หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 90

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 90
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 90
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 90
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 สิงหาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ชัดเจนตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ได้รู้จักทำความเข้าใจคำว่า ‘สติระลึกรู้กายรู้ใจ’ คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะลมหายใจเข้าออกจนรู้ตัวทุกขณะใจ ทุกขณะจิต เห็นการเกิดการดับของจิต เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้ความปกติของใจแล้วก็อบรมใจอยู่ตลอดเวลา เป็นเพื่อนใจ เจริญสติไปชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผล จนไม่ได้เจริญ จนเหลือแต่ปัญญาอบรมใจอยู่ตลอดเวลา เป็นเพื่อนใจตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ ปัญญาเป็นเพื่อนใจ หรือว่าสติเป็นเพื่อนใจ อบรมใจ

แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ความเกิดอยู่ในระดับของสมมติ ขณะที่ยังอยู่ในกายนี้เขาก็ยังเกิดเราพยายามมาดู รู้ ขณะที่ยังมีกายก้อนนี้อยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับก็เหลือตั้งแต่ตัววิญญาณ หรือว่าตัวใจ ถ้าเราดับความเกิดของใจไม่ได้ ใจก็ต้องไปเกิดต่อ เกิดหลายสิ่งหลายอย่างไปตามอำนาจของกรรม กรรมหนักกรรมเบาจนตามอำนาจของบุญ อานิสงส์แห่งบุญ ถ้าจิตใจอยู่ในกองบุญกองกุศลก็ไปสู่ความสงบความสุข จิตใจที่มีแต่ความกังวลมีแต่ความฟุ้งซ่านมีตั้งแต่ความทุกข์เขาก็ไปสู่ทุคติ เรามาพยายามมาแก้ไขเสียขณะที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา แสวงหากำไรในชีวิตให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น

แต่เวลานี้กิเลสใช้งาน ใช้งานเรา บางทีก็ตัวใจนั่นแหละใช้งานเรา ความเกิดคือความหลงอันละเอียดที่สุด ไม่หลงก็ไม่เกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน ไปทำความเข้าใจแทน วิเคราะห์แทนทุกเรื่อง อะไรที่จะไปเป็นบุญเป็นกุศลก็รีบทำ อะไรที่จะเป็นอกุศลก็ละ ยิ่งฝึกเจริญสติไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว

การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม เป็นการปฏิบัติธรรม ความหมายของการนั่งสมาธิ หรือว่าความหมายของการเดินจงกรม ก็เพื่อที่จะมีสติรู้เท่ากันกาย ลึกลงไปก็รู้เท่าทันใจ อบรมใจของตัวเราให้ได้ ใจเกิดกิเลสก็รู้จักละ กิเลสตัวใหญ่ตัวเล็ก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เราจะแก้ไขอย่างไร ทุกเรื่อง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ รู้ใจของเราว่าใจปกติ เวลาจะขบจะฉันเราก็ดูกะประมาณในการขบฉันของตัวเรา เราก็ดูให้ลึกลงไปอีกว่าใจปกติหรือว่ากายเกิดความหิวหรือว่าใจเกิดปกติ ยิ่งฝึกใหม่ๆ นี่จะยิ่งเห็นความอยากเยอะ อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่มมันบอกว่าเอาเยอะๆ เอาเยอะแล้วก็ทานไม่หมด ทานได้นิดเดียวที่เหลือก็เอาไปทิ้ง ก่อนที่จะเอาเราก็ต้องดูใจของเราว่าใจปกติ เราต้องการสิ่งไหนก็เป็นเรื่องของปัญญา

บางครั้งบางคราว ใจก็ปกติ ใจก็ว่างอยู่ ก็เข้าข้างตัวเอง กายของเราต้องการสิ่งโน้น กายของเราต้องการสิ่งนี้ ละเอียดอ่อนหลายอย่าง ใจสงบแล้วก็ปัญญาก็ยังปรุงแต่งต่อเอามาให้ตัวเองอีก จนกระทั่งมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา จะเลือกเอา ก็จะเลือกเอาเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยปัญญา เอาด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ต้องจำแนกแจกแจงภายในให้ได้เสียก่อนถ้าจำแนกแจกแจงภายในไม่ได้มันก็วุ่นไปตั้งแต่เรื่องภายนอกอย่างเดียว มีแต่เรื่องของคนอื่นเรื่องภายนอกแทนที่จะเป็นเรื่องของตัวเอง เอาเรื่องคนอื่นมาเป็นเรื่องของตัวเอง หิวเราก็ไปหากินแล้วก็ไปใหม่แทนที่จะให้มันจบ จบทั้งภายนอก จบทั้งภายใน จบกระทั่งไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

