หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 89

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 89
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 89
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 89
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 สิงหาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่อง วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติที่เราเคยทำอยู่แล้วก็วาง มาที่นี้เราก็มาหยุด เราวางความนึกคิดปรุงแต่งไม่ได้ เราก็มาหยุดด้วยการกระตุ้นความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘สติ’ สติรู้กายอย่าไปนึกเอา อย่าไปคิดเอา ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย

หลวงพ่อก็บอกก็กล่าว ก็เตือนทุกวัน เตือนของเก่า เตือนของเก่าซึ่งมีอยู่แล้ว แต่พวกท่านไม่พากันไปทำให้ต่อเนื่องก็เลยไม่รู้ เห็น ตามความเป็นจริง อาจจะรู้อยู่บ้างเพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ บางทีก็ควบคุมใจได้บ้าง บางทีก็ควบคุมใจไม่ได้ การเกิดของใจซึ่งเป็นส่วนของนามธรรมเป็นอย่างไร การเกิดของอาการของขันธ์ห้าหรืออาการของใจเป็นอย่างไร เพราะว่าเราไม่มีสติรู้กายแล้วก็ลึกลงไปให้รู้ต้นเหตุของใจ เราก็เลยรู้เพียงแค่ว่า คิดก็รู้ ทำก็รู้ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด ทั้งยึด เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปคอยอบรมชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล

แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจปกติ ความปกติของใจเป็นอย่างไร ใจกับความคิดกับขันธ์ห้า เขารวมกันได้อย่างไร ทำไมใจถึงเกิดแล้วก็ส่งออกไปภายนอก ทำไมใจถึงเป็นธาตุของกิเลส

หมั่นสังเกต หมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมใจ เพียงแค่เจริญกับทำให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้จักอบรมใจ มีความกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ มีความอดทนอดกลั้น ตบะ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ความเพียรเป็นเลิศ เพียรทั้งสมมติ สมมติอะไรเราติดขัดขาดตกบกพร่องเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อะไรคือวิมุตติ คือตัวใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน อาศัยกันอยู่ เราต้องรู้ด้วยปัญญา เห็นด้วยปัญญา ละด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอน ก็ให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ

การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน การได้ศึกษาค้นคว้าในระดับของสมมติ ทุกคนก็รู้สึกว่าจะผ่านกันตรงนี้มา ผ่านกันมา มาดี ฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทาน แต่การวิเคราะห์ การชี้เหตุชี้ผล การควบคุมการดับ การแยก การตามเห็นลักษณะหน้าตาอาการของความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกอง เป็นรูป เป็นนาม วิญญาณไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยงทำไมถึงว่าไม่เที่ยง ก็เราก็มองเห็นด้วยตาเนื้อ ตาปัญญาโลกีย์

ปัญญาสมมติเราก็มองเห็นอยู่ก็ว่าของเรา ร่างกายก็ของเรา แต่พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ใช่ของเราทำไมถึงว่าไม่ใช่ของเรา ท่านก็บอกว่าอย่าเพิ่งโต้แย้ง ต้องปฏิบัติตาม ให้มอง ให้เห็น ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ท่านถึงบอกให้เชื่อ อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าจะมีมากเท่าไหร่ก็อย่าเอามาคิดค้นหาโดยเด็ดขาด ยิ่งคิดยิ่งค้นหาด้วยสติปัญญาเก่ายิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้

เพราะว่าใจ ความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เวลานี้เขาทั้งเกิด ทั้งส่งออกไปภายนอก ทั้งเป็นทาสกิเลส ความอยาก ความยินดี หน้าเราไม่เห็นโดยชัดเจนเราก็ว่าเราไม่มีกิเลส ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้กายให้ต่อเนื่อง รู้ใจให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติปัญญา ในทางสมมติอันนั้นก็มีอยู่ แล้วก็เป็นสติปัญญาของเรา เอาไปใช้ในระดับสมมติไม่ให้เกิดวิปลาสในระดับของสมมติ

แต่ในหลักธรรมยังพากันหลง คือความเกิดยังมีอยู่ ความเกิดมีหลายชั้น เกิดตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดซึ่งได้มีวิญญาณแล้วก็มาเกิด วิญญาณนี่หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิด มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างอัตภาพร่างกาย ธาตุสี่ขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง ปิดกั้นตัวเองยังไม่พอ ก็เป็นทาสกิเลสต่อ ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ทั้งยินดียินร้าย ทั้งความโลภ ความโกรธสารพัดอย่างเข้ามาครอบงำ

แล้วก็ความหลงอันละเอียดอีก หลงยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้ายังไม่พออีก ขณะยังอาศัยอยู่ในกายก็ยังเกิดต่ออีก ปรุงแต่งต่ออีก นั่นแหละความเกิดของใจอีก ถ้ากายเนื้อแตกดับเขาก็ไปเกิดในภพใหม่ ตราบใดที่ใจยังเกิด บุคคลสร้างบุญมาดีสร้างอานิสงส์มาดีก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ถ้าสร้างอานิสงส์ไม่ดีก็ไปตามวิบากของกรรม

ในหลักธรรมพระพุทธองค์ท่านก็ให้ทำความเข้าใจให้หมด ทั้งดำทั้งขาว ทั้งกุศลทั้งอกุศล ทั้งดีหรือไม่ดี ท่านให้ละหมด ละหมด แล้วก็สร้างดี สร้างกุศล แต่ไม่ยึดติดให้อยู่เหนือ แต่เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ คลายภายในของเราให้ได้เสียก่อน ชี้เหตุชี้ผลของการแยกรูปแยกนามใจที่วางว่างจากขันธ์ห้า ใจที่หงายขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสเราดับได้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุเป็นลักษณะอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้

ภาษาธรรมภาษาโลก เราจะเอาสติปัญญาไปใช้ในทางโลกได้อย่างไร กายถึงจะมีความสุขใจถึงจะมีความสุข สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวถึงจะมีความสุข ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ จะไปทิ้งสมมติไม่ได้เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ โน่นแหละ กายเนื้อแตกดับนั่นแหละถึงจะได้วางก้อนสมมตินี้จริงๆ

แต่เราวางส่วนนามธรรมด้วยการเคลื่อนตัววิญญาณ กับอาการของวิญญาณ หรือว่าใจกับอาการของใจ ต้องรู้ด้วยปัญญา ต้องเห็นด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผลด้วยปัญญาแล้วถึงจะวางได้อยากจะวางก็วางไม่ได้ถ้าใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า ก็ได้แค่เพียงแต่สงบ กับการสร้างตบะสร้างบารมี ค่อยสร้างสะสมคุณงามความดีไปเรื่อยๆ ไม่หลุดพ้นในวันนี้ก็ต้องหลุดพ้นในพรุ่งนี้ไม่พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไปต่อเอาภพหน้า

ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็มีธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง มาอยู่ด้วยกันแล้วก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี มีความรักใครกลมเกลียวด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหาร ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์เหมือนกันหมด บางคนก็ถึงช้า บางคนก็ถึงเร็ว บางคนก็ห่างไกลนี่ถ้าผิดวิธี เราก็ต้องพยายาม แล้วแต่อานิสงส์ผลบุญผลทางวิบากกรรมของแต่ละบุคคล

โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เราพยายามรีบหากำไรในกายก้อนนี้ให้ได้ก่อนที่เขาจะหมดกำลัง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าให้กิเลสมันเล่นงาน อย่าให้ขันธมารต่างๆ เขาเล่นงาน

เราพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง มีความละเอียดในชีวิตทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งหมดลมหายใจ ไม่ใช่ว่าจะไปผัดวันประกันพรุ่ง เวลานี้ถึงจะปฏิบัติ เวลาโน้นถึงจะปฏิบัติ เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ หัดเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล ทุกคนก็ปฏิบัติกันมาหมดนั่นแหละ ปฏิบัติในระดับของสมมติ

ตั้งแต่เกิด มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จากเด็กน้อยเป็นเด็กใหญ่ เด็กโต ได้รับการศึกษารับการเล่าเรียน ได้รับความอนุเคราะห์จากพ่อจากแม่ เลี้ยงดูด้วยข้าวปลาอาหาร ผ่านกาลผ่านเวลาจนเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ได้ทำการทำงาน บางคนบางท่านก็สำเร็จในชีวิต บางคนบางท่านก็ไปไม่ถึงจุดหมาย

เราก็ต้องมาทำความเข้าใจ อันนี้โลก อันนี้ธรรมนะ เราขาดตกบกพร่องสิ่งไหน เราก็รีบแก้ไขเสียเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรามีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ เราเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เป็นผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ ผู้อนุเคราะห์ หรือว่าเป็นผู้บุคคลที่มีตั้งแต่มีความทะเยอทะยาน อยาก ตระหนี่เหนียวแน่น

เราก็พยายามหัดมองย้อนเข้าไปดูที่ใจของเรา แล้วก็แก้ไขใจของเรา ถ้าคนรู้จักแก้ไขใจของตัวเองจะอยู่กับบุญตลอดเวลา ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็ทำให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ฝึกหัดให้เป็นนิสัย

ชี้เหตุชี้ผล ให้มีความกล้าหาญอาจหาญในสิ่งที่กล้าหาญ ให้มีความละอายสิ่งที่ควรละอาย ผ่านกาลผ่านเวลา กรรมสมมติมันคลาย อะไรก็จะโล่งโปร่งไปหมด อันโน้นเป็นอย่างนั้น อันนั้นเป็นอย่างนี้ เอาเรื่องของเราให้จบ ไม่ใช่ว่าเรื่องคนโน้นคนนี้ เป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ หิวแล้วก็ไปหากินแล้วก็มาพูดเรื่องของคนอื่น เอาเรื่องของเราให้มันจบ เอาคำสอนของพระพุทธองค์มาไว้ในใจของเราให้มันได้ ใช้ตัวเองให้มันเป็น

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็อยู่ที่ใจของเรา ศาสนาไม่เสื่อม ธรรมมีอยู่ประจำโลก แต่คนเราเข้าไม่ถึงจุดหมาย เราต้องเอา สร้างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาไว้ที่ใจที่กายของเรา ไปที่ไหนเราก็เป็นบุคคลที่รักษา รักษาศาสนาเพราะว่าศาสนามาอยู่ที่ใจของเรา ไม่จำเป็นต้องไปถกเถียงทะเลาะกัน คนโน้นจะมาทำลายศาสนา คนนี้จะมาทำลายศาสนา ไม่มีใครเขาทำลายได้นอกจากตัวของเราเอง เราต้องพยายามน้อมนำแล้วก็ปฏิบัติศาสนามาไว้ที่ใจ แล้วก็รู้จักขัดเกลากิเลสให้ถึงฝั่ง ใครเห็นใจคนนั้นก็เห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นเรา พระพุทธเจ้า

พุทธะก็คือ ผู้รู้ รู้ใจ ‘พุทธะ - รู้’ ‘รู้’ รู้อะไร ‘รู้ใจ รู้ตื่น รู้เบิกบาน’ มีความสุขตลอดเวลา ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แล้วก็เอาไปยังประโยชน์ ช่วยเหลือบุคคลอื่น ช่วยเหลือเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อย่างน้อยๆ ก็ให้ไปสู่ความสงบความสุขไม่ไปสู่อบาย ละอบาย ละอกุศลเจริญกุศล ให้มีให้เกิดขึ้น อย่าพากันประมาท อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลอื่นบังคับเรา เราจงบังคับตัวเอง แก้ไขตัวเองบุคคลฉลาดฟังนิดเดียว

การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การวิเคราะห์ การดับ การสังเกต กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กิเลสก่อตัวเกิดขึ้นมาเราละได้หรือไม่ สติพลั้งเผลอเป็นอย่างไร เราก็พยายามทำความเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้น ยืนเดินนั่งนอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นเคี่ยวเข็ญตัวเอง แก้ไขตัวเองไม่ต้องไปโทษคนอื่น โทษตัวเรานี่แหละ แก้ไขตัวเรานี่แหละ

ที่นี้เราก็จะไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นสิ่งทดสอบใจของเรา สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ธรรม ตอนนี้เรารู้อยู่เป็นแค่เพียงธรรมโลกีย์ ธรรมสมมติที่ในหลักธรรมก็ยังหลงอยู่ดีๆ เพราะว่าการเกิดเขายังมีอยู่ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด

ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่องจนสังเกตวิเคราะห์แยกแยะได้ เราถึงจะได้รู้ว่ากิเลสทำไมมันถึงมากมาย ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจ รู้ความเป็นจริงแล้วก็ค่อยละ ละทีนั้น ละทีนี่ มีความเพียรให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง สักวันหนึ่งเขาก็เต็มอิ่ม สติปัญญาเขาก็จะรักษาเราเอง เราก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง