่อยๆ ถ้าใจของเรามองเห็นความเป็นจริงว่าการเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา เขาจะมีตั้งแต่ยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ขณะที่มีกำลัง มีลมหายใจ ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
ส่วนพระเราชีเรา ก็มาช่วยกัน ปักตุง พากันผูกไปเรื่อยๆ ให้มันเต็มศาลา วิหารพระหยกจะได้สวยงาม ใครไปใครมาก็มีความสุข เห็นแล้วก็มีความสุข นั่นแหละบุญก็เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่บุญใหญ่ๆ อย่างเดียวได้บุญ จิตใจของเราก็ค่อยอบรมไป เรามีความละอาย เกรงกลัวต่อบาปหรือไม่ เรามีความกล้าหาญหรือไม่ เราพยายามสร้างประสบการณ์ หาให้มันเจอ หาใจของเรา ไม่เจอวันนี้ก็ต้องเจอพรุ่งนี้ ไม่เจอพรุ่งนี้ก็ต้องเจอเดือนหน้าปีหน้า ไม่เจอจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า
ตั้งใจรับพรกัน ขอให้ทุกคนจงไหว้พระพร้อมๆ กัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชี พิจารณาปฏิสังขาโย พิจารณาใจของตัวเรา ใจเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว ตั้งแต่ตื่นขึ้นเป็นเรื่องของกายเรื่องของใจ ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ตื่นขึ้นมาปุ๊บ รู้กายปุ๊บ รู้ใจปั๊บ มีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันพยายามฝึก ฝึกตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จะลุก จะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราก็รู้ว่าใจปกติ จะทำนู้นทำนี่ ใจปกติ สติปัญญา พากายไปใจรับรู้ จะไปทำบุญ จะไปถวายทาน ก็ให้ปัญญาพากายไป ใจรับรู้
แต่ส่วนมากใจเป็นตัวบงการก่อน ใจกับขันธ์ห้า และก็รวมทั้งปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน ก็เลยได้ทำบุญทั้งก้อน ก็ได้บุญทั้งก้อนนั่นแหละ แต่ไม่ได้จำแนกแจกแจงว่าอะไรเป็นอะไร
บางทีใจเกิดความทุกข์ก็ทุกข์ทั้งก้อน กายก็ทุกข์ ใจก็ทุกข์ เพราะว่าจิตใจของคนเรานี้วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ แล้วก็แม้แต่อยู่ในภพมนุษย์ก็ยังเกิดต่อ ก็ยังคิดต่อสารพัดเรื่อง แต่เช้าขึ้นมาไม่รู้ว่าไปตั้งกี่เรื่องแล้ว ความคิดผุดขึ้นมา เรื่องอดีตบ้าง เรื่องอนาคตบ้างกลางๆ บ้าง นี่แหละ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องก็ต้องเกิด ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้
หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล หมั่นระลึกนึกถึงคุณงามความดี และหมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตรา หมั่นวิเคราะห์ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็ต้องพยายาม พยายามศึกษาค้นคว้าชีวิตของเรา
มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศลขณะยังมีกำลังกายอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญแต่เรื่องบาป นอกจากพ่อแม่พี่น้องจะทำบุญ สร้างบุญ ส่งอุทิศส่วนบุญไปให้ บางที่ก็ได้รับบ้าง บางทีก็ไม่ได้รับบ้าง บางทีจิตใจก็ไปตกอยู่สถานที่ลำบากๆ อานิสงส์ผลบุญผลทานบางทีก็ถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ก็คอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือกันไป
มีความพัฒนา จิตของคนเราก็มีการพัฒนาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ จากเด็กเล็กร้อง อุแว้ๆ พัฒนาเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีเสื้อผ้าใส่ มีอาหารการอยู่การกิน ร่างกายก็หล่อเลี้ยงด้วยอาหารหยาบ ก็คือข้าวปลาอาหารของเรานี่แหละ ส่วนทางด้านจิตใจ ก็หล่อเลี้ยงด้วยคุณงามความดี หล่อเลี้ยงด้วยคุณธรรม มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความเสียสละ รู้จักแก้ไขตัว รู้จักขยันหมั่นเพียร ไปในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล ก็จะได้เกิดประโยชน์
บางคนบางท่านก็มีมาเต็มเปี่ยมตั้งแต่เป็นฆราวาส บางคนบางท่านก็ไม่มีความพร้อม สมมติก็ลำบาก ทางด้านจิตใจก็เลยดิ้นรนแสวงหาสารพัดอย่าง ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็ดับความทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ความดิ้นรน ให้เป็นความต้องการบริหารด้วยปัญญา แต่เราต้องคลายของเก่าออกให้หมดเสียก่อน ดับความเกิดของใจให้หมดเสียก่อน หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาเกิด ขนาดเกิดอยู่ในภพมนุษย์เขาก็ยังเกิดต่ออีก ไม่รู้จะไปเป็นอะไรบ้าง แต่ละวัน บางทีก็ไปอคติคนโน้น บางทีก็ไปอคติคนนี้ บางทีก็ไปเพ่งโทษคนโน้นเพ่งโทษคนนี้ มีแต่เรื่องของคนอื่นไม่ใช่เรื่องของตัวเราเลย
ตื่นขึ้นมาเราต้องดูเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา อะไรที่พอช่วยเหลือหมู่คณะเพื่อนฝูงได้เราก็ช่วยช่วยไม่ได้เราก็อุเบกขา
พยายามศึกษาให้ได้ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ การหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร เราหลับสบายดีไหม เรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่านหรือเปล่า จะไปเอาตั้งแต่เวลาไปนั่งหลับตา ไปเดินจงกรม มีคนบอก คนกำชับ ถึงเป็นการปฏิบัติ อันนั้นมันเป็นแค่เพียงอุบาย เป็นแค่เพียงพิธีวิธีแนวทางบอกแล้วก็รู้จักวิธีการแล้วก็ไปทำ
ตั้งแต่ตื่นขึ้น คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก เข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง มากขึ้นๆ กำลังสติของเราก็เข้มแข็ง
รู้จักควบคุมใจ รู้จักวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลให้ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจคลายออกเมื่อไหร่ สัมมาทิฏฐิก็เปิดทางให้ มีความสุข กิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราก็จัดการกับกิเลสทันที มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศล บุญสมมติเราก็ทำ ทำให้กับตัวเรา ทำให้กับพ่อกับแม่กับพี่กับน้อง ให้กับลูกกับหลาน
ตื่นขึ้นมาดูใจ ใจของเราเกิดกิเลส เราละกิเลส ใจเกิดความกังวล เราละความกังวล ใจเกิดความทุกข์เราก็แก้ไข อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล
คนเราเกิดมาเดี๋ยวก็ไปจากกัน พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราพยายามรีบสร้างคุณงามความดี รีบขวนขวายบุญกุศลให้มีให้เกิดขึ้น
หมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป รีบๆ หากำไรขณะกำลังมีกำลังกายอยู่ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ อย่าไปมองข้ามบุญเล็กๆ น้อย
อย่าไปคิดว่าคนโน้น ทำแล้วก็แล้ว คนนี้ทำแล้วก็แล้ว คนอื่นทำก็เป็นของคนอื่น เราทำก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราพลอยยินดี อนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ จะทำมากทำน้อยก็ทำทำตามกำลังสติปัญญา ทำตามกำลังกายกำลังทรัพย์ที่เรามี เราไม่ต้องไปทำอะไรมากมาย ถ้าเราเข้าใจ ทำน้อยก็อานิสงส์มากมาย มีมากก็ดียิ่งได้ทำมาก ประโยชน์ก็ยิ่งมาก ยิ่งสนุกทำ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้น เสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะกิเลสเราแล้ว เราชนะหมดทุกอย่างเลย
มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะฝักใฝ่ขวนขวายทรัพย์ทั้งภายนอกและภายในเพื่อที่จะเป็นเสบียงเดินทางจนกว่าจะหมดลมหายใจ ขณะที่ยังมีลมหายใจให้รีบตักตวงเสียก็จะได้ไม่ลำบากในภายหลัง รีบทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจร่างกายของเรานี้เป็นก้อนทุกข์ ทำไมใจของเราถึงทุกข์ แก้ไขที่ใจของเราให้ได้ ใจของเรามีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ มีความอ่อนโยน หรือว่ามีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ สิ่งพวกนี้เป็นอานิสงส์ เป็นบันได เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา
เราอาจจะทำอยู่ บางที่อาจจะทำอยู่ แต่ยังทำไม่ถึงจุดหมาย เดินไม่ถึงจุดหมาย ก็ได้สร้างตบะสร้างบารมี เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปให้เร่งออกดอกออกผลให้สุกให้กินได้วันเดียวก็ไม่ได้ เราก็หมั่นดูแลให้น้ำให้ฝุ่นให้ปุ๋ยเขา ถึงวาระเวลาเขาเจริญเติบโตขึ้นไป ถึงเวลาเขาออกดอกออกผลเขาก็ต้องออก เพราะว่าเป็นกฎของธรรมชาติ ทีนี้เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผล เราไม่อยากจะได้กินสุกกินอะไรต่างๆ เราก็ได้ เพราะการกระทำของเรามี
การปฏิบัติ ใจก็เหมือนกัน เราละกิเลสให้เบาบางลงไป ใจของเราก็สะอาด เราอบรมใจของเราชี้เหตุ ชี้ผล ว่าอันนั้นเป็นทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ การยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์ การเป็นทาสกิเลสเป็นทุกข์ เมื่อเขารู้ความเป็นจริงแล้ว เขาก็จะไม่เอา แต่ต้องรู้จุดปล่อยจุดวาง คือแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้มันก็ถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ เป็นการสร้างบารมีอยู่ในระดับของสมมติ
เหมือนกับเรารดน้ำต้นไม้ คอยสะสมไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผล การปฏิบัติ ใจก็เหมือนกัน เราค่อยละกิเลสไปทีละเล็กละน้อย ทำใจของเราให้อยู่ในกองบุญ มองโลกในทางที่ดีคิดดี อะไรไม่ดีเราก็พยายามแก้ไข แม้แต่ใจของเราถ้าเกิดอกุศล เราก็พยายามรีบแก้ไข แม้แต่สติปัญญาของเรา ถ้าเกิดอคติ เกิดอกุศล เราก็พยายามให้ดับไม่ให้เกิด ให้เหลือแต่ปัญญาที่เป็นฝ่ายกุศล แต่ไม่ให้ยึด ให้อยู่เหนืออีก เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม
การพูดง่าย การกระทำการลงมือจริงๆ ต้องพยายาม..พยายาม ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเข้าถึงทรัพย์ตรงนี้ได้ ถึงเรายังเข้าถึงทรัพย์ตรงนี้ ไม่หนักแน่น เราก็พยายามหมั่นสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างกุศล สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ไม่เต็มช้าก็เต็มเร็ว ก็พยายามทำเอาขณะที่ยังมีลมหายใจ
หลวงพ่อก็เปิดโอกาสให้ทุกคน หลวงพ่อก็พาทำ มาร่วมกันช่วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด แล้วเรามาช่วยกับทำ อย่าไปตำหนิ อย่าไปอคติ ทำมากทำน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ที่มีมา ตามแรงบุญแรงศรัทธา ตามด้วยอำนาจของเทวดาที่มาช่วย
มีมากเราก็ทำให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย มีน้อยเราก็ทำตามกำลังของเรา อย่าคิดว่าไม่ทำ อยากให้คนที่ไม่มีนั่นแหละ ถึงไม่มีก็น้อมกายเข้ามาช่วยกันก็ยังดี จะได้มีเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา ไม่ใช่ว่าไม่มียิ่งห่างไกล ห่างไกลเราและลูกหลานก็ยิ่งห่างไกลอีก เราพยายามหมั่นสร้างหมั่นปลูกฝังให้ลูกให้หลานเข้าไปในวัด ไปทำโน่นทำนี่ ไปช่วยสังคม เป็นคนที่เสียสละ สักวันหนึ่งเขาจะรู้ความหมายในการให้ เป็นผู้ให้ ให้ทั้งทรัพย์ภายใน ให้ทั้งทรัพย์ภายนอก มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน รู้จักแสวงหา รู้จักรับผิดชอบ โตขึ้นไปก็รับผิดชอบตัวเองได้ ก็จะล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ
บุญกุศลที่เคยสร้างเคยทำมาก็จะเป็นเครื่องเกื้อหนุน ให้สู่ที่สูงได้เร็วได้ไวขึ้น คนเราถ้าไม่มีความเสียสละ ไม่มีการละกิเลส ไม่มีการช่วยเหลือ จิตใจก็จะเบาบางยาก ถ้าเรามีการอนุเคราะห์ถ้ามีการให้ มีการเอาออก มีการคลายออกโดยที่ไม่หวังไม่ยึด จิตใจของเราก็เบาบางด้วยกิเลสเราไม่อยากได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ เพราะว่าใจของเราไม่มีความอยาก ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ เรามาดับความเกิดของใจ ใจของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ได้เร็วได้ไว
คนทั่วไปส่วนมาก ก็มีตั้งแต่วิ่งตามอำนาจกิเลส เหมือนกับดินพอกหางหมู มันก็มากๆ ขึ้นๆ มันก็เลยเป็นสันดอน สันดาน ฝังเอาไว้ กว่าจะคลายออกได้ก็ทุลักทุเลเหมือนกัน ก็ต้องพยายาม มันไม่เหลือวิสัยหรอก
ทุกเรื่องในชีวิต เราต้องแก้ไข ได้บ้างไม่ได้บ้าง ล้มและลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่ อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าคนเราเกียจคร้าน ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ดี มีตั้งแต่หนักตัวเองแล้วก็หนักคนอื่น หนักสถานที่ เราจงเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ สิ่งพวกนี้แหละคือหลักของการปฏิบัติ ตั้งแต่ตื่นขึ้น เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ต่อครอบครัวของเราแล้วหรือยัง อะไรขาดตกบกพร่อง สมมติอะไรไม่สมบูรณ์ เราก็ทำหน้าที่ของเรา มาแก้ไขเรา จนล้นออกไปสู่สังคม มันก็เป็นอัตโนมัติในการขัดเกลากิเลส
คนเราจะปฏิบัติธรรม จะเอาตั้งแต่ความบริสุทธิ์ การละกิเลสไม่มี มันก็ยาก ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ ยิ่งเห็นเยอะนะ กิเลส ถ้าเจริญสติ ถ้าเราฝึกด้วยอำนาจของความหลงก็ยิ่งเพิ่มกิเลส ถ้าฝึกด้วยกำลังสติ ด้วยกำลังปัญญา ตามแนวทางของพระพุทธองค์ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจได้แล้วเราก็ค่อยละออกไปเรื่อยๆ ถ้าใจของเรามองเห็นความเป็นจริงว่าการเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา เขาจะมีตั้งแต่ยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ขณะที่มีกำลัง มีลมหายใจ ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
ส่วนพระเราชีเรา ก็มาช่วยกัน ปักตุง พากันผูกไปเรื่อยๆ ให้มันเต็มศาลา วิหารพระหยกจะได้สวยงาม ใครไปใครมาก็มีความสุข เห็นแล้วก็มีความสุข นั่นแหละบุญก็เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่บุญใหญ่ๆ อย่างเดียวได้บุญ จิตใจของเราก็ค่อยอบรมไป เรามีความละอาย เกรงกลัวต่อบาปหรือไม่ เรามีความกล้าหาญหรือไม่ เราพยายามสร้างประสบการณ์ หาให้มันเจอ หาใจของเรา ไม่เจอวันนี้ก็ต้องเจอพรุ่งนี้ ไม่เจอพรุ่งนี้ก็ต้องเจอเดือนหน้าปีหน้า ไม่เจอจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า
ตั้งใจรับพรกัน ขอให้ทุกคนจงไหว้พระพร้อมๆ กัน