การเกิดในหลักธรรม ในหลักธรรมนั้น ความเกิดมีทั้งเหตุ มีทั้งปัจจัย ทั้งตามวิบากของกรรมแล้วแต่บุคคลใดที่จะมีกำลังสติปัญญาวิเคราะห์ กำลังตบะบารมีที่จะเข้าไปถึง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาจำแนกแจกแจง หลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐมีอยู่อย่างนี้ หลักของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มีอยู่อย่างนี้ อัตตา อนัตตา ก็เป็นอยู่อย่างนี้ ท่านก็จำแนกแจกแจงเอาไว้หมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินทำความเข้าใจให้บรรลุเป้าหมายคือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของใจหรือไม่ ท่านถึงบอกว่าละชั่ว ทำดี แล้วก็ทำใจให้บริสุทธิ์ ทำ 3 อย่างนี้ให้ถึงจุดหมาย เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ หมดความลังเล หมดความสงสัย หมดความกังวล

แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบหรือเปล่า เรามีความเสียสละหรือว่าเรามีความเกียจคร้าน เรามีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ เราก็ต้องพยายามรีบแก้ไขเสีย ถ้าเราไม่แก้ไขให้เราไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้ แม้จะจับชายจีวรของพระพุทธองค์อยู่ถ้าไม่ฝึกตามที่ท่านบอกก็เข้าไม่ถึง บุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียวบรรลุถึงเป้าหมายคือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น

การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจเป็นอย่างนี้ ความละอาย ความกล้าหาญ กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ทำทุกสิ่งทุกอย่างจนใจของเราอยู่เหนือบุญเหนือบาปหมด สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ หมั่นอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล

ในหลักธรรมท่านก็มีเหตุมีผลไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุมีผล แต่เป็นเหตุผลทั้งทางด้านนามธรรมซึ่งมองด้วยตาเนื้อมองไม่เห็น เราต้องมองด้วยตาปัญญา ทางวิทยาศาสตร์เขาก็มีเหตุมีผล ความเกิดการเกิดมาเป็นอย่างนี้ ความสืบต่อเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไปเกิดต่อก็เป็นภพเป็นอย่างนี้ เป็นชาติเป็นอย่างนี้ ความชราคร่ำคร่าก็ตามมาก็เหมือนกับร่างกายของเรานี่แหละ

จิตวิญญาณมาสร้างภพมนุษย์ คือร่างกายของเรา แล้วก็มายึดติดอยู่ในร่างกายนี้เขาเรียกว่าภพมนุษย์ ขณะมีกายอยู่เขาก็เกิดต่อ เกิดทางด้านจิตวิญญาณ แต่กายเนื้อเราก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน พัฒนา แก้ไขตัวเองมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็แก่ชราคร่ำคร่าลงไป แล้วก็มีความเจ็บความป่วย ความตายก็ตามมา นี่แหละความจริงของชีวิต

มาเอาโลงศพทุกวัน วันนี้ก็เห็นมาเอาแต่เช้า วันละ 2 โลง 3 โลง ที่ได้มารับเอา หมดไปพันแปดพันเก้าถ้าจับมานั่งก็คงจะล้นศาลาแล้วเนอะ หลาย 4-5 ปีมานี้ นี่แหละความตาย พวกเราก็เหมือนกัน เกิดมาก็ความตายก็ติดตัวมาด้วย ไม่อยากเกิดดับความเกิดนี่ก็ไม่ต้องกลับมาตายต้องดูที่ต้นเหตุ ทำความเข้าใจ ขัดเกลา แล้วก็สร้างตบะ สร้างบารมี

ตามเดิม สภาพเดิมนั้น ใจบริสุทธิ์ ที่นี่ใจก็หลงมาเรื่อยๆ หลงมาเรื่อยๆ หลงมาเกิด หลงมาเกิดยังไม่พอก็เป็นทาสกิเลส ความเกิดแล้วก็ความอยาก ความยินดียินร้าย ทั้งผลักไสทั้งดึงเข้ามาทั้งเป็นกลางไม่เป็นกลาง ฟูๆ แฟบๆ วิ่งไปตามกิเลสแล้วก็ส่งเสริมกิเลส แทนที่จะแก้ไข ขัดเกลาเอาออกให้ใจของเราเบาบางลงไปเรื่อยๆ จนถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นจนไม่เกิด ต้องให้ถึงจุดหมายที่แท้จริง

ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ จะได้ไม่สูญหายไปไหนเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา ถึงจิตใจหลุดพ้น ไม่ยึดติดในสิ่งต่างๆ เราก็ยิ่งสนุก สร้างบุญสร้างกุศล ให้มี ให้เกิดขึ้น ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ดี แก้ไขเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี เราอยู่ก็มีความสุข คนอื่นมาก็มีความสุข ในระดับของสมมติก็มีความสุข พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อ มาทำความเข้าใจต่อแล้วก็ไม่ต้องได้มาลำบาก

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด ทุกคนมีความพร้อม ทั้งสมมติภายนอกก็ไม่ได้ลำบากก็ได้ทำ ทั้งได้ขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงไปอีก น้อมกายของเราเข้ามาฝึก การเจริญสติเป็นอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องการสืบต่อเป็นอย่างนี้ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุม รู้จักดับรู้จักหยุดเอาไว้ ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข

ช่วงใหม่ๆ ก็ต้องเคี่ยวเข็ญทั้งกลางวันทั้งกลางคืน กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวก กายวิเวกจากพันธะภาระหน้าที่การงาน กายวิเวก ใจวิเวกจากความเกิด วิเวกจากกิเลส วิเวกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ ใจที่เบาบางจากกิเลสอยู่ในระดับนี้ท่านเรียกว่าอย่างนี้อยู่ในระดับนี้ท่านเรียกว่าอย่างนี้ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล ขึ้นไปสู่สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล จนเข้าสู่อรหันตมรรค อรหันตผล

ถ้าบุคคลมีความเพียร รู้เห็น ทำความเข้าใจ เหมือนกับเราขึ้นบันไดจากขั้นแรกถึงขั้นสุดท้ายเขาก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่ในราวบันได เราจะไปทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ นี่วิญญาณของเราก็มาอาศัยกายนี้อยู่ ในกายส่วนนี้มีกี่ส่วน กี่ชิ้น ที่ท่านบ่งการบอกเอาไว้ ชี้เหตุชี้ผลที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ ตัวใจเป็นอย่างนี้ กองรูปเป็นอย่างนี้ กองนาม เรื่องอดีตเรื่องอนาคต ซึ่งเรียกว่ากองสังขารเป็นอย่างนี้ ที่ท่านเรียกว่าเป็นกอง เป็นขันธ์

อย่างพวกเราเคยทำวัตรสวดมนต์เช้า-สวดมนต์เย็นนั่นแหละ พยายามดูให้ดี ใจมันขาดที่พึ่งมันก็จะไปพึ่งเอาสิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้าง ท่านถึงให้พึ่งพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันนั้นเป็นแค่พึ่งเพื่อวิธีการหาแนวทาง มีศรัทธาน้อมเข้ามา แล้วก็ปฏิบัติ การเจริญสติความรู้ตัวเป็นอย่างนี้ ความสืบต่อต่อเนื่องมันเป็นอย่างนี้ ดูไม่ทันใจเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเป็นอย่างนี้ จนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา แล้วก็แก้ไขใจของตัวเรา ไม่ใช่เที่ยวไปหาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักคำว่าสติ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ถ้าเรารู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ชี้เหตุชี้ผลได้ด้วย หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็พยายามนะ

ทั้งพระเรา ชีเรา อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทางมาอยู่ร่วมกัน ก็เคยสร้างบุญมาร่วมกัน มีอานิสงส์ร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ก็รู้จักแก้ไขตัวเรา อยู่หลายคนก็แก้ไขเรา อยู่คนเดียวก็แก้ไขเรา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้คนนู้นคนนี้เขาแก้ให้ก็เป็นแค่เพียงวิธีการแนวทางเป็นการสื่อความหมาย ถ้าเรารู้จักตัวเรา รู้จักใจของเรา เราก็รีบแก้ไขตัวของเรา อย่าไปโทษคนอื่นจงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้จบ

ทำความเข้าใจทั้งสมมติวิมุตติ แล้วก็ขัดเกลากิเลสของตัวเรา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็ละมันเมื่อนั้นแหละ อย่าไปรอ อย่าไปรอกาลรอเวลา เกิดเดี๋ยวนี้ก็ละเดี๋ยวนี้ แล้วก็ทำความเข้าใจกันขนาบแล้วก็ขนาบอีกเหมือนกับนักโทษ นักโทษประหารเขาก็เข้าคุกเข้าตาราง ถ้าประพฤติตัวดีขึ้นเขาก็ค่อยคลายออกมาเป็นนักโทษชั้นดีเหลือจำคุกตลอดชีวิต ประพฤติปฏิบัติดีเขาก็คลายลงไปเรื่อยๆ ปลดโซ่ตรวนลงไปเรื่อยๆ จนนักโทษชั้นดีก็ได้ออกมา

ใจของเราก็เหมือนกัน ทำไมถึงเกิด ทำไมเป็นทาสกิเลส ขัดเกลากิเลสให้กิเลสเบาบางลงไปเรื่อยๆๆๆ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ เราดับความเกิด เราไม่อยากได้ความนิ่งเราก็ได้ ได้ทั้งความสงบ ได้ทั้งความสะอาด ได้ทั้งความบริสุทธิ์ นั่นแหละเป็นความสุขที่ถาวรหรือเรียกว่า ‘อริยทรัพย์’ ทรัพย์ภายใน ต้องสร้างต้องทำ ให้มีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาทำให้มีให้เกิด แล้วก็รู้จักบริหารทรัพย์ภายนอก เราก็ยังทรัพย์ภายนอกให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดบุญให้มากๆ ให้เป็นทวีคูณทรัพย์ภายนอกก็ไม่ได้ลำบาก ทรัพย์ภายในก็สร้างขึ้นมาให้เต็มเปี่ยม ทรัพย์ภายในก็ทั้งภายนอกภายในก็อนุเคราะห์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ไม่อย่างนั้นก็ไปยากลำบาก

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